ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 647 สวรรค์ถล่มพิภพสาบสูญ
“บนเรือนี้มีซากทัพที่เหลือรอดจากสองรัชสมัยเชียว”
ร่างกายของเทพครองดาวมหาตะวันทั้งสูงและแข็งแกร่ง เขาเหมือนกับนกยักษ์ที่เกาะอยู่บนเรือ ดวงตาทั้งสามของเขาเปิดขึ้นและมองลงมา เอียงคอหกของเขาไปยังชื่อซีและกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก จากนั้นเขาก็มองไปยังตึกวิเศษด้วยความสนอกสนใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากจับตัวพวกเจ้า ข้าก็จะสามารถค้นพบเส้นทางไปยังหมู่บ้านไร้กังวล ปราบปรามซากทัพทั้งหมดในรวดเดียว นี่ช่างง่ายดายเสียจริง! แล้วใครกันที่ต้องการโลหิตของข้า”
“ข้า!”
ฉินมู่เปิดหน้าต่างและยกมือขึ้น “เทพครองดาวตะวัน เป็นข้าเอง ข้าอยู่ตรงนี้!”
เทพครองดาวมหาตะวันยิ้มให้เขา “เจ้าตายไปแล้ว”
ฉินมู่รีบแตะเนื้อตัวของตนเองไปมา และพบว่ายังไม่เป็นอะไร “ข้ายังคงมีชีวิตและสบายดี ข้าจะตายได้อย่างไร”
เทพครองดาวมหาตะวันกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ในสายตาของข้า ไอ้เด็กต่ำช้าอย่างพวกเจ้าได้ตายไปแล้ว มีก็แต่สหายสองคนที่กล้าสู้กับข้าเท่านั้นที่จะได้รับการไว้ชีวิต และนั่นก็เพราะว่าข้าต้องการแสวงหาหมู่บ้านไร้กังวลกับโลกลอยเลื่อน”
โดยไม่บอกกล่าว ผานกงสั่วพุ่งเข้าไปและปิดหน้าต่างเสียงดังปัง
หน้าต่างถูกผลักเปิดอีกครั้ง และฉินมู่ก็โผล่หัวของเขาออกมาด้วยรอยยิ้ม “แต่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ชัดๆ”
เทพครองดาวมหาตะวันม่านตาหรี่แคบ เขายิ้มหยัน “เจ้าจะตายในไม่นาน”
ปัง
ผานกงสั่วปิดหน้าต่างอีกครั้ง
หน้าต่างเปิดดังเอี๊ยดอีกหน และฉินมู่ก็โผล่หัวออกมา “งั้นทำไมเจ้าถึงบอกว่าพวกเราตายไปแล้ว พวกเรายังคงพูดจาและกระโดดโลดเต้นได้อยู่เลย งั้นคำพูดของเจ้าก็ฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด”
เทพครองดาวมหาตะวันขมวดคิ้ว และเพลิงไฟก็พวยพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสาม เขากำลังจะสังหารไอ้เด็กต่ำช้านี่เดี๋ยวนี้
ฉินมู่ปิดหน้าต่างอย่างทันท่วงที เสียงหัวเราะของเขาดังมาจากข้างในห้องเรือ “เขาคิดว่าข้าจะกลัวจนขี้หดตดหาย แต่เขากลับกลายเป็นอึ้งกิมกี่เพียงแค่ข้าพูดไปสองประโยค ดูสิหน้าเขาเขียวคล้ำไปหมดแล้ว”
เสียงอีกเสียงดังมาจากในห้องเรือ “ใต้เท้าฉิน! ท่านปู่ฉิน! โปรดหยุดพูดด้วยเถอะ ถือว่าข้าขอร้อง!”
“เขาถึงกับใช้ลูกตาถลึงจ้องข้า…”
“หยุดพูด!”
“ผู้สูงศักดิ์ ต่อให้เจ้าคุกเข่าและวิงวอนเขา เขาก็ไม่ปล่อยเจ้าไปหรอก งั้นทำไมเจ้าไม่ด่าทอเขาจนกว่าจะสาแก่ใจแทนล่ะ”
…
ไม่ทันที่รังสีเทวะจากดวงตาเทพครองดาวมหาตะวันจะยิงออกไป กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็ฟันใส่เขาไปหนึ่งกระบี่ เทพครองดาวมหาตะวันยกกรงเล็บขึ้นมาปัดป้องกระบี่ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพลงกระบี่กระจอก”
เมื่อกรงเล็บคมกริบของเขาขัดขวางกระบี่ สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบรั้งกรงเล็บกลับมา และแสงเทวะในดวงตาของเขาก็ยิงตรงไปยังกระบี่ของบรรพชนแรก เขากล่าวอย่างเย็นชา “แต่กระบี่ดี!”
