ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 649 สัตว์ประหลาดลูกตาของฉินมู่
ข้าจะเยียวยาปราสาทสวรรค์อย่างไร
ฉินมู่รักษากายเนื้อของบรรพชนแรก และก็ใช้เวลาสองวันเพื่อฟื้นฟูสมบัติเทวะของเขา สมุนไพรที่เขาขาด เขาก็เพาะปลูกมันโดยทันที แม้ว่ากายเนื้อของบรรพชนแรกจะได้รับการรักษา แต่สีหน้าของเขาก็ย่ำแย่ลงไปทุกชั่วขณะ เขายังหมดสติไปเป็นระยะๆ
นี่ก็เพราะว่าอาการบาดเจ็บในจิตวิญญาณดั้งเดิมและปราสาทสวรรค์ของเขาร้ายแรงเกินไป และฉินมู่ก็จนปัญญาอย่างสุดๆ เมื่อมาถึงสองเรื่องนี้
นักปรุงยาได้ถ่ายทอดความรู้และทักษะวิชาแพทย์ให้แก่เขา เขาสามารถเยียวยายอดฝีมือที่อยู่บนสะพานเทวะ และพวกที่ยังไปไม่ถึงประตูสวรรค์ทักษิณ แต่ทว่าสำหรับอาการบาดเจ็บในปราสาทสวรรค์ของเขตขั้นเทวะ มันก็ยังคงเป็นพื้นที่ลี้ลับสำหรับนักปรุงยา
ยิ่งไปกว่านั้น เข็มเงินไม่อาจแทงไปถึงปราสาทสวรรค์ได้ ดังนั้นการเหนี่ยวนำฤทธิ์พลังยาไปที่นั่นก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ การนึ่งหรือการอาบต้มยาก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน ในเมื่อไอน้ำและน้ำยาไม่อาจซึมเข้าไปถึงปราสาทสวรรค์ ส่วนสำหรับยาวิญญาณและยาวิเศษ ฤทธิ์พลังยาของพวกมันก็ไม่อาจไปถึงปราสาทสวรรค์ได้โดยตรง
จิตวิญญาณดั้งเดิมของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมิได้อยู่ในสมบัติเทวะทารกวิญญาณอีกต่อไป มันตั้งอยู่ที่ปราสาทสวรรค์ จากการกะคะเนอย่างคร่าวๆ แล้ว วรยุทธของเขาน่าจะไปถึงขั้นแท่นประหารเทพหรือไม่ก็อัครนครหยก แต่ทว่า การที่จะรู้ขั้นวรยุทธของเขาได้อย่างแม่นยำ ฉินมู่จะต้องเข้าไปในปราสาทสวรรค์ของกษัตริย์มนุษย์รุ่นแรกเสียก่อน
สภาวะของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกในตอนนี้ย่ำแย่เป็นอย่างยิ่งแล้ว และเขาก็ไม่อาจปลดปล่อยจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมาให้ฉินมู่เยียวยารักษาข้างนอกได้ จากเหตุผลนี้ ฉินมู่จึงมีแต่ต้องเข้าไปในปราสาทสวรรค์ ถึงจะรักษาเขาได้
ข้าสามารถแปลงร่างเป็นเงาและเข้าไปในสมบัติเทวะของเขาได้ แต่ข้าไม่อาจเข้าไปข้างในประตูสวรรค์ทักษิณ!
ฉินมู่วนเป็นวงกลมไปมารอบๆ บรรพชนแรก พลางคิดคำนวณอย่างถี่ถ้วน ประตูสวรรค์ทักษิณเป็นด่านสำคัญ มันเป็นด่านเพื่อให้เทพกิตติมศักดิ์บรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้ และผู้ที่จะเข้าไปข้างในได้ จิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้นั้นจะต้องมีพลังอำนาจระดับเทพเที่ยงแท้
แม้ว่าคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตจะมีวิชาอันแปลกประหลาดทุกประเภท แต่ไม่ว่าวิชาเหล่านั้นจะเพริศแพร้วพิสดารขนาดไหน มันก็ยังถูกผูกมัดไว้ด้วยหลักการพื้นฐาน ซึ่งนั่นก็คือขั้นวรยุทธ
วรยุทธของฉินมู่นั้นห่างไกลเกินกว่าที่จะเข้าไปในประตูสวรรค์ทักษิณได้!
