ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 628 หงส์เพลิงหาคู่สม
“โลกสวรรค์ที่สองแห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง…”
ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นซากปรักหักพังอยู่ทั่วทุกที่ มันมีกำแพงเมืองและราชวังที่พังภินท์ เมืองลอยฟ้าอันหักทำลายบนท้องฟ้า ภูเขาและแม่น้ำอันเหือดแห้ง เช่นเดียวกับโครงกระดูกอันก่ายกองทั่วดินแดน
ภูเขามหึมาในสถานที่ไกลๆ นั้นก็ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ยอดเขาเหมือนกับซังข้าวโพดที่ถูกแทะทึ้งไปอย่างไม่เป็นระเบียบ แม้แต่แกนเขาก็ถูกกัดทึ้งไปก้อนใหญ่ และทำให้ขุนเขาดูเหมือนว่าจะล้มพังลงมาได้ทุกเวลา
พื้นดินที่แตกร้าวไปทั่วนั้นเต็มไปด้วยภูเขาไฟและลาวา แม่น้ำนั้นเป็นโลหิตอันไหลอยู่บนพื้นพิภพ โลหิตที่นั่นอันที่จริงแล้วคือหินหลอมเหลว!
มันมีชิ้นส่วนดาวแตกหัก และเมฆรูปร่างประหลาดบนท้องฟ้า เมฆเหล่านั้นน่าจะเป็นร่องรอยที่หลงเหลืออยู่จากทักษะเทวะ
เมื่อฉินมู่ก้าวไปบนพื้น เขาก็สังเกตว่าพื้นดินได้แข็งปึก ไม่มีพืชใดเติบโตได้ที่นี่ ทันใดนั้น ลมหอบหนึ่งก็ม้วนหมุนมาให้เขาได้เห็นภาพอันยากจะลืมเลือน โครงกระดูกของผู้คนมามากมายได้เปลี่ยนเป็นก้อนโครงกระดูกที่ถูกลมพัดให้กลิ้งหลุนๆผ่านตรงหน้าเขาไป
ในจังหวะถัดมา ลูกบอลโครงกระดูกมหึมาหลายลูกก็กลิ้งไปมาอย่างสุ่มๆ จากแรงลมที่ซัดไป
เมื่อลมหยุดพัด ลูกบอลกระดูกขาวเหล่านั้นก็หยุดด้วยเช่นกันและแผ่กระจายลงไปเกลื่อนพื้น
ถัดไปนั้น ดวงวิญญาณแตกหักก็ออกมาจากกระดูกขาว พวกเขาล่องลอยไปรอบๆ ราวกับไฟผีโขมด ใบหน้ามากมายพอมองเห็นได้อยู่รางเลือน แต่ร่างกายของพวกเขาล้วนแต่ขาดวิ่น ไม่ขาก็แขนที่ขาดหายไป
เมื่อลมพัดมาอีกครั้ง ดวงวิญญาณแตกหักก็รีบเหาะกลับเข้าไปในกระดูก และโครงกระดูกพวกนั้นพยายามวิ่งหนีลมหมุน แต่ทว่า เมื่อพวกเขาวิ่งไป ก็ถูกลมกวาดซัดและเริ่มหกคะเมนตีลังกา กระดูกขาวมากมายเกาะกันและกัน และรวบรวมกันเป็นลูกบอลกระดูกขาวที่ถูกสายลมเป่าไป
ฉินมู่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นภาพประหลาดพิสดารแบบนี้มาก่อน
ดวงวิญญาณแตกหักพวกนี้น่าจะเป็นดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่ตายที่นี่ เพราะว่าดวงวิญญาณของพวกเขาไม่สมบูรณ์ แดนใต้พิภพจึงไม่รับพวกเขาเข้าไป และปล่อยให้พวกเร่ร่อนอยู่ในโลกหล้า
ฉินมู่คิดในใจ พวกเขาไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวอีกต่อไป จึงต้องเข้าไปในโครงกระดูก มีก็แต่เข้าไปในโครงกระดูกพวกเขาถึงรู้สึกว่ายังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ
“ข้าคิดว่าข้ากำลังจะตาย”
ข้างหลังเขา พุทธเจ้าท้าวสักกะลมหายใจรวยรินและเขากล่าวด้วยเสียงอันแห้งแล้ง “กำลังฝีมือของจักรพรรดิแดงแห่งสวรรค์ทักษิณฉีเสียอวี๋นั้นสูงส่งจนเกินไป เพียงแต่เสียงเดียวจากนางก็เพียงพอที่จะคร่าชีวิตข้าได้ ข้าคิดว่าข้ากำลังจะตาย สหายน้อยฉิน เจ้าจงไปต่อด้วยตนเองเถอะ…”
“ตกลง!”