กรงเล็บของเขาแทบจะถูกกระบี่หยกสว่างสะบั้นไป และเขาก็โชคดีที่รั้งกลับมาได้ทันกาล
บรรพชนแรกเสียบกระบี่กลับเข้าฝัก และใช้มุทราฟ้าและดินเพื่อป้องกันพลานุภาพจากรังสีเนตรทั้งสาม อีกฟากหนึ่ง เทพชื่อซีพุ่งตัวเข้าไป กระบี่ทั้งหกเล่มร่ายรำ ฟาดฟันไปยังเทพครองดาวมหาตะวันพร้อมๆ กับตึกสยบสวรรค์ข้างหลังเขา
เทพครองดาวมหาตะวันต้านรับวิชามุทราของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกไว้ด้วยมือเปล่า เขาเผยสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อชื่อซีขย้ำเข้ามา และเขาก็รีบกระพือปีกของตนเพื่อหลบหลีกแสงกระบี่และตึกสยบสวรรค์
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกและชื่อซีกระโจนออกจากเรือเหาะ ต่อสู้กับเทพครองดาวมหาตะวันอย่างดุเดือดท่ามกลางฟ้าประดับดาว
เทพครองดาวมหาตะวันกางปีกของเขา และเทพอีกาไฟจำนวนมากก็โบยบินออกมาจากข้างในนั้น กระพือปีกพุ่งไปยังเรือเหาะ เขายิ้มหยันและกล่าว “ไอ้ตัวจ้อยในห้องเรือ พวกเจ้าตายได้!”
ในจังหวะที่เทพอีกาไฟเหล่านั้นลงไปยังเรือเหาะ พวกมันก็รีบพุ่งทะลวงไปยังห้องเรือ แต่ทว่า จู่ๆ ประตูก็เปิดออกมา และฉินมู่ยืนอยู่ตรงกลางพร้อมกับกล่องเล็กในมือ
ข้างหลังเขา ผานกงสั่วและหลิงอวี้จิวรีบหลับตา ไม่กล้ามองไป
พวกเขาได้เสียงเสียงแผ่วเบาเท่านั้น และทันใดนั้น รัศมีอันดุร้ายก็พวยพุ่งออกไปราวกับว่าตัวตนอันกระหายเลือดได้ลืมตาตื่นขึ้นมาและหมายจะกัดกินผู้คน!
ศีรษะเหมือนหยกในหีบพลันลืมตาขึ้นมา และเผยสีหน้าอันตื่นเต้น พังผืดข้างหลังศีรษะที่เชื่อมต่อกับกล่อง เปิดกางออกมาราวกับแม่เบี้ยงูเห่า และสั่นสะเทือนอย่างรวดเร็ว
ลำแสงโลหิตสองเส้นยิ่งออกไปจากดวงตาของศีรษะนี้ และกวาดไปมาอย่างสุ่มๆ ราวกับมังกรตระเวนแดนดิน!