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกหมดสติไปอีกครั้ง และไม่รู้ว่าเขากำลังมีความฝันแบบไหน เขาเอาแต่พึมพำถ้อยคำอันพร่ำเพ้อ
“ข้าเป็นคนบาป…”
“ข้าจะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว…”
“ข้ามาที่นี่เพื่อไถ่บาป…”
“ข้าขอโทษ…”
…
ฉินมู่ขมวดคิ้ว การสูญเสียสติสมประดีแบบนี้เป็นแบบที่เลวร้ายที่สุด ก็ในเมื่อแสดงว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของบรรพชนแรกกำลังเริ่มแหลกสลายไปแล้ว การเยียวยาไม่อาจเนิ่นช้าได้อีกต่อไป เขาจะต้องส่งฤทธิ์พลังยาเข้าไปในปราสาทสวรรค์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!
ข้าไม่อาจข้ามประตูสวรรค์ทักษิณ แต่มีบางอย่างที่สามารถผ่านไปได้!
ฉินมู่หลอมปรุงยาสำหรับใช้รักษาบาดแผลในจิตวิญญาณดั้งเดิมอย่างรวดเร็ว เขาหลอมปรุงยาเป็นจำนวนมากและเก็บมันเอาไว้ทั้งหมด เขากล่าวกับหลิงอวี้จิว “น้องสาวจิว ข้ากำลังจะไปเยียวยาอาการบาดเจ็บของบรรพชนแรก เจ้ารอที่นี่และคอยระวังชื่อซีเอาไว้!”
หลิงอวี้จิวผงกหัวพลางถือกล่องเล็กไว้อย่างกระสับกระส่าย
ร่างของฉินมู่พลันแปลงเป็นเงาและมุดเข้าไปในหว่างคิ้วของบรรพชนแรก เขาเหาะผ่านสมบัติเทวะทารกวิญญาณห้าธาตุ และหกทิศ หลังจากผ่านไปนาน เขาก็มาถึงสมบัติเทวะสะพานเทวะ
เขายืนอยู่บนสะพานเทวะของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกและพบว่าแสงในสถานที่นี้ราวกับรุ้งกินน้ำ ในขณะเดียวกันนั้น ข้างใต้สะพานเทวะ สมบัติเทวะต่างๆ ก็เชื่อมต่อกันซ้อนทับกันและกัน แดนใต้พิภพอันมืดมิดอยู่ใต้หกทิศ และที่นั่นคือสมบัติเทวะเป็นตาย
ฉินมู่ตั้งสติตนเองและมุ่งหน้าไปยังสถานที่สุดปลายสะพานเทวะ มันคือปราสาทสวรรค์ของบรรพชนแรก
ขณะที่เขาเดินไปบนสะพาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เมื่อสังเกตพบว่าสะพานเทวะของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกยังอยู่ครบสมบูรณ์และเชื่อมต่อสองฝั่ง มันไม่ขาดพังไป
สะพานเทวะของผู้ฝึกวิชาเทวะทุกคนในสันตินิรันดร์ถูกพังสะบั้น แม้ว่าพวกเขาจะใช้เคล็ดลับสะพานนกกางเขน และเคล็ดลับนำทางปริศนา ก็ยังคงมีส่วนที่ยังไม่เชื่อมต่อกัน นั่นจึงเป็นเหตุให้พวกเขาต้องใช้เคล็ดลับเทพข้ามพ้น เพื่อไปยังอีกฝั่ง
ในทางตรงข้าม สะพานเทวะของกษัตริย์บรรพชนแรกนั้นไร้รอยตำหนิ
จริงๆ ด้วย เขานั้นเหมือนกับข้า พวกเราถือกำเนิดมาจากสายเลือดของจักรพรรดิก่อตั้ง สะพานเทวะของพวกเราไม่ขาดสะบั้น
ฉินมู่เดินไปข้างหน้า และผ่านไปนาน เขาก็ไปถึงปลายสุดสะพานเทวะ ข้างหน้าเขา ประตูสวรรค์ทักษิณตั้งอยู่ในหมู่เมฆ มันยิ่งใหญ่และไพศาล
ประตูสวรรค์ทักษิณนี้เป็นประตูที่นำไปสู่ปราสาทสวรรค์ และเมฆรอบๆ เขาก็ก่อขึ้นมาเป็นรูปลักษณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งเขาแพะ มังกร หงส์แดง และเต่าดำ ยังมีรอยประทับอัสนี รอยประทับวายุ และรอยประทับพิสดารต่างๆ มากมาย ประตูนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลแก่ฉินมู่ และน้ำหนักของมันก็ผิดธรรมดา
หากว่าเขาเข้าไปในประตู จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็จะไม่สามารถต้านทานแรงกดดันได้ มันจะปริแตกออกจากกัน!
