ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 665 สถานการณ์ของกายาจ้าวแดนดิน
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ข่มโทสะเอาไว้และกล่าว “ถ้าเช่นนั้น คงต้องเรียนเชิญศิษย์พี่โหลมาผูกเชือกให้ก็แล้วกัน”
โหลอวิ๋นชวียิ้มเผล่ “ดีทั้งนั้น ดีทั้งหมด แต่ก่อนหน้านั้น ข้าก็ยังคงอยากชมดูความก้าวหน้าของมรรคา วิชา และทักษะเทวะของสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์ ศิษย์น้องเชียนจ้งได้มาท้าสู้ที่นี่เป็นเวลาหกวันแล้ว และก็ได้สังหารยอดฝีมือเยาว์ไปมากมาย ขอถามได้หรือไม่ว่ายังมีอัจฉริยะที่โดดเด่นใดอื่นหลงเหลืออยู่ในสวรรค์ไท่หวงอีกไหม”
โหลเชียนจ้งกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ก่อนนี้ข้าใช้มรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งแดนบาดาลสวรรค์อุดร แต่ว่าในสองสามวันที่ผ่านมานี้ ข้าได้ใช้ทักษะเทวะที่ข้าเรียนรู้มาจากผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้หัวใจสั่นสะท้าน เขามองไปยังมารเยาว์ผู้นี้และย้อนนึกถึงการต่อสู้ของเขากับอวี่เหอเมื่อครู่ เขานั้นได้ใช้ทักษะเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์จริงๆ เขาไม่ได้ใช้ทักษะเทวะที่ตนเชี่ยวชาญ
ในระยะเวลาเพียงสี่วัน เขาก็ได้สำเร็จทักษะเทวะของสวรรค์ไท่หวง และใช้พวกมันเพื่อสังหารยอดฝีมือเยาว์ของพวกเขาแล้วหรือ
พรสวรรค์ของเขาจะไม่สูงล้ำและน่าสะพรึงกลัวไปหรอกหรือ
ที่น่าตื่นตระหนกยิ่งกว่านั้นก็คือในบรรดาผู้คนที่เขาเอาชัยมาได้ ก็มีอวี่เหอ ศิษย์ของผางอวี้รวมอยู่ด้วย!
ก่อนที่ฉินมู่จะมาปรากฏตัวในสวรรค์ไท่หวง อวี่เหอนั้นเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะอันดับหนึ่งแห่งขั้นเจ็ดดาวตลอดมา ฉู่เหยาจะก้าวล้ำนางไปเป็นพักๆ แต่นั่นก็ไม่กี่ครั้ง
หลังจากที่ฉินมู่มายังสวรรค์ไท่หวง และผู้ถือครองอันดับหนึ่งก็เปลี่ยนมือไป เมื่อผู้เปี่ยมความสามารถเยาว์เกือบทั้งหมดล้วนแห่กันไปที่สันตินิรันดร์ ก็ยากที่จะกล่าวได้ว่าอวี่เหอจะสามารถรักษาอันดับที่สองของนางไว้ได้หรือไม่ แต่กำลังฝีมือของนางนั้นมิใช่สิ่งที่จะดูเบาได้เลยแม้แต่น้อย นางนั้นนับว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดผู้ฝึกวิชาเทวะ!
โหลเชียนจ้งผู้นี้เพิ่งจะใช้ทักษะเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงโจมตีอวี่เหอ และนี่เป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ทำมันลงไปแล้ว และนี่หมายความว่า รากฐานของคนผู้นี้ทั้งแน่นหนาแข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ ราวกับว่าทักษะเทวะของเขาได้ย่างกรายสู่เต๋า!
ผู้คนที่ย่างกรายสู่เต๋าด้วยทักษะเทวะ พวกเขาจะสามารถเข้าใจเหตุผลและโครงสร้างของทักษะเทวะใดๆ ได้เพียงแค่กวาดตาดูปราดเดียว
ครั้งแรกที่เขาได้พบกับผู้คนอันมีความสามารถท้าทายสวรรค์เช่นนี้ ก็เมื่อเขาได้พบกับราชครูสันตินิรันดร์ ปฏิภาณความเข้าใจของเขาในทุกมรรคา วิชา และทักษะเทวะนั้นเข้าใกล้เต๋า และพรสวรรค์ของเขาก็ล้ำเลิศไร้เทียมทานในรุ่นสมัยเดียวกัน
ครั้งที่สองที่เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ได้พบกับผู้คนแบบนี้ก็คือเมื่อเขาได้เจอซวีเซิงฮวา ผู้ซึ่งเดินออกมาจากเจดีย์สยบเทพ แสงของเขาแผดเผาเจิดจ้า ดูตระการตาจนเกินจะเปรียบปาน
นอกจากคนสองคนนี้แล้ว ผางอวี้ก็ไม่เคยเจอบุคคลเช่นนี้อีกเลย
แม้แต่จ้าวลัทธิฉิน ผู้ซึ่งกระเดื่องดังไปทั้งโลกหล้า และเป็นผู้บริหารลัทธิอันใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์ ก็ไม่มีความสามารถเช่นนี้ และไม่มหัศจรรย์ระดับนี้ เขานั้นเชี่ยวชาญในหลายอย่าง เพลงมีด เพลงกระบี่ และวิชาแพทย์ล้วนแต่เลิศล้ำเหนือธรรมดา แต่ทว่า ทักษะเทวะของเขายังไม่ก้าวไปถึงมาตรฐานนั้นด้วย