ความเงียบอันน่าสยดสยองเข้าคลี่คลุมเรือ เทพอีกาไฟหลายร้อยตนที่กำลังจะโจมตีก็ชะงัก ยืนนิ่งขึงอยู่กับที่
เมื่อลำแสงสองเส้นรั้งกลับมา และค่อยๆ หดกลับเข้าไปข้างใน ฉินมู่ก็ปิดกล่อง กลิ่นโลหิตฉุนเฉียวทำให้ฉินมู่วิงเวียนจนแทบสลบ และนี่ทำให้หัวใจเขาเต้นระทึก
เสียงเรอดังมาจากในหีบ และเขาไม่รู้ว่าที่ได้ยินนั้นหูแว่วไปเองหรือเปล่า
ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกห้องเรือ เทพอีกาไฟทั้งหลายยังคงยืนแข็งค้างอยู่กับที่ และทันใดนั้น คลื่นกระเพื่อมจากทักษะเทวะของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ชื่อซี และเทพครองดาวมหาตะวันก็แล่นมาถึง ทำให้ศีรษะและร่างกายทั้งหลายแยกออกจากกัน ศีรษะของพวกมันร่วงลงจากคอ หล่นลงไปยังพื้นดิน
เสียงตึงๆ ดังมา เมื่อซากร่างทั้งหลายล้มลงไปกับพื้น
“เด็กเลี้ยงวัว รอบตัวเจ้ามีไอโลหิตอยู่!” หลิงอวี้จิวลืมตาขึ้นมาและเห็นหมอกสีแดงเลือดพัวพันไปรอบกายฉินมู่
ฉินมู่ผงะ เขาก้มศีรษะมองดูร่างกายตนเอง และมองเห็นหมอกรางๆ ที่ลอยอยู่รอบๆ ตัวเขา หมอกแดงเหล่านี้เหมือนกับไอควัน แต่เขาสัมผัสมันไม่ได้ ทว่าสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันเป็นสิ่งพิลึกกึกกืออย่างแท้จริง
“เจ้าถูกไอโลหิตพัวพันเสียแล้ว จ้าวลัทธิฉิน โชคดีอะไรอย่างนี้”
ผานกงสั่วแย้มยิ้ม “เจ้าได้สังหารเทพเจ้าไปมากมาย นี่ก็หลายร้อยตนเลยใช่ไหม ดวงจิตของพวกเขาก็คงจะมาเกาะกุมตัวเจ้า ดังนั้นเจ้าก็จะต้องตายอย่างแน่นอน!”
ฉินมู่ทำท่าจะเปิดหีบ และผานกงสั่วก็สีหน้าแปรเปลี่ยน เขารีบหนีไปทันที
“ไอโลหิตนี้น่าจะเป็นของกล่อง แล้วทำไมมันมาพัวพันตัวข้าแทนล่ะ หากว่าข้าไม่ป้อนอาหารให้แก่มัน ข้าจะกลายเป็นเหยื่อรายถัดไปหรือเปล่า” ฉินมู่รู้สึกไม่สบายใจ
เขาเองก็มองไม่ออกว่าไอโลหิตพวกนี้คืออะไรกันแน่ แต่เขารู้สึกได้รางๆ ว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับหีบ
ทันใดนั้น ไอโลหิตก็ควบแน่นเข้าด้วยกันราวกับควันหนาแน่น และมันก็มุดเข้าไปในใจกลางหว่างคิ้วของเขา ไอโลหิตหายเข้าไปในดวงตาที่สาม ไม่นานนักมันก็ถูกดูดกลืนไปหมด
เสียงเรอดังมาจากดวงตาที่สามของเขา
ฉินมู่เอียงคอคิด เสียงเรอหนึ่งดังมาจากกล่อง และอีกเสียงเรอหนึ่งก็ดังมาจากดวงตา โลกนี้นับว่ามีเรื่องประหลาดเยอะเสียเหลือเกิน
…
ในโลกภายในดวงตาที่สามของฉินมู่ เสียงอันชั่วร้ายก็ดังออกมา “ใครกล้าขโมยอาหารของข้า ไอ้เด็กนั่นมันเป็นเสบียงที่ข้าหมายตาเอาไว้ เจ้าถึงกับกล้าขโมยอาหารข้าเลยรึไอ้พวกปีศาจโลหิต ข้าจะกินพวกเจ้าให้หมด…”
ฉินเฟิงชิงสูดเอาไอโลหิตเข้าไปราวกับเส้นหมี่ และส่งเสียงเรอจากในคอ จากนั้นเขาก็แกว่งหมัดขึ้นไปบนท้องฟ้าและคำราม “กล้าดีอย่างไรถึงมาแยกเขี้ยวใส่ข้า ข้าหลุดออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่ ข้าจะทุบเจ้าให้เละ แล้วกินเจ้าให้หมด…”
…
ในท้องฟ้าประดับดาวนอกเรือ การต่อสู้อันยิ่งใหญ่ได้ปะทุขึ้นมา เรือเหาะถูกผลักห่างออกไป ไกลทุกทีๆ ด้วยคลื่นกระเพื่อมของทักษะเทวะของพวกเขา