ฉินมู่ปลุกปลอบตนเอง เขานำเอาถุงเต๋าตี้อออกมา และคุ้ยหาดูในนั้น นำเอาเนตรหยกออกมาสองดวง
เนตรหยกจันทรา และเนตรหยกตะวัน
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางกัดฟันกรอด เขาขับเคลื่อนวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ พยายามที่จะมอบสติปัญญาให้แก่เนตรหยกทั้งสอง!
ความสำเร็จของเขาในวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติไม่สูงส่ง ก็ในเมื่อเขาฝึกมันแต่เพียงผิวเผิน เช่นนี้แล้ว เขาจึงไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเขาจะสามารถมอบสติปัญญาให้แก่มันได้หรือไม่
หลังจากรออยู่เนิ่นนาน เนตรหยกทั้งสองของเขาก็ยังไม่ขยับ ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขากำลังจะขับเคลื่อนวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติอีกครั้ง แต่ทันใดก็มีเสียงผุบๆ ดังออกมาสองหน แขนผอมแห้งคู่หนึ่งงอกเงยออกจากส่วนบนของดวงตา และเมื่อมีเสียงผุบอีกสองครั้ง หนึ่งในลูกตาก็ยืดหลังของมันและร้องออกมา “ข้ากลั้นหัวเราะเอาไว้จนเกือบจะตายอยู่แล้ว! พี่น้อง พี่น้อง อย่าอัดอั้นกลั้นหายใจจนตายสิ!”
ฉินมู่สะดุ้ง และเนตรหยกตะวันข้างๆเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมา มันใช้แขนแห้งๆ สองข้างจับลูกตาใหญ่ของตนเอาไว้ แล้วหัวเราะหนักจนกลิ้งไปมาบนพื้นรอบๆ เนตรหยกจันทราก็หัวเราะร่าจนมันคุกเข่าอยู่กับพื้นพลางใช้แขนผอมๆ สองข้างทุบพื้นไปมา “เขาคิดว่าปลุกพวกเราไม่สำเร็จ ก็เลยจะปลุกพวกเราอีกครั้ง!”
ลูกตายักษ์สองลูกกลิ้งไปมากับพื้นไม่หยุด
ฉินมู่สีหน้ามืดดำ “เอาล่ะ พอได้แล้ว หยุดหัวเราะ…หัวเราะอีกที ข้าจะฟาดเจ้าให้กลับไปเป็นร่างเดิม!”
เนตรหยกทั้งสองหุบปากและยืนขึ้นมาอย่างเรียบๆ ร้อยๆ ด้วยขาผอมๆ สองข้าง “ข้ารู้สึกว่าขาของข้ามันผอมไปนิด ข้ากลัวว่ามันจะหัก”
ลูกตาใหญ่ของเนตรหยกตะวันก้มลงมองและพยายามที่จะดูขาของมัน แต่มันจะมองเห็นได้อย่างไร
แกรรกก
เนตรหยกตะวันกลิ้งหลุนๆ ไปสิบกว่ารอบจนหยุดลงได้ในที่สุด เนตรหยกจันทราเองก็ขบขันกับภาพที่เห็น และหัวเราะจนตัวโยนคุกเข่าทุบพื้นอย่างบ้าบออีกครั้ง!
ฝ่ามือของฉินมู่สั่นเทิ้ม เขาทึ้งหนวดหร็อมแหร็มที่คางของตนสองสามเส้น และตะโกน “พวกเจ้าทั้งสองเล่นกันพอหรือยัง ข้าเรียกพวกเจ้ามาไม่ใช่ให้มาเล่นตลก!”
