ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 640 มืดมัวและหดหู่
ในวังหลวง นางกำนัลหลายคนมีสีหน้าซูบเซียว เสื้อผ้าของพวกนางก็เรียบง่ายและจืดชืด บางคนก็ไปเด็ดผักอยู่ข้างนอกห้องเครื่องครัวหลวง ฉินมู่เห็นภาพนี้ และในชั่วแวบหนึ่งเขาก็รู้สึกราวกับกำลังเดินเข้าไปในตลาดสด
จักรวรรดิสันตินิรันดร์มั่งคั่งอยู่มากชัดๆ ราชครูสันตินิรันดร์ได้กรุยทางปูถนนสองเส้นเพื่อเชื่อมต่อแผ่นดินภาคกลางเข้ากับแผ่นดินตะวันตก เพราะอย่างนี้การค้าขายจึงกำลังรุ่งเรือง ฉินมู่เห็นผู้คนมากมายมีชีวิตอันสมบูรณ์พูนสุขหลังจากที่สภาราชสำนักก่อสร้างถนนสองเส้นนี้ แต่ทว่า จักรพรรดิและราชวังกลับยากจนข้นแค้น
สาเหตุของความยากจนของพวกเขา นั้นก็เพราะว่าการต่อสู้ที่สวรรค์ไท่หวงได้ส่งผลกระทบต่อท้องพระคลัง ทำให้สมบัติพัสถานในท้องพระคลังเกลี้ยงเกลาไปหมด
สงครามที่สวรรค์ไท่หวงเหมือนเหวลึกที่ถมไม่เต็ม ไม่มีทรัพยากรให้เก็บเกี่ยว และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำศึก งบประมาณและเสบียงทั้งหลายของทัพ รวมทั้งอาวุธวิญญาณ ล้วนแต่ถูกจัดหามาจากสันตินิรันดร์
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงก็ยังอพยพเข้ามาในสันตินิรันดร์อย่างต่อเนื่อง และการจะให้ผู้คนเหล่านี้ได้ลงหลักปักฐานก็ต้องใช้เงินก้อนใหญ่
ไม่น่าแปลกใจเลยที่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงดีใจจนเนื้อเต้นและเสียจริตกิริยาเมื่อเขาสามารถได้รับเงินทองก้อนมหึมาจากการเป็นพันธมิตรกับซากทัพแห่งยุคสมัยแสงฉาน
ไม่นานนัก เอี้ยนจือกุยก็เข้ามาและรายงาน “ฝ่าบาท ข้าได้จัดที่พักรับรองทูตแล้ว ขอเรียนถามฝ่าบาท ข้าควรจะเจรจากับทูตแสงฉานผู้นี้อย่างไร”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงส่งรายนามวัตถุสิ่งของให้แก่เอี้ยนจือกุย “เจรจาต่อรองตามรายการสิ่งของพวกนี้ ข้าจะให้สถานที่ลงหลักปักฐานแก่ผู้รอดชีวิตแห่งยุคสมัยแสงฉานที่นี่ เปิดท่าการค้า สร้างการคมนาคม เรือเหาะ รถเหาะ ทุกๆ อย่างที่พวกเขาต้องการ พวกเราจะจัดหาให้”
เอี้ยนจือกุยมองดูรายการ และเขากระโดดโหยงด้วยความตกใจ เขาเหลือบมองฉินมู่ และถามด้วยน้ำเสียงสั่นระริก “ใต้เท้าฉิน รายการนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นใช่ไหม”
ฉินมู่ตอบ “ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ชื่อซีก็จะตกลงตามนี้แน่ๆ เทพศาสตราเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์มากมายนักต่อซากทัพแห่งยุคสมัยแสงฉาน ในเมื่อพวกเขามีผู้คนไม่มากพอที่จะใช้สอยสิ่งของเหล่านี้ ใต้เท้าเอี้ยนเพียงแต่ต้องจดจำไว้เรื่องหนึ่ง พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา และไม่ใช่พวกเราที่ต้องการพวกเขา อีกอย่าง เจ้าจะต้องเอาวงแหวนเทวะเสกสรรมาให้ได้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม!”