ระหว่างการต่อสู้ของเทพครองดาวมหาตะวัน บรรพชนแรก และชื่อซีนั้น ฝ่ายหลังมีตึกสยบสวรรค์หนึ่งพันชั้นเหนือศีรษะ พลางกวัดแกว่งกระบี่หกเล่ม ทักษะเทวะกายเนื้อของเขานั้นแข็งแกร่งไร้ปานเปรียบ และเมื่อต่อสู้ไป เขาก็ยิ่งดุร้าย ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่ากำลังเนตรของฉินมู่ ก็ไม่อาจมองทันความเร็วการโจมตีของชื่อซี เขานั้นเร็วอย่างยิ่งยวด
คนผู้นี้มีสามหัวและหกแขน กระบี่ทั้งหกเล่มของเขาล้วนแต่เป็นเทพศาสตราอันสุดยอด และวิชาบู๊ของเขาก็ดิบเถื่อน ความเร็วการต่อสู้ประชิดตัวของเขาไร้เทียมทาน กำลังฝีมือของเขาต่ำกว่าเทพครองดาวมหาตะวันและกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ดังนั้นเขาจึงได้แต่อาศัยใช้ตึกสยบสวรรค์ของตน จึงสามารถปัดป้องการโจมตีของเทพครองดาวมหาตะวันได้
ร่างกายที่มีสามเศียรหกกรนั้น นับได้ว่าเป็นร่างเนื้ออันแข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริง สำหรับคนธรรมดาแล้ว การมีแขนเพิ่มอีกข้างก็จะเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรไปอย่างมาก ทำให้สามารถสำเร็จวิชาต่างๆ ได้มากขึ้น
ยิ่งมีแขนเพิ่มมากเข้าไปอีกเท่าไร ก็ยิ่งทวีคูนพลังการโจมตีแต่ละท่า และสามหัวหกแขนของเขาก็ได้พัฒนาวิชาต่อสู้ประชิดตัวจนครบสมบูรณ์!
ฉินมู่ออกจากห้องเรือไปยืนอยู่ที่ท้ายเรือ และเขาก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ อุทานใจใน ยุคสมัยแสงฉานมีความสำเร็จเชิงทักษะเทวะไม่มาก แต่ความสำเร็จของพวกเขาในเชิงกายเนื้อนั้นน่าแตกตื่นอย่างแท้จริง การเพิ่มแขนและศีรษะเข้าไปแต่ละชิ้น ก็เทียบเท่ากับการเพิ่มท่วงท่าเข้าไปหนึ่งท่วงท่าในท่วงท่ากระบี่พื้นฐานทั้งสิบสี่ ดูเหมือนว่าพวกเราจะดูเบาวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลที่ผานกงสั่วฝึกปรือเกินไปแล้ว!
ในแดนโบราณวินาศ พวกเขาเห็นเทวะรูปหลายรูปที่มีหลายเศียรและหลายกร ยุคสมัยแสงฉานคงจะเป็นแรงบันดาลใจให้เทพเจ้าสามเศียรหกกรที่ฝึกปรือมาเหล่านี้
จากจุดนี้ ใครก็คงนึกออกได้ว่าความสำเร็จเชิงกายเนื้อของยุคสมัยแสงฉานนั้นสูงล้ำปานใด
แต่ถึงอย่างไร พลานุภาพมากกว่าครึ่งของเทพครองดาวมหาตะวันก็ทุ่มเน้นไปยังกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ในครั้งแรกที่พวกเขาปะทะกัน เทพครองดาวมหาตะวันก็รู้สึกได้ทันทีถึงพลานุภาพอันน่าตื่นตระหนกของบรรพชนแรก
วิชามุทราของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสามารถต้านรับการโจมตีของเขาได้ และนี่ทำให้เขารู้สึกถูกคุกคาม ส่วนชื่อซีนั้น แม้ว่าจะทำให้เขายุ่งยากไม่น้อย แต่กำลังการต่อสู้ของเขานั้นห่างไกลจากบรรพชนแรก
วิธีการต่อสู้ของเทพครองดาวมหาตะวันก็ได้เปิดขอบฟ้าวิสัยทัศน์ให้แก่ฉินมู่ด้วยเช่นกัน
ขาทั้งสามของเทพตนนี้ล้วนแต่เป็นขานกอันมีกรงเล็บคมกริบ กรงเล็บคมเหล่านั้นเคลื่อนไปในอวกาศประดุจอาวุธคมกล้าสะบั้นศิลาทลายภูผาได้อย่างไม่ยากเย็น
เขายังมีสองปีกอันกระพือด้วยเสียงดัง พวกมันขยับเคลื่อนอย่างเร็วสุดขีด ทำให้เขาเคลื่อนไหวไปทุกทิศทาง และปีกคู่ก็สามารถฟาดฟันลงมาราวกับมีดเทวะที่ผ่าฟากฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีพลังงานไฟอันไร้ประมาณอีก!