เนตรหยกทั้งสองลุกขึ้นยืนตัวติดกันทันที รับฟังอย่างพินอบพิเทา
ฉินมู่นำเอายาวิญญาณและยาวิเศษที่เขาปรุงเอาไว้ออกมา จากนั้นห่อพวกมันไว้ในห่อผ้าขนาดใหญ่
“หลังจากพวกเจ้าเข้าไปในประตูนี้ ให้นำยาวิญญาณไปยังจิตวิญญาณดั้งเดิมของบรรพชนแรก และกระตุ้นฤทธิ์พลังยาในนั้น”
เขานั้นกำลังจะยื่นยาวิญญาณให้กับเนตรหยกทั้งสอง แต่ก็พลันฉุกคิดขึ้นมา “ดูเหมือนว่าวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติของข้าจะยังไม่ได้ฝึกฝนจนสมบูรณ์แบบ เพราะทุกอย่างที่ข้าปลุกจิตวิญญาณขึ้นมามีแต่ไว้วางใจไม่ค่อยได้ ก่อนหน้านั้น หีบที่ข้าปลุกจิตวิญญาณก็เอาแต่จะสะสมกระดูกและซากศพ จากนั้นก็ยักษ์เนินทรายที่ข้าเรียกออกมาในทะเลทรายแห่งจักรพรรดิสูงส่ง ก็เอาแต่จะร้องคำราม ความเร็วของพวกมันก็ช้าอย่างสุดๆ อีกด้วย หรือว่าเจ้าสองตัวนี้ก็จะไว้ใจไม่ค่อยได้อีกเหมือนกัน”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนำเอายาวิญญาณเม็ดหนึ่งออกมา “เจ้าลองกระตุ้นฤทธิ์พลังยาดูซิ”
เนตรหยกจันทราพลันยิงลำแสงออกไปและเฉือนตัดยาวิญญาณเม็ดนี้ออกเป็นสองเสี่ยง
ไม่ทันที่ฉินมู่จะตั้งตัว ลำแสงเพลิงก็ยิงออกมา และเปลี่ยนให้ยาสองเสี่ยงนี้กลายเป็นผง
“นี่ไม่ใช่วิธีการกระตุ้นฤทธิ์พลังยา”
ฉินมู่กล่าวอย่างอดทน “พวกเจ้าทั้งสองเป็นหยินพิสุทธิ์และหยางพิสุทธิ์ หยินและหยางจะต้องทำงานร่วมกัน ดังนั้นพวกเจ้าต้องร่วมมือกันเพื่อกระตุ้นฤทธิ์พลังยา แบบนี้ ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าดู”
เขานำเอายาวิญญาณออกมาหนึ่งเม็ด และดวงตาเขาก็แปรเปลี่ยน ในดวงตาซ้ายของเขาเป็นหยางพิสุทธิ์ และดวงตาขวาก็เป็นหยินพิสุทธิ์ ลำแสงสองลำฉายลงไปบนยาวิญญาณในเวลาเดียวกัน ฤทธิพลังยาในยาวิญญาณเม็ดนี้ก็ถูกกระตุ้นปฏิกิริยาทันที และกลิ่นหอมของมันก็ลอยขึ้นมาเตะจมูก
“ลองอีกครั้ง พวกเจ้าทั้งสองทำพร้อมๆ กัน!”
เนตรหยกทั้งสองทำให้ยาวิญญาณกลายเป็นเถ้าถ่านอีกหน ฉินมู่ชี้แนะพวกมันอย่างใจเย็นเพื่อควบคุมพละกำลัง หลังจากทดลองอยู่หลายครั้ง พวกมันก็สำเร็จหนหนึ่งได้ในที่สุด
ฉินมู่ให้พวกมันทดสอบอีกสิบกว่าครั้ง และอัตราสำเร็จก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ในที่สุด เขาก็ระบายลมหายใจโล่งอก “อัตราสำเร็จสี่ห้าส่วนนับว่าพอรับได้ หลังจากที่พวกเจ้าเข้าไป กระตุ้นฤทธิ์พลังยาไปทีละเม็ดๆ อย่ากระตุ้นพวกมันทั้งหมดในรวดเดียว เพราะถ้าพวกเจ้าล้มเหลว งานทั้งหมดจะสูญเปล่า อย่าลืมว่า อย่ามัวแต่เล่นกัน พวกเจ้าจะต้องกระตุ้นฤทธิ์พลังยาให้ได้ ไม่อย่างนั้นข้าจะฟาดพวกเจ้าให้กลับร่างเดิมให้หมด!”