วิชาฝึกปรือและเพลงกระบี่ของฉินมู่ได้ย่างกรายสู่เต๋า เขานั้นแข็งแกร่งไปทุกแขนง แต่มิใช่อันดับหนึ่ง เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ยังรู้สึกว่า หากฉินมู่ทุ่มเทเวลาลงไปกับทุกสิ่งทุกอย่างน้อยกว่านี้ ความสำเร็จของเขาก็คงไม่เป็นเช่นในปัจจุบัน
แต่กระนั้น กำลังฝีมือของฉินมู่ก็แข็งแกร่งทุกวันๆ เพราะว่าเขาได้แตะต้องสัมผัสศาสตร์ทุกแขนง แม้กระทั่งราชครูสันตินิรันดร์และซวีเซิงฮวาก็ไม่สามารถกลบประกายเขาได้เลยสักนิด ในทางตรงข้าม พวกเขากลับถูกเงาของฉินมู่บดบังแทน
พวกเราจะเอาชนะบุคคลที่ย่างกรายสู่เต๋าด้วยทักษะเทวะได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ยังเป็นศิษย์ของยอดฝีมือระดับบัลลังก์จักรพรรดิจากแดนบาดาลสวรรค์อุดร…
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ยังคงกังวลอยู่ แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตพบว่ามีผู้ฝึกวิชาเทวะเยาว์จำนวนมากเร่งรุดกันมา พวกเขาได้ยินว่ามีเผ่ามารมาท้าสู้ ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะมาปรากฏตัวและรับคำท้า ท่ามกลางพวกเขามีบุรุษหนึ่งอันดูเหมือนกับต้นไม้หยกกลางสายลม เขานั้นกำลังจูงมือเด็กสาวอีกคนข้างๆ และแบกสัมภาระเล็กๆ ที่หลังของตน
ผางอวี้ตาเป็นประกายและกล่าว “คุณชายซวี”
ซวีเซิงฮวาเผยยิ้ม รอยยิ้มของเขามีความเย็นชาที่ผลักไสผู้คนออกห่างไกล “เทพเที่ยงแท้”
ประกายตาของผางอวี้วูบวาบ “คุณชายซวีเป็นผู้นำของสันตินิรันดร์ ไม่ทราบว่าเจ้ามีความมั่นใจที่จะต่อกรกับศัตรูได้หรือไม่”
สายตาของซวีเซิงฮวาตกลงไปยังโหลเชียนจ้งที่ฝั่งตรงข้าม ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กวาดสายตาไปยังเจ๋อหัวหลีและฉีเจี่ยวอี๋ เขากล่าว “ข้าไม่มั่นใจเท่าใดนัก วิชาฝึกปรือของพวกเขามีระดับสูงส่งเกินไป วิชาฝึกปรือของพวกเขามีความสามารถทำให้ผู้ฝึกตรึกตรองเข้าใจเต๋า และวิชาฝึกปรือที่ข้ากำลังฝึกอยู่นั้นเพียงแต่เพิ่งเริ่มต้น ข้าไม่อาจทัดเทียมกับวิชาฝึกปรือที่บรรพชนพวกเขาถ่ายทอดลงมา ดังนั้น โอกาสชนะของข้าจึงมีไม่มาก”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ขมวดคิ้ว เด็กหนุ่มผู้นี้แตกต่างจากฉินมู่ไปโดยสิ้นเชิง และวิธีการที่เขาวิเคราะห์ตนเองและคู่ต่อสู้นั้นเรียกได้ว่าห่างชั้นกันคนละโลก ราวกับว่าตัวเขาเองนั้นมิได้ข้องเกี่ยวกับการวิเคราะห์
เขานั้นดูเหนือโลกจนเกินไป และนั่นทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก
สายตาของหวางมู่หรันลุกวาบ และเขากล่าว “เจ้าคิดว่าเจ้าสู้เขาไม่ได้หรือ หากว่าข้าเอาชนะเขา เจ้าจะยอมรับไหมล่ะว่าเจ้าด้อยกว่าข้า”
ซวีเซิงฮวากล่าว “ข้าใช้ยี่สิบสามกระบวนท่าเมื่อข้าเอาชนะเจ้าในนครหยกน้อย และข้าใช้ห้ากระบวนท่าเพื่อเอาชนะเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียน ดังนั้นเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนจึงแข็งแกร่งกว่าเจ้า หากว่าเจ้าต้านรับห้ากระบวนท่าจากโหลเชียนจ้งผู้นี้ได้ ข้าจะไปต่อสู้กับเขา”
หวางมู่หรันโกรธจนโลดเต้น และเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนก็ขมวดคิ้ว
แม้ว่าซวีเซิงฮวาจะเอ่ยชมเขา และวิธีการชมแบบนั้นฟังแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์
ซวีเซิงฮวาคบหาสมาคมกับจ้าวลัทธิฉินนานเกินไปแล้ว และตอนนี้ก็พลยอรับอิทธิพลจากเขามาด้วย เมื