ปีกคู่นี้กระพือรัวเมื่อเขาเคลื่อนตัวฉวัดเฉวียน นี่ทำให้ความเร็วการเคลื่อนที่ของเทพครองดาวมหาตะวันเร็วอย่างสุดกู่ เร็วขนาดที่ว่าชื่อซีและบรรพชนแรกตามไม่ทัน
นอกจากปากแล้ว เขายังมีแขนและมือสองข้าง และมือทั้งสองก็ขับเคลื่อนทักษะเทวะ เมื่อใดที่เขาผนึกมุทรา ดวงตะวันก็จะกระโดดออกมาจากฝ่ามือของเขาและระเบิดออก เพลิงไฟพวยพุ่งเต็มอวกาศประดุจดวงอาทิตย์เล็กๆ มากมาย
นอกจากร่างกายของเขาแล้ว จะงอยปากของเขายังเป็นอาวุธอันทรงอานุภาพ เมื่อเขาจิกลงไป เขา ก็สามารถเจาะรูใหญ่บนกะโหลกของบรรพชนแรกและชื่อซีได้หากว่าฝ่ายหลังหลบไม่ทัน
ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งไปกว่านั้นคือดวงตาทั้งสามของเขา วิชาพยุหะที่ซ่อนอยู่ในดวงตาเหล่านั้น สามารถยิงแสงเทวะออกมาได้คล้ายคลึงกับเนตรหยกตะวันที่ถูกกระตุ้นให้ทำงาน และพลานุภาพของมันก็ยิ่งร้ายกาจกว่าหลายเท่าตัว!
หัวทั้งสามและแขนทั้งหกของชื่อซีทำให้วิธีการต่อสู้ของเขาซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง และวิธีการต่อสู้ของเทพครองดาวมหาตะวันก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน ด้วยปีกใหญ่หนึ่งคู่ ร่างของเขาก็เคลื่อนไหวไปมาปานสายฟ้า กรงเล็บ ปีก มือ จะงอยปาก และดวงตา ต่างทำงานสอดคล้องประสานกันเพื่อจู่โจมไปยังบรรพชนแรกและชื่อซีได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่นานนัก เขาก็ทำให้ทั้งสองคนนั้นได้รับบาดเจ็บไปทั่วตัว
หากว่าเป็นแบบนี้ต่อไป บรรพชนแรกและชื่อซีจะต้องตายในเงื้อมมือเขาแน่นอน
ดวงตาของฉินมู่ลายไปหมด เขาอยากที่จะเปิดหีบเล็กและใช้มีดปริศนาประหารเทพเพื่อสนับสนุนพวกเขา แต่ความเร็วของทั้งสามคนนั้นรวดเร็วจนเกินไป ยิ่งเทพครองดาวมหาตะวันก็ยิ่งเร็วกว่าบรรพชนแรกและชื่อซีเสียอีก ดังนั้นการปล่อยมีดปริศนาประหารเทพออกมา คงจะกลายเป็นการประหารบรรพชนแรกหรือไม่ก็ชื่อซีไปแทน!