เนตรหยกจันทราแบกถุงผ้าใหญ่ไว้บนหลังของมัน และพวกมันก็เดินตรงไปยังประตูสวรรค์ทักษิณ เมื่อพวกมันไปถึงประตูสวรรค์ทักษิณ เนตรหยกทั้งสองก็ชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าไปข้างใน
ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะจ้องดูด้วยความกระวนกระวาย ทันใดนั้น เนตรหยกตะวันก็พูด “เดินนี่มันช้าเกินไปแล้ว พวกเรากลิ้งไปกันเถอะ!”
“ได้เลย!”
ฉินมู่เบิกตากว้างจ้องไปยังเนตรหยกทั้งสองที่กลิ้งหลุนๆ เข้าไปในส่วนลึกของปราสาทสวรรค์ เขาผุดเหงื่อเย็นเยียบขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ โชคยังดีว่าถุงผ้านั้นไม่แตกขาด
ไว้ใจไม่ได้ ไว้ใจไม่ได้ ทำไมไอ้พวกที่ข้าปลุกจิตวิญญาณขึ้นมาถึงมีแต่–
ฉินมู่ตัวแข็งทื่อ เนตรหยกทั้งสองกลิ้งไปด้วยความเร็ว และถึงกับต่อยกันไปมาเพื่อทำให้อีกฝ่ายลอยกระเด็นเป็นระยะๆ พวกมันคิกคักสนุกสนานจนบรรยายไม่ถูก ฉินมู่หน้ามืดดำ และเขาเอาแต่เช็ดเหงื่อเย็นเยียบของตนเอง ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ไม่เห็นเจ้าสองตัวนั่นอีกต่อไป เขาได้แต่ยินเสียงชนข้าวของดังมาจากประตูสวรรค์ทักษิณ และบางครั้ง เขาก็จะมองเห็นลูกบอลลูกใหญ่ลอยขึ้นๆ ลงๆ เนตรหยกอีกลูกคงจะเตะเพื่อนของมันกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า
หลังจากรออยู่นาน เขาก็เห็นเนตรหยกทั้งสองไปถึงแท่นประหารเทพ รัศมีอันดุร้ายแผ่พุ่งออกมาจากในนั้น และมีชายผู้หนึ่งกำลังคุกเข่ารอการประหาร มีดประหารนั้นเคลื่อนที่ขึ้นๆ ลงๆ สับคอของชายที่คุกเข่าอยู่ซ้ำแล้วซ้ำอีก
คอของเขาเกือบขาดสะบั้น และไม่นานเขาก็คงจะถูกสังหาร
ลูกตาทั้งสองหันมองกันไปมา “เป็นที่นี่สินะ? คนผู้นี้กำลังรนหาที่ตายหรือ”
“หากว่าเขารนหาที่ตาย พวกเราคงช่วยเขาไม่ได้ พวกเรากลับกันเถอะ”
เนตรหยกทั้งสองกลิ้งลงจากภูเขา และพวกมันก็พลันหยุดกึก “นายท่านบอกว่า เขาจะฟาดพวกเราให้กลับร่างเดิม หากว่าพวกเราไม่กระตุ้นฤทธิ์พลังยา ถ้าพวกเรากลับไป จะต้องตายแน่ๆ”
พวกมันกลิ้งกลับและกระโดดขึ้นภูเขาอีกครั้ง จนกระทั่งไปถึงแท่นประหารเทพ เนตรหยกจันทราเปิดถุงผ้าออกและนำยาวิญญาณเม็ดหนึ่งออกมา ทั้งสองเนตรขับเคลื่อนปราณหยางพิสุทธิ์และปราณหยินพิสุทธิ์เพื่อกระตุ้นปฏิกิริยามัน
หลังจากกระตุ้นปฏิกิริยาของยาวิญญาณไปสิบกว่าเม็ด และทำลายไปเจ็ดแปดเม็ด เนตรหยกทั้งสองก็เริ่มหมดความอดทน เนตรหยกตะวันเสนอแนะ “ทำไมพวกเราไม่กระตุ้นฤทธิ์พลังยาทั้งหมดในรวดเดียวล่ะ แล้วพวกเราค่อยไปบอกนายท่านว่าพวกเราได้กระตุ้นฤทธิ์พลังยาทั้งหมดแล้ว!”