เอี้ยนจือกุยรีบรุดจากไป
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “เมื่อข่าวคราวของการสงครามในสวรรค์ไท่หวงถ่ายทอดมาอย่างไม่ขาดสายในช่วงแรกๆ ข้าก็เลือดเดือดพล่าน กระนั้นก็หวาดกลัวเหมือนเหยียบอยู่ที่ขอบเหว ข้าอยากจะไปที่สนามรบเพื่อสู้กับศัตรูด้วยตนเองเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ราชครูได้เรียบเรียงวิธีการฝึกวิทยายุทธแห่งสวรรค์ไท่หวง ข้าก็ได้ตรึกตรองทำความเข้าใจอยู่สักพักและได้รับอานิสงส์ไม่ใช่น้อย แต่ทว่า ข้าก็ยังคงเสียดายอยู่ดีที่ข้าไม่ได้ไปยังสมรภูมิด้วยตนเอง”
ทันทีที่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพูดจบ ก็มีเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ “เด็กเลี้ยงวัว!”
ฉินมู่มองไปยังทิศทางเสียง และเขาร้องออกมาด้วยความตกใจ “น้องสาวจิว ทำไมเจ้าถึงกลับมาจากสวรรค์ไท่หวงล่ะ”
หลิงอวี้จิววิ่งมาด้วยความเร็วดุจโผบิน เมื่อนางเห็นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงข้างๆ ฉินมู่ นางก็รีบชะลอฝีเท้าลง และเดินมาด้วยท่วงทีอันเคร่งขรึมสำรวม
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ล่าสุดนี้ไม่มีการศึกใหญ่ในสวรรค์ไท่หวง ดังนั้นจิวเอ๋อจึงกลับมา ข้ายังมีกิจการสภาราชสำนักที่ยังไม่แล้วเสร็จ ดังนั้นข้าจะขอตัวก่อน”
ขณะที่เขาค่อยๆ เดินจากไป เขาจะหันกลับมาดูเป็นระยะ เมื่อเขาเห็นว่าฉินมู่และหลิงอวี้จิวเพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีกิริยาท่าทางอื่น เขาถึงได้เดินจากไปด้วยความโล่งอก
เมื่อหลิงอวี้จิวเห็นว่าเขาเดินจากไปแล้วด้วยหางตาของนาง นางก็รีบคว้ามือของฉินมู่และดึงเขาเข้ามาใกล้พลางอธิบายด้วยรอยยิ้ม “หลังจากที่พ่อของข้าบรรลุเป็นเทพ เขาก็ยิ่งน่าเกรงขามมากขึ้นทุกที ทั้งยังชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ มากขึ้นอีกต่างหาก และนี่ก็คงจะคอยมองดูพวกเราจากสถานที่ลับตา พวกเราไปที่อุทยานหลวงเพื่อสลัดเขาให้หลุดกันเถอะ!”