ทันใดนั้น เทพครองดาวมหาตะวันก็ลอยไปเหนือศีรษะของชื่อซี และกรงเล็บทั้งสามของเขาก็คว้าจับไปที่ตึกสยบสวรรค์หนึ่งพันชั้น เขายกตึกนี้ขึ้นมาและเขวี้ยงมันไปที่ไกลๆ
แย่ล่ะ! ฉินมู่ตกตะลึง
ชื่อซีหน้าซีดเผือด เมื่อเขาเห็นปีกของเทพครองดาวมหาตะวันสับลงมา เขารีบป้องกันมันไว้ด้วยกระบี่ทั้งหกเล่ม และรับการโจมตีเอาไว้ ร่างของเขากระเด็นกลับหัวหาง และถูกฟาดไปยังห้วงอวกาศอันลึกล้ำข้างใต้พวกเขา
ในเวลาเดียวกันนั้น กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็ฟาดมุทราออกมาใส่ข้างหลังหัวใจของเทพครองดาวมหาตะวัน ชั้นขนนกพลันงอกเงยออกมาจากหลังของเทพครองดาวมหาตะวันเพื่อขัดขวางมุทราของเขา แต่ทว่า เขาก็ยังคงกระอักเลือด แม้ว่าจะป้องกันเอาไว้ได้สำเร็จ
ศีรษะของเขาหันกลับไป และเขาอ้าปากเพื่อพ่นไฟเทวะสุริยัน ไฟเทวะสุริยันพวยพุ่งลงมาจากท้องฟ้าราวกับน้ำตก และในเวลาเดียวกันนั้น รังสีเทวะอันคมกริบจากเนตรทั้งสามก็ยิงไป
สีหน้าของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกหมองมัวลง และรัศมีอันหดหู่ของเขาก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เทพครองดาวมหาตะวันพลันรู้สึกถึงบรรยากาศอันตราย และขนนกเทวะบนร่างของเขาก็ชี้ชันเต็มเหยียด
เขาถูกฝ่ามือของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกฟาดไปหนึ่ง เพียงเพื่อจะฟาดชื่อซีกระเด็นไป เขาต้องการที่จะต่อสู้กับบรรพชนแรกตามลำพัง กำลังฝีมือของบรรพชนแรกนั้นแข็งแกร่งที่สุด มีแต่ต้องกำจัดเขาเท่านั้นจึงจะสามารถเอาชนะได้อย่างสิ้นเชิง!
แต่เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้บรรพชนแรกเป็นผู้กำความเหนือกว่าเอาไว้ เขาตัดสินใจที่จะใช้กระบวนท่าไม้ตายทันที
ฉินมู่มองไปจากที่ไกลๆ สีหน้าของเขาเคร่งเครียด เขากล่าวด้วยเสียงเบา “กระบวนท่าแรกของสามท่วงท่าคว่ำฟ้าดิน สวรรค์ถล่มพิภพสาบสูญ…”
สามท่วงท่าคว่ำฟ้าดินของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกนั้นเป็นสามกระบวนท่าที่ฉินมู่ยังฝึกไม่สำเร็จ นั่นไม่ใช่เพราะว่าปฏิภาณความเข้าใจของฉินมู่ยังไม่สูงพอ แต่เพราะว่าสามท่ามุทรานี้ต้องใช้ความกล้าหาญที่จะยอมตัวตายไปกับฟ้าและดิน!
ฉินมู่ทำเช่นนั้นไม่ได้
บนเรือเหาะ ฉินมู่เห็นท้องฟ้าประดับดาวกลายเป็นเจิดจ้า เมื่อปราสาทสวรรค์อันเรืองรองปรากฏข้างใต้เท้าของบรรพชนแรก ตะวันและจันทราลอยขึ้น ดวงดาวส่องแสงพริบพรายก่อนที่ท้องฟ้าจะถล่ม ดวงตะวันและดวงจันทร์ถูกทำลาย และดาวทั้งหลายก็ร่วงลงมาราวห่าฝน การทำลายล้างของสวรรค์และพิภพกลับดูกุก่องตระการและห้าวหาญเป็นอย่างยิ่งในชั่วจังหวะนี้!
สีหน้าของฉินมู่แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เขาถือกล่องและหันหลังวิ่งหนีไปในทันที เมื่อเขาพุ่งกระโจนเข้าไปในห้องเรือ หลิงอวี้จิวก็เปิดประตูแล้ว เมื่อครู่นี้ นางรวบรวมความกล้าและตัดสินใจที่จะออกไปดูสถานการณ์ แต่ฉินมู่วิ่งตรงมาที่นางโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และคว้าเอวนางพาดไว้บนบ่าของเขาเหมือนกับกระสอบข้าว และพุ่งตัวเข้าไปในข้างในห้องเรือ
ตูม
คลื่นกระเพื่อมอันน่าสะพรึงกลัวแล่นมาถึง และทั้งสองคนก็ถูกโยนสูงขึ้นจนถึงเพดาน เรือเหาะหมุนกลิ้งไปอย่างรุนแรง เสียงเอี๊ยดอ๊าดแกรกกรากดังมาจากตัวเรือ เสียงหักปึงๆ ก็ดังมาด้วย!
ฉินมู่และหลิงอวี้จิวเลือดในกายเย็นเฉียบ สมบัติสำคัญของยุคแสงฉานชิ้นนี้ พร้อมที่จะแตกทำลายได้ในทุกขณะ!