“ตกลง!”
เนตรหยกทั้งสองเบิกดวงตากว้างด้วยความตื่นเต้น ลำแสงสองลำยิงใส่ถุงผ้า!
…
หลิงอวี้จิวกำลังป้องกันอยู่ข้างๆ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และนางก็เริ่มจะเป็นกังวลขึ้นมา นี่ก็ผ่านไปนานแล้วหลังจากที่ฉินมู่แปลงร่างเป็นเงาดำและเข้าไปในสมบัติเทวะของบรรพชนแรก บัดนี้เมื่อเขายังไม่กลับขึ้นมา และนางก็ไม่รู้ว่าฉินมู่สามารถกู้ชีวิตของบรรพชนแรกกลับมาสำเร็จหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น รัศมีของบรรพชนแรกก็ค่อยๆ อ่อนแรงลงไปทุกที เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บของเขาย่ำแย่ยิ่งขึ้นทุกขณะ
ทันใดนั้น หลิงอวี้จิวก็ลุกขึ้น นางจ้องเขม็งไปยังผานกงสั่วที่เดินเข้ามา
ใบหน้าของผานกงสั่วเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เดินทอดน่องเข้ามาใกล้นาง “องค์หญิงจิว บรรพชนแรกเป็นอย่างไรบ้าง ข้าเองก็เชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการเยียวยา ดังนั้นบางทีข้าอาจจะช่วยได้”
หลิงอวี้จิวถือกล่องเล็กเอาไว้และกล่าวอย่างเยือกเย็น “เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก วิชาแพทย์ของเด็กเลี้ยงวัวดีกว่าเจ้าเยอะ”
ชื่อซีเดินมาจากอีกทางหนึ่ง เขากล่าวอย่างเยือกเย็น “เด็กสาว วิชาแพทย์ของสหายน้อยฉินแน่นอนว่าลึกล้ำ แต่ไม่ว่าเขาจะเก่งกาจแค่ไหน เขาก็ไม่อาจส่งฤทธิ์พลังยาเข้าไปในปราสาทสวรรค์ได้ หากว่าเรื่องถ่วงช้าต่อไป กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็จะต้องตายอย่างแน่นอน มีก็แต่ข้าที่สามารถเข้าไปในปราสาทสวรรค์ของเขา และมีก็แต่ข้าที่สามารถช่วยกู้ชีวิตเขา”
แครก
หลิงอวี้จิวแง้มกล่องขึ้นมาเล็กน้อย และชื่อซีก็หัวใจบีบรัดทันที เขาว้าวุ่นและชะงักเท้า เขารั้งกล้ามเนื้อกลับมา พร้อมที่จะเหาะหนีไปเพื่อหลบเลี่ยงมีดปริศนาประหารเทพ
หัวอีกข้างของเขามองไปที่ผานกงสั่ว ผานกงสั่วเองก็เดินไปข้างหน้า และกระทืบลงไปบนสวนสมุนไพร เขาเหยียบทั่วไปหมด และบดขยี้สมุนไพรทั้งหลายจนไม่มีชิ้นดี
เป้าหมายของเขานั้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของหลิงอวี้จิว
มีสมุนไพรหลายชนิดที่ฉินมู่ปลูกไว้รักษากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และหากว่าพวกมันถูกทำลายไปหมด อาการบาดเจ็บของบรรพชนแรกก็จะไม่สามารถเยียวยาได้
เมื่อใดที่หลิงอวี้จิวเสียสมาธิ ชื่อซีก็จะฉวยโอกาสนี้เพื่อขโมยกล่องเล็กมา
เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเขาก็จะสามารถทำอะไรได้ตามใจกับกษัตริย์มนุษย์บรรพชน หลิงอวี้จิว และฉินมู่
เส้นเลือดผุดขึ้นมาบนหน้าผากของหลิงอวี้จิว ขณะที่นางยังคงจ้องไปที่ชื่อซี นางกัดฟันกรอดและกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ผู้สูงศักดิ์ เจ้าเองก็เป็นลูกหลานของเผ่าพันธุ์ที่จักรพรรดิก่อตั้งทิ้งเอาไว้ เจ้าไม่มีความสำนึกบุญคุณอะไรเลยหรืออย่างไร”
ผานกงสั่วอึ้งไปเล็กน้อย เขายิ้มแบบที่ไปไม่ถึงดวงตาและกล่าว “ข้าเป็นคนชั่วร้ายใจทมิฬที่ทั้งโลกต้องการกำจัด หากว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกรู้ว่าจะมีชนรุ่นหลังอย่างข้า เขาคงจะไม่ช่วยเผ่าพันธุ์ข้าเลยอย่างแน่นอน ข้าไม่รู้สึกขอบคุณเขาสักนิด!”