ฉินมู่กล่าวไปอย่างไม่ลังเล “หลังจากที่ท่านตายไป ข้าจะกลบฝังท่านเอาไว้ในระหว่างทาง ไม่ทราบว่าพุทธเจ้าต้องการให้ข้าฝังหรือเผา”
พุทธเจ้าท้าวสักกะเบิ่งจ้องด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง และกล่าวอย่างโมโห “ข้ายังไม่ทันตาย เจ้าก็คิดเรื่องจะฝังหรือจะเผาแล้วเรอะ”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าข้าจะไม่ได้ฝึกปรือคัมภีร์สักกะมานานเท่าใด แต่ข้าก็รู้ว่าวิชาฝึกปรือนี้แข็งแกร่งขนาดไหน ทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมแข็งแกร่งอย่างสุดยอดและไม่อาจถูกทำลายไปได้ ดังนั้นแม้ว่ามันจะยังด้อยกว่าวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิ แต่ก็ไม่ได้ห่างไกล พุทธเจ้าได้ฝึกมันมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปี ท่านจะถูกบทเพลงแค่เพลงเดียวสังหารไปได้อย่างไร”
พุทธเจ้าท้าวสักกะกะพริบตาปริบ สีหน้าเขาซีดเผือดและกล่าว “เพื่อปกป้องเจ้า ข้าจำต้องเข้าไปแอ่นอกรับเพลงขิมของจักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋เข้าเต็มๆ พลังชีวิตของข้ากำลังแตกสลาย”
“ทักษะเทวะของจักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋ได้ไล่ล่าพวกเราข้ามห้วงอวกาศมา ดังนั้นมันจึงลบล้างพลังงานย้ายสลับ พลานุภาพของทักษะเทวะนี้ถูกบรรเทาลงไปครึ่งหนึ่งแล้วจากการปะทะกับคลื่นพลังงาน”
ฉินมู่วิเคราะห์ต่อ “ดังนั้นที่พูทธเจ้าเผชิญนั้นเป็นเพียงแค่พลานุภาพอีกครึ่งหนึ่งเท่านั้น พลานุภาพแค่นี้ไม่น่าจะคุกคามชีวิตของพุทธเจ้าได้ ใช่หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังเคยได้ยินทำนองเพลงที่จักรพรรดิแดงเล่นมาก่อน มันเป็นเพลงขิมที่ค่อนข้างโด่งดัง ชื่อของเพลงนี้เรียกว่า ‘หงส์เพลิงหาคู่สม’ ”
พุทธเจ้าท้าวสักกะยังคงกะพริบตาปริบๆ ต่อและกล่าวอย่างอ่อนแรง “หงส์เพลิงหาคู่สมอะไรกัน ข้าไม่เคยได้ยินเพลงแบบนั้นมาก่อน…”
“ครั้งหนึ่งมีนงคราญ ข้ายลโฉมนางจึงหลงใหล ทิวาหนึ่งไม่เห็นหน้าก็เพ้อไป ด้วยคลั่งไคล้หลงรักจนมืดมัว ข้าเหมือนกับหงส์เพลิงหนุ่มที่โฉบบิน ละล่องผินผาดโผนในฟ้าสลัว ท่องสมุทรทั้งสี่เพื่อเสาะตัว หงส์เพลิงสาวของข้าทุกเมื่อวัน แต่ชะรอยเคราะห์ซ้ำชะตาแกล้ง เมื่อหงส์แดงมิได้อยู่ขอบฟ้าสาง ข้าถือขิมขึ้นกำแพงแถลงคำ ปลดปล่อยพร่ำความรู้สึกในหัวใจ เมื่อใดหนอข้าจะเห็นเจ้าเข้าหมั้น คลายความพรั่นประหวั่นอกของข้าหนอ”
ฉินมู่ร้องด้วยเสียงอันดัง มือของเขาดีดไปในอากาศ แม้ว่าจะไม่มีขิมหรือเครื่องสายใต้มือของเขา ปราณชีวิตของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสายขิมและให้ทำนองดนตรีอันเหมือนกับทำนองเพลงที่จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋ใช้เพื่อไล่ล่าพวกเขา!
เด็กหนุ่มดีดขิมและร้องด้วยเสียงเต็มคอ ปลดปล่อยพันธนาการทั้งปวง “…เมื่อใดจะคู่สมเหมือนเป็ดน้ำ เมื่อใดสะบัดปีกและบินโผน หงส์เพลิงสาวหงส์เพลิงสาวโปรดอ่อนโยน ประโลมรักกับข้าอยู่ในรัง ถนอมกันผสมรักสืบทายาท ลีลาศครองคู่ข้ากัลปาวสาน แลกใจเคล้ากายกันให้ยืนนาน ตามข้าผ่านรัตติกาลตลอดคืน ปีกคู่เราจะผงาดขึ้นเวหน ติดลมบนชมฟ้าสูงด้วยเหินหาว หากนางหงส์ไม่ตอบรักข้าคงร้าว น้ำตาพราวด้วยโศกศัลย์สะบั้นใจ…”
เพลงขิมห้อมล้อมทั้งสองคน และอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน โครงกระดูกมากมายถูกดึงดูดด้วยเสียงขิมและเพลงของเขา พวกเขามาห้อมล้อมทั้งสองและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ บางโครงกระดูกถึงกับลุกขึ้นเต้นระบำตามทำนองเพลง
ฉินมู่สลายปราณชีวิตของเขาแล้วกล่าว “หงส์เพลิงเสาะคู่สมนั้นแต่งขึ้นโดยบุรุษให้แก่สตรี เนื้อเพลงนั้นเกี่ยวบุรุษผู้คนหนึ่งที่เกี้ยวพาสตรีให้ไปเป็นคู่สมของเขา พวกเขามีค่ำคืนหฤหรรษ์ร่วมกันในอดีต และบุรุษผู้นี้ก็หมายให้นางจดจำวาสนารักดังกล่าวอย่างทะนุถนอม ทอดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจากไปพร้อมกับเขา”
พุทธเจ้าท้าวสักกะนิ่งเงียบไป เขาพลันนั่งลงและปัดฝุ่นออกจากร่างกายของเขา เขาโบกมือไล่โครงกระดูกพวกนั้นที่กำลังแอบฟังอยู่ข้างๆ “พวกเจ้ามามองอะไรกันหา มีอะไรให้มอง ไปให้พ้น ไปให้พ้น สหายน้อยฉิน โลกสวรรค์ของสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้งมีทั้งหมดสามสิบสามโลกสวรรค์ สวรรค์ไท่หวงนั้นเป็นโลกสวรรค์ที่หนึ่ง ที่นี่คือโลกสวรรค์ที่สอง สวรรค์ไท่หมิง โลกสวรรค์ทั้งสามสิบสามจริงๆ แล้วเชื่อมต่อกัน บัดนี้เมื่อพวกเราอยู่ในสวรรค์ไท่หมิง พวกเราก็อยู่ไม่ห่างจากสวรรค์ไท่หวงมากนัก”
ราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูด ฉินมู่ยังคงกล่าวต่อ “ข้าเรียนเพลงนี้จากท่านปู่หนวกในหมู่บ้านของข้า ท่านปู่หนวกเป็นหนึ่งในคนที่มีความรู้กว้างขวางที่สุดในหมู่บ้าน ดังนั้นสิ่งที่เขาสอนข้าจะต้องไม่ผิดแน่ แต่ทว่า จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋น่าจะเป็นสตรีใช่หรือไม่ เพลงนี้แต่งขึ้นมาโดยบุรุษ ดังนั้นมันจึงค่อนข้างน่าแปลกที่นางเป็นผู้บรรเลงเพลง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความแค้นอยู่ในทำนองเพลงของนาง มันไม่ใช่ความแค้นแบบที่จะฆ่าฟันผู้คน แต่กลับเป็นการเย้ยหยันต่อว่าบุคคลที่แต่งเพลงนี้ขึ้นมา…”
บาดแผลทั้งหมดบนร่างของพุทธเจ้าท้าวสักกะพลันเยียวยา เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและกล่าว “หากว่าเราเดินทางผ่านสวรรค์ไท่หมิงไป และเลยต่อไปอีกหน่อย ก็จะเป็นสวรรค์ชิงหมิง หากว่าเราเลยถัดไปอีก ก็จะเป็นสวรรค์เสวียนทาย เมื่อครั้งกระโน้น ที่นั่นหรูหราเป็นอย่างยิ่ง…”
โครงกระดูกเหล่านั้นที่ถูกไล่ตะเพิดไปก็ยืดคอขึ้นมาเหมือนกับอัลปาก้าที่อยากรู้อยากเห็นอันยื่นหัวเข้ามาใกล้
ฉินมู่ยังคงยืนกรานที่จะกล่าวต่อ “เพลงนี้ถูกเล่นโดยสนตรี และถึงกับถูกใช้เพื่อเย้ยหยันบุคคลที่แต่งเพลง ถ้าอย่างนั้น บุคคลที่จักรพรรดิแดงกำลังเย้ยหยันต่อว่านั้นก็คือ…”
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่” พุทธเจ้าท้าวสักกะหันกลับมาและถามอย่างโมโหเดือด
ฉินมู่กระโดดโหยงอย่างตกใจและรีบหุบปากทันที โครงกระดูกพวกนั้นก็วิ่งหนีกระเจิงไป จนกระดูกกระทบกันดังก๊อกแก๊ก
พุทธเจ้าท้าวสักกะยิ้มหยันและก้าวไปข้างหน้าด้วยความเดือดดาล “ข้าได้ปล่อยวางความปรารถนาทางโลกทั้งหมดไปแล้ว ดังนั้นอย่ากล่าวถึงอดีต! ข้าได้ปล่อยวางอดีตนั้นไปตั้งนานแล้ว นางต่างหากคือฝ่ายที่ปล่อยวางไม่ได้และตามตอแยข้าไม่หยุด ตอนนี้นางได้ข่าวสารที่จะใช้จัดการข้าได้มาไว้ในมือ ก็เลยไล่ตามมาสังหารข้า นี่มันเป็นความผิดของข้าหรืออย่างไร”
ฉินมู่เก็บรอยยิ้มเอาไว้ และเดินตามไปข้างหลังเขา พุทธเจ้าท้าวสักกะยิ้มหยันและกล่าว “นางเป็นฝ่ายที่ใจแคบชัดๆ ข้าไม่ใช่ฝ่ายที่ควรถูกกล่าวโทษ ในปีแรกๆ ของข้าที่ข้ายังไม่ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ข้าก็มีช่วงเวลาของความรักลุ่มหลง ข้าคิดว่าข้าจะครองคู่กับนางได้ และลืมเรื่องการต่อสู้ระหว่างสภาสวรรค์และสภาสวรรค์จักพรรดิก่อตั้ง แต่ข้าจะทำอะไรได้ ในเมื่อนางอิดออดที่จะละทิ้งยศตำแหน่งของนางและไม่ยอมจากไปพร้อมกับข้า เมื่อพวกเราเผชิญหน้ากันในสนามรบ มีพี่น้องของข้ากี่คนที่ถูกนางสังหารไป หญิงอำมหิตเช่นนี้ นี่จึงเป็นเหตุให้ข้าสะบั้นสายสัมพันธ์กับนาง!”
ฉินมู่ไล่โครงกระดูกอยากรู้อยากเห็นพวกนั้นออกไป ขณะที่พุทธเจ้าท้าวสักกะถอนหายใจ “เหตุที่สภาสวรรค์ตอบสนองอย่างรวดเร็วขนาดนี้ก็เพราะว่านางยังคิดแค้นข้าอยู่และคิดว่าข้าทรยศนาง หากว่าทักษะเทวะของนางสามารถสังหารข้าไปได้เมื่อครู่นี้ ก็คงจะไม่เป็นไร นางก็คงจะไม่ไล่ตามข้ามาอีกต่อไป แต่ทว่า ในเมื่อนางไม่ได้ฆ่าข้า ก็หมายความว่านางจะไล่ล่ามาอย่างแน่นอน ความเร็วของนางไร้ผู้ต่อต้าน ดังนั้นข้าจึงหนีไปพร้อมกับเจ้าไม่ได้ ข้าจึงแสร้งทำเป็นว่าอาการบาดเจ็บของข้านั้นสาหัสจนเกินไป เพื่อให้เจ้าไปก่อนโดยไม่มีข้า กระนั้นเจ้าก็ยังมาเปิดโปงคำโกหกของข้า สหายน้อยฉิน บางครั้ง ฉลาดเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอก”
ฉินมู่นิงไปครู่หนึ่ง และถาม “ท่านสามารถหนีจากการไล่ล่าของจักรพรรดิแดงได้หรือไม่”
พุทธเจ้าท้าวสักกะส่ายหัวและกล่าว “เรือของนางสามารถเดินทางข้ามโลกมิติมากมายไร้ประมาณโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ความเร็วของนางนั้นเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า ข้าจะหนีนางพ้นได้อย่างไร ข้ากะว่าจะไปในทิศทางตรงกันข้าม และไปหาที่ซ่อนในบรรดาโลกสวรรค์ทั้งสามสิบสามแห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง หากว่านางหาตัวข้าไม่พบ นางก็จะล่าถอยไปเอง ข้าไม่อาจพาเจ้าไปด้วยได้ เพราะเจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน”
เรือบางพวกสามารถเดินทางข้ามโลกมิติทั้งหลายได้ และฉินมู่เคยเห็นเรือจำพวกนี้มาก่อน มหานาวาปารมิตาที่เผ่าเทพวิศวกรรมสร้างขึ้นมาก็เป็นหนึ่งในนั้น ยังมีเรือเหาะที่เป็นของบิดาของเขา ฉินหานเจิน ซึ่งเป็นเรือข้ามโลกมิติเช่นกัน มันได้แล่นลอยมาจากโลกมิติอื่นมายังท้องฟ้าเหนือแดนโบราณวินาศ
ในฐานะจักรพรรดิแดงแห่งสวรรค์ทักษิณ ก็ย่อมไม่น่าประหลาดใจที่นางจะมีเรือเช่นนี้
ฉินมู่ผงกหัวอย่างเงียบงันและกล่าว “พาข้าไปด้วยก็จะเป็นภาระของท่าน พุทธเจ้า แยกกันตรงนี้เถอะ”
พุทธเจ้าท้าวสักกะพยักหน้ากลับไปและกล่าว “นางจะมาถึงที่นี่ในเวลาไม่นาน ข้าจะต้องไปจากเจ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เจ้ามีวิธีเดินทางกลับไปยังสวรรค์ไท่หวงไหมล่ะ”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างมาก ข้าก็แค่จะต้องก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณขึ้นมาอีกอัน ข้ากังวลฝั่งท่านมากกว่า”
พุทธเจ้าท้าวสักกะเพิ่มพูนความเร็วของเขาพลางชี้ไปยังทิศตะวันออก เสียงของเขาตามตัวเขาห่างไกลออกไป “หากว่าเจ้ามุ่งหน้าไปทางนั้น เจ้าน่าจะพบเส้นทางไปยังสวรรค์ไท่หวง!”
เงาร่างของเขาจากไปในทิศไกลๆ อย่างรวดเร็ว และค่อยๆ ลับสายตาไป
ฉินมู่ลืมตาขึ้นมา และพบว่าสายตาของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว เขาแปะใบหลิวทองคำปิดไว้ที่ดวงตาที่สาม เมื่อเขาเผยดวงตาที่สาม เขาก็ไม่กล้าขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ดังนั้นในเวลาปกติเขาปิดมันเอาไว้จะดีที่สุด
เขาเดินไปทางทิศตะวันออกและเห็นว่าสถานที่นี้รกร้าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตปรากฏให้เห็น และมีก็แต่ลูกบอลกระดูกขาวที่กลิ้งไปมาทุกหนแห่ง เมื่อใดที่ลมหยุดพัด โครงกระดูกเหล่านั้นก็จะตามเขาไปราวกับอัลปาก้าขี้สงสัย พวกที่ใจกล้ากว่านั้นถึงกับแตะเสื้อผ้าและหยิกแก้มของเขา
ฉินมู่เมินพรายวิญญาณพวกนี้ขณะที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเพลงขิมดังมาจากท้องฟ้า มันเป็นทำนองเพลงหงส์เพลิงหาคู่สม แม้ว่ามันจะเป็นเพลงเกี้ยวพาและความรัก แต่มันนำมาด้วยความเศร้าและความโกรธแค้น
ท้องฟ้าขมุกขมัวพลันสว่างไสว เมื่อเรืออันมีปีกหงส์เพลิงงอกออกมาลอยเลื่อนมาจากโลกอื่น มันปรากฏในท้องฟ้าแห่งสวรรค์ไท่หมิง ทำนองเพลงขิมดังมาจากเรือนั้น
ฉินมู่ค่อนข้างลุ่มหลงกับเสียงเพลง ในตอนนั้นเอง สำนึกรู้อันน่าสะพรึงกลัวก็กวาดซัดมาจากทุกทิศทาง ผ่านแผ่ขยายไปท่ามกลางดินแดนอันรกร้าง ไหลท่วมสวรรค์ไท่หมิงราวกับน้ำหลาก!
เมื่อคลื่นสำนึกรู้นี้กวาดผ่านร่างของฉินมู่ มันก็ชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะไหลท่วมผ่านเขาไป ไม่แตะต้องตัวฉินมู่
เรือโบกปีกหงส์เพลิงและจากไปด้วยวงโค้งอันตระการตาบนท้องฟ้า มันไม่ได้ไล่ล่าฉินมู่ แต่ไปยังทิศทางที่พุทธเจ้าท้าวสักกะจากไป
จักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋ไม่กังวลเรื่องการจับกุมตัวฉินมู่ นางสนใจก็แต่พุทธเจ้าท้าวสักกะเท่านั้น
“พุทธเจ้าท้าวสักกะมีเรื่องราวอะไรกับนางกันแน่ บางทีพวกเขาอาจจะเป็นตัวละครเอกในเรื่องราวของพวกเขา…”
ฉินมู่เห็นเรือเหาะแล่นจากไป หลังจากที่คลายใจลง เขาก็ขัดเกลาวิชาฝึกปรือของเขาและมุ่งหน้าต่อไปยังทิศตะวันออก สมบัติเทวะมรรคามารได้ปรากฏขึ้นข้างหลังเขา และเขาก็พยายามที่จะหลอมรวมสมบัติเทวะเจ็ดดาวกับสมบัติเทวะหกทิศเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง
หลังจากเดินไปได้สักพัก เขาก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของสวรรค์ไท่หมิง
ทันใดนั้น ฉินมู่ก็ชะงักเท้า เขาเห็นเมืองเทพยดาอันยิ่งยงตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า เมืองเทพยดานี้คึกคักไปด้วยผู้คน มีเทพเจ้ายืนอยู่บนที่สูง คอยเฝ้าระวังไปรอบทิศทาง
ร่างของฉินมู่สั่นเทิ้ม ขณะที่เขาตรวจตราดูรอบๆ สวรรค์ไท่หมิงอันซอมซ่อผุพังได้หายไปแล้ว และที่ปรากฏอยู่นั้นคือสวรรค์ไท่หมิงอันยังไม่ตกลงไปในไฟสงคราม!
ฉินมู่มองไปยังภูมิประเทศโดยรอบ และจิตคิดเขาก็ปั่นป่วนกระเจิดกระเจิง ด้วยภูเขาเหล่านั้นที่เคยพังถล่มกลับมาตั้งใหม่อีกหน และเมืองเทพยดาที่เคยถูกทำลายย้อนกลับมาเอี่ยมอ่อง ภูมิประเทศที่นี่กลับกลายเป็นว่าเหมือนกับหนึ่งในแผนที่ภูมิประเทศที่บรรพจารย์ก่อตั้งลัทธินักบุญสวรรค์ทิ้งเอาไว้ไม่มีผิด
และสิ่งที่แผนที่นั้นชี้ไป ก็คือเมืองเทพยดาแห่งนี้!
“ศิษย์พี่ใหญ่นั้นเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่หลังจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งสิ้นสุดไป ดังนั้นเขาไม่มีทางวาดภูมิประเทศก่อนสมัยที่ยุคจักรพรรดิก่อตั้งจะถูกทำลายล้างไปได้ เขาไม่มีทางที่จะชี้มายังเมืองเทพยดาอันสูญสิ้นไปแล้วแห่งนี้ได้! นี่มันไม่ถูกต้อง มีอะไรบางอย่างผิดปกติ…” จิตคิดของฉินมู่ว้าวุ่นเร่งร้อน