ฉินมู่เดินเซไปข้างหน้าเมื่อเขาถูกนางดึงไป หลังจากที่เดินผ่านโถงทางเดินอันโค้งมนและวกวนจำนวนหนึ่ง พวกเขาก็พบเข้ากับพระสนมจำนวนหนึ่งที่กำลังเดินเล่นไปด้วยกัน หลิงอวี้จิวปล่อยมือฉินมู่ทันทีและคารวะทักทายพระสนมทั้งหลายด้วยท่วงทีอันเปี่ยมมารยาท เมื่อพระสนมเหล่านั้นจากไป นางก็คว้ามือฉินมู่อีกครั้ง และวิ่งไปอย่างเริงร่า
หลังจากวิ่งไปได้อีกไม่กี่ก้าว พวกเขาก็ไปพบเข้ากับนางกำนัลหลายคนที่กำลังนำขบวนจักรพรรดินี และหลิงอวี้จิวก็สะดุ้งโหยง นางรีบกลับสู่ท่วงท่าอันเคร่งขรึมและคารวะทักทายจักรพรรดินี “ท่านแม่”
จักรพรรดินีดึงนางเข้ามาใกล้และกระซิบบางอย่างกับหลิงอวี้จิว จากนั้นนางก็ตรวจตราดูฉินมู่ขึ้นๆ ลงๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิฉินยิ่งนับวันก็ยิ่งหล่อเหลาขึ้นทุกที”
ฉินมู่รู้สึกว่าสายตาของนางที่มองมาทางเขาดูแปลกประหลาด ราวกับว่านางคือแม่ยายที่กำลังมองลูกเขย เขาหน้าแดงเรื่อและหลบไปยืนข้างๆ
เมื่อจักรพรรดินีเดินจากไป หลิงอวี้จิวก็ดึงเขาอีกครั้งและวิ่งตื๋อไปข้างหน้า พวกเขามาถึงอุทยานหลวงในที่สุด “อยู่ในวังอึดอัดชะมัด ข้าต้องถูกจำกัดด้วยกิริยามารยาทมากมาย และไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง เข้าไปในยุทธจักรยังจะดีกว่าเยอะ ข้าทั้งเป็นอิสระและมีความสุข”
ฉินมู่เดินเข้าไปพิจารณาดอกไม้พิสดารและสมุนไพรหายาก พวกมันงดงามเสียจนไม่อาจจินตนาการถึงสิ่งที่งดงามกว่านี้ไปได้ แต่ทว่า ก็ยังมีนางกำนัลจำนวนมากที่กำลังรดน้ำพืชผักและถอนหญ้ากำจัดแมลงใส่สวนผักจำนวนหนึ่ง เป็นเพราะว่าวังหลวงไม่มีเงินทอง พวกนางจึงต้องมาปลูกผักด้วยตนเอง
“น้องสาวจิว ธิดาเทพเซี่ยงกลับมาที่สันตินิรันดร์หรือยัง” ฉินมู่ถามนางพลางชื่นชมทิวทัศน์
หลิงอวี้จิวโมโห “พวกเราไม่ได้พบกันตั้งนาน และแทนที่เจ้าจะคุยกับข้า เจ้ากลับถามถึงนาง? เจ้าคิดถึงนางมากแค่ไหนกันหา”
ฉินมู่รีบกล่าว “ข้าตามหานางเพราะว่ากิจธุระ ข้าไม่ได้คิดถึงนาง!”
“นางกลับมาแล้ว! ปีศาจสาวเซี่ยงกลับมาพร้อมกับข้า!” หลิงอวี้จิวเดินไปข้างหน้า พลางทำแก้มป่องด้วยความโกรธ
ฉินมู่รีบตามนางไป และทั้งคู่ก็มายังหน้าต้นไม้ดอกสะพรั่ง ต้นไม้นี้ไม่สูงนัก และฉินมู่น้าวกิ่งหนึ่งมา เขาก้มลงไปสูดดมกลิ่นของดอกหนึ่ง และรอยยิ้มก็คลี่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา
เขาขับเคลื่อนเคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม และขณะที่จมูกของเขากำลังจะแตะกลีบดอกไม้ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ได้ออกไปจากร่างแล้ว
เมื่อหลิงอวี้จิวมองไปที่ด้านข้างของใบหน้าอันหมดจดและหล่อเหลาของเขา นางก็อดจะรู้สึกไม่ได้ว่ากลิ่นหอมของดอกไม้ชวนให้เมามายในชั่วจังหวะนี้ หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าของนางแดงเรื่อ และลมหายใจก็กระชั้นถี่ขึ้น
อีกฟากหนึ่ง ซีอวิ๋นเซี่ยงพลันรู้สึกบางอย่าง และนางรีบขับเคลื่อนเคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม เมื่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางออกจากร่าง นางก็เห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่มาถึง
“ธิดาเทพเซี่ยง องค์หญิงจิวและข้าอยู่ในอุทยานหลวง และตอนนี้ก็มีเวลาไม่มาก ดังนั้นข้าจะพูดอย่างสั้นๆ”
สำนึกรู้ของจิตวิญญาณดั้งเดิมฉินมู่ส่งคลื่นกระเพื่อมไป กล่าว “ท้องพระคลังของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ว่างเปล่า ลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีเงินทองอยู่บ้างหรือไม่”
ซีอวิ๋นเซี่ยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากำลังเกี้ยวพาอยู่กับนังจิ้งจอกน้อยอวี้จิวในอุทยานหลวง แต่กระนั้นเจ้าก็ยังมาพบภรรยาน้อยของเจ้าอย่างลับๆ นี่ช่างสมกับเป็นจ้าวลัทธิมาร! ลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีเงินทอง และจะใช้ซื้อสันตินิรันดร์ไปครึ่งประเทศก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสักนิด ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรามีทรัพย์สินอยู่ทั่วโลกหล้า และทุกโถงๆ ก็รุ่งเรืองมั่งคั่ง ไม่ว่าจะเป็นการค้าในแผ่นดินภาคกลางหรือแผนดินตะวันตก เหมืองแร่ หรือธุรกิจหลอมสร้างอาวุธวิญญาณ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรามีเอี่ยวในทุกๆ อย่าง นั้นจึงทำให้เงินทองไหลมาเทมาอย่างไม่รู้จบ”
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่นิดหนึ่งและกล่าว “กันเงินที่ต้องใช้สอยภายในลัทธิเอาไว้ และบริจาคเงินที่เหลือให้แก่จักรพรรดิ ใช้จักรพรรดิใช้จ่ายตามที่เขาต้องใช้”
ซีอวิ๋นเซี่ยงปฏิเสธทันที “ไม่มีทาง! เงินทองพวกนี้หามาได้จากพี่น้องของลัทธิศักดิ์สิทธิ์พวกเรา ทำไมพวกเราถึงต้องมอบให้จักรพรรดิโดยไม่มีเหตุผลด้วย”
ฉินมู่กล่าวอย่างใจเย็น “นั่นคือวิธีการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้ การก่อตั้งลัทธินักบุญสวรรค์นั้นมิใช่เพื่อหาเงินทอง แต่เพื่อยังประโยชน์แก่ชีวิตประจำวันของผู้คนธรรมดา เพื่อให้ผู้คนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราดำเนินการทางเศรษฐกิจนั้นเพื่อให้ชีวิตของพวกคนสะดวกดายมากขึ้น และไม่ใช่เพื่อสั่งสมเงินทองเข้ามารวมเอาไว้ ที่เจ้าได้มานั้นคือเหรียญสมบูรณ์พูนสุข หากว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์ไม่มีอยู่อีกต่อไป เหรียญสมบูรณ์พูนสุขก็จะไม่มีประโยชน์เช่นกัน บัดนี้เมื่อลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้กอบโกยความมั่งคั่งถึงครึ่งนึงของโลกหล้า ภัยพิบัติก็อยู่ไม่ไกลแล้ว”
ซีอวิ๋นเซี่ยงยังคงอิดออด “พวกเราแสวงหาเงินทองพวกนี้มาด้วยความเหนื่อยยากชัดๆ…”
“เงินทองทำให้เกิดความมั่งคั่งได้ และก็ทำให้เกิดภัยพิบัติได้เช่นกัน ตราบเท่าที่มันเป็นประโยชน์แก่ผู้คน นั่นก็ใช้ได้ แต่หากว่ามันไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้คน นั้นใช้ไม่ได้แล้ว ลัทธิศักดิ์สิทธิ์พวกเรามิได้แข็งแกร่งขนาดที่จะลอยขึ้นไปเหนือหัวผู้คน ลอยขึ้นไปเหนือจักรวรรดิ พวกเราไม่ได้แข็งแกร่งจนไร้ผู้ต่อต้าน! เมื่อแรกที่ก่อตั้งลัทธิ ลัทธินักบุญสวรรค์มีเจตนาดั้งเดิมเพื่อดำเนินตามมรรคาแห่งนักบุญ ไม่ใช่เพื่อกอบโกยความมั่งคั่งของโลกหล้า”
ซีอวิ๋นเซี่ยงยังคงไม่ยินดี ทันใดนั้นหญิงชราผู้หนึ่งก็เดินตรงมายังจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขา นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังพวกเขาทั้งสอง “เซี่ยงเอ๋อ จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์กล่าวถูกแล้ว พวกเรานำมาจากผู้คน ดังนั้นก็ย่อมต้องคืนไปให้แก่พวกเขา ตระกูลซีของพวกเราอาจจะเป็นผู้จัดการทรัพย์สมบัติของลัทธิก็จริง แต่ทรัพย์สมบัติของลัทธิจะใช้สอยอย่างไรนั้นก็ยังคงเป็นการตัดสินใจของจ้าวลัทธิ เจ้านั้นให้ความสำคัญกับเงินตรามากจนเกินไป และหลงลืมหัวใจของลัทธินักบุญสวรรค์”
ฉินมู่คารวะทักทายหญิงชราทันที “ยายทวดแห่งตระกูลซี!”
หญิงเฒ่ารีบคารวะกลับไปและยิ้มแฉ่ง “จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ เซี่ยงเอ๋ออาจจะละโมบอยู่หน่อย แต่นางก็ไม่ใช่คนหน้าเงิน”
ฉินมู่ขอบคุณและกล่าว “ที่แท้ที่นี่ก็คือตระกูลซี ข้าได้บุกรุกเข้ามาและทำให้ยายทวดแตกตื่น โปรดอภัยให้ด้วย ตอนนี้ข้ายังคงอยู่ที่อุทยานหลวง ดังนั้นข้าต้องรีบกลับไป” หลังจากกล่าวจบ เขาก็โค้งคารวะ และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็หายวับไป
ซีอวิ๋นเซี่ยงก็รีบดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางกลับเข้ามาในร่าง “ทำไมยายทวดถึงอยากจะให้ทรัพย์สมบัติของลัทธิศักดิ์สิทธิ์แก่จักรพรรดิล่ะ”
ยายทวดแห่งตระกูลซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิพูดถูกแล้ว ผู้คนร่ำรวย จักรวรรดิอ่อนแอ และมีผู้คนจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่มั่งคั่งจริงๆ เมื่อศัตรูภายนอกรุกรานและจักรวรรดิถูกทำลายล้าง ความมั่งคั่งของผู้คนทั้งหลายก็จะหายวับไป ไม่ว่าใครจะมีเงินทองมากแค่ไหน มันก็จะกลายเป็นสายน้ำที่ไหลหลุดมือ ทางที่ดีที่สุดคือการทำให้มีผู้คนมั่งคั่งในจักรวรรดิอันแข็งแกร่ง ตราบเท่าที่จักรวรรดิไม่ถูกทำลาย ความมั่งคั่งของผู้คนก็จะยืนนาน”
ในอุทยานหลวง จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่กลับคืนสู่ร่าง เขาเห็นหลิงอวี้จิวก็ก้มลงมาตรงหน้าเขา สูดดมกลิ่นดอกไม้ด้วยเช่นกัน ระหว่างใบหน้าของพวกเขามีแค่ดอกไม้ขวางกั้น
ฉินมู่พลันปล่อยกิ่งที่น้าวเอาไว้ และจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากของนาง หลิงอวี้จิวร้องด้วยความแตกตื่น และหันกลับไปเพื่อจะหนี นางแหวกดงดอกไม้ไป และเสียงของนางก็ดังมาจากไกลๆ “คนผีทะเล หากว่าพ่อของข้ารู้เรื่องนี้ เขาจะตัดหัวเจ้าแน่ๆ!”
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดังและวิ่งไล่ตามนางไป
ข้างใต้ต้นหลิวที่ไกลๆ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมีสีหน้าอันมืดดำ ขณะที่กล่าวกับขันทีน้อยข้างหลังเขา
“เอาสมุดน้อยของข้าออกมา!”
ขันทีน้อยรีบนำสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ พู่กัน และหมึกออกมา จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพลิกสมุดน้อยของเขา และยกพู่กัน “แต๊ะอั๋งบุตรสาวอันล้ำค่าของข้า ตัดหัวเจ้า ข้าจะจดมันเอาไว้ก่อน!”
“ฝ่าบาท พวกเราแอบมองจากที่นี่คงจะไม่ดีหรอกกระมัง” ขันทีน้อยถามอย่างระมัดระวัง
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจ้องเขา “ตัดหัวเจ้าด้วย แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ข้าจะจดมันเอาไว้ก่อน”
ขันทีน้อยเม้มปาก “ฝ่าบาท หัวของข้าโดนตัดไปมากกว่าสิบครั้งแล้ว”
…
ฉินมู่ไล่ตามหลิงอวี้จิว เด็กสาวและเด็กหนุ่มละเล่นกันอยู่พักหนึ่ง และรู้สึกสนุกสมใจ ขณะที่ความรู้สึกของพวกเขาบ่มรุนแรงมากขึ้นและอยากที่จะทำอะไรสักอย่าง กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็เข้ามา หลิงอวี้จิวรีบถอยออกไปเมื่อเห็นเขากำลังเดินมา
“นางเป็นเด็กสาวที่ไม่เลวเลยทีเดียว” กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าว
ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ “เจ้าเห็นหมดเลยหรือ”
“จักรพรรดิก็ด้วย เขาอยู่ตรงนั้น”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกชี้ไปยังต้นไม้ที่ไกลๆ และกล่าว “เขาลอบตามพวกเจ้าทั้งสองมานานแล้ว จักรพรรดินีอยู่ตรงโน้น ซ่อนอยู่ข้างหลังภูเขาจำลอง ข้าเห็นพวกเขาอยู่เมื่อครู่ แต่พวกเขาไม่สังเกตเห็นข้า”
ฉินมู่เหงื่อแตกพลั่กเมื่อเขามองไปที่ต้นไม้ เขาเห็นจักรพรรดิยกเสื้อคลุมมังกรขึ้นและจากไปพร้อมกับขันทีน้อยอย่างรวดเร็ว อีกฟากหนึ่ง จักรพรรดินีและนางกำนัลจำนวนหนึ่งก็กำลังเคลื่อนที่ออกไปจากหลังภูเขาจำลองด้วยความรีบร้อน
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมองไปที่ฉินมู่ซึ่งกำลังกลัดกลุ้ม และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าและข้าเหมือนกันจริงๆ โยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้คนอื่น และไม่เอาตัวเองเข้าไปลำบากเกี่ยวข้อง บัดนี้เมื่อการเจรจากับชื่อซีถูกส่งต่อไปให้จักรพรรดิ พวกเราก็น่าจะสนทนาถึงเรื่องธุระกันดีกว่า เจ้าอยากจะเรียนมุทราฟ้าและดินของข้าหรือไม่ เจ้าก็ได้เห็นแล้วว่ามันแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ทว่า ข้าไม่อาจหาผู้สืบทอดได้ มีก็แต่เจ้าที่สามารถสืบทอดมุทราของข้า…”
“บรรพชนแรก ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะเรียน แต่มันเป็นเพราะว่ากรอบคิดจิตใจของข้านั้นแตกต่างจากเจ้า”
ฉินมู่กล่าวอย่างขึงขัง “ข้าไม่มีประสบการณ์แบบเจ้า และข้าไม่อาจจะเรียนวิชามุทราของเจ้าได้”
บรรพชนแรกจนด้วยคำพูด เขาเหมือนกับประสบความล้มเหลวอันยิ่งใหญ่ ทำให้เขาห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา เขามีสีหน้าอันมืดมัวและหดหู่ ราวกับว่าจะแก่ลงไปหลายสิบปีในชั่วพริบตา
ฉินมู่ทนมองดูเขาเป็นแบบนี้ไม่ไหว จึงกล่าว “ทำไมเจ้าไม่สอนให้ข้าก่อนล่ะ ข้าจะเรียนมันหากว่าเรียนได้ หากว่าข้าเรียนไม่ได้ ข้าก็จะแสวงหาผู้สืบทอดที่คู่ควรให้กับเจ้า”
ความเศร้าของบรรพชนแรกเปลี่ยนเป็นความปีติยินดี และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้ามีกายาจ้าวแดนดิน เจ้าจะต้องสามารถเรียนได้อย่างแน่นอน! วิชาฝึกปรือของข้าเรียกว่าเคล็ดลับศักดิ์สิทธิ์หฤทัยฟ้าดิน เจ้าจะเป็นหัวใจของฟ้าและดิน ยืนอยู่ท่ามกลางระหว่างพวกมันเมื่อพวกมันกำลังพังทลายลงมา เจ้าจะหยิบยืมพลานุภาพของสวรรค์ถล่มและพิภพทลาย แปรเปลี่ยนเป็นวิชามุทราฟ้าและดินของข้า!”
เขาถ่ายทอดวิชาฝึกปรือและวิชามุทราให้แก่ฉินมู่อย่างไร้ที่ติ และฉินมู่ก็เรียนอย่างขะมักเขม้น เขาจดจำและตรึกตรองเข้าใจวิชาฝึกปรือและวิชามุทราของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกด้วยความแม่นยำอันไร้ปานเปรียบ มันไม่ด้อยไปกว่าคัมภีร์สักกะ และยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีความรู้และความเข้าใจแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง
แต่ทว่า วิชาฝึกปรือเช่นนี้ได้นำมาซึ่งรอยประทับอันเข้มข้นของยุคสมัยนั้น ฉินมู่ตรึกตรองมัน แต่เขาก็ไม่อาจเข้าใจมันได้อยู่ดี
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเต็มไปด้วยความลุ้น และรอให้ฉินมู่ขับเคลื่อนวิชามุทราของเขา แต่ทว่า หลังจากที่ฉินมู่เรียนมัน เขาก็เรียนอักษรรูนที่อยู่บนวงแหวนเทวะเสกสรรต่อ เขาพยายามประกอบอักษรรูนเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เพื่อขับเคลื่อนทักษะเทวะเสกสรร
ฉินมู่ตัดสินใจที่จะลองมัน และซัดมุทราออกมา นางกำนัลน้อยคนหนึ่งที่เดินผ่านมา ร้องเย้วด้วยความตกใจ เมื่อนางแปลงร่างเป็นลูกแกะตัวหนึ่ง
ฉินมู่ร้องออกมาด้วยความลิงโลด “มันสำเร็จแล้ว! มันทำได้แล้ว!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกหดหู่ ฉินมู่จับลูกแกะน้อยขึ้นมา และย้อนวิชามุทราเพื่อแปลงลูกแกะให้กลับเป็นนางกำนัล นางรีบวิ่งหนีไปด้วยความแตกตื่น
ฉินมู่ปรายตามองสีหน้าของเขา และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “บรรพชนแรก ข้าบอกแล้วว่ากรอบคิดจิตใจของพวกเราแตกต่างกัน ข้าไม่มีกรอบคิดจิตใจแบบเจ้า ดังนั้นจึงไม่อาจขับเคลื่อนวิชามุทราของเจ้า”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกส่ายหัว และหันกายเดินจากไปด้วยสีหน้าอันแห้งแล้ง “เจ้าจะรู้ได้อย่างไร หากว่าเจ้าไม่เคยลองมันมาก่อน ข้าคิดว่าเจ้าและข้าเหมือนกัน ล้วนแต่เป็นเด็กกำพร้าที่พลัดพรากจากตระกูลฉิน ทอดทิ้งไว้ในโลกใบนี้…”
ตูม
เสียงระเบิดจากแรงสั่นสะเทือนพลันดังมาจากข้างหลังเขา บรรพชนแรกหันกลับไป และเห็นฉินมู่ยืนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน ร่างกายของเขาพร้อมที่จะต่อสู้กับภัยพิบัติอันคืบคลานเข้ามา
บรรพชนแรกตกตะลึง และเผยสีหน้ากระตือรือร้น
“ไม่มีอะไรที่กายาจ้าวแดนดินเรียนไม่ได้” ด้วยมือหนึ่งเป็นฟ้า และมือหนึ่งเป็นดิน ฉินมู่มีสีหน้าอันมืดมัวและหดหู่