ชื่อซีปรายตามองเขา และผานกงสั่วก็ลังเล เขาไม่ก้าวเข้าไป แต่พูดต่อ “ข้าได้วางยาพิษสหายร่วมเผ่าเป็นร้อยหมื่นคนบนทุ่งหญ้า งั้นข้าจะรู้สึกขอบคุณกับเพียงสิ่งที่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกระทำได้อย่างไร ข้าไม่–”
ชื่อซีปรายตามองเขาอีกครั้ง
ผานกงสั่วกัดฟันและเดินเข้าไป สายตาของหลิงอวี้จิวยังคงจ้องเขม็งอยู่ที่ชื่อซี และนางก็ตะโกนไปอย่างเฉียบขาด “เจ้าไม่กลัวหรืออย่างไรว่าข้าจะใช้มีดปริศนาประหารเทพสังหารเจ้า”
สีหน้าของผานกงสั่วยุ่งยากซับซ้อน เขาเดินเข้าไปใกล้นางจากข้างหลัง และค่อยๆ เอื้อมมือเข้าไปจับกล่องจากมือของนาง
หลิงอวี้จิวทนไม่ได้อีกต่อไป นางเตะไปข้างหลัง โดนศีรษะของผานกงสั่วและส่งเขากระเด็นไปตามพื้น เขาสลบไปทันที
“ตัวไร้ประโยชน์!”
ชื่อซีโกรธเกรี้ยว หลังจากที่หลิงอวี้จิวเตะ เขาก็จะฉวยโอกาสนี้เพื่อสังหารนาง แต่จู่ๆ บรรพชนแรกก็ลุกขึ้นนั่ง ทำให้ชื่อซีแตกตื่น เขารีบหันหนีและหายเข้าไปในป่าทันที
“ข้าจะช่วยเจ้า”
สีหน้าบรรพชนซีดเหลือง เขากล่าวอย่างแผ่วเบา “ในเวลานั้น ไม่ว่าเจ้าจะชั่วร้ายแค่ไหน ข้าก็จะช่วยเจ้า นั่นเพราะว่าเจ้าคือเผ่าพันธุ์มนุษย์กลุ่มสุดท้าย”
ผานกงสั่วลืมตาขึ้นมา และคุกเข่าโขกศีรษะตรงหน้าบรรพชนแรก เขาโขกศีรษะคำนับหลายครั้งอย่างหนักหน่วง และร่างกายของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเปลวควันดำจากไปในทันที
หลิงอวี้จิวผ่อนคลายลงในที่สุด นางนั่งจ้ำเบ้าลงกับพื้นด้วยขาอันไร้เรี่ยวแรง นางกล่าวด้วยเสียงเบา “ลูกเตะของข้าไม่มีทางทำให้เขาสลบไปได้ หรือว่าเขายังมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่”
ในตอนนั้น ฉินมู่ก็ลอยออกมาจากใจกลางหว่างคิ้วของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก เขากล่าว “ความเป็นคนงั้นหรือ เขาอาจจะยังมีเหลืออยู่บ้างนิดหน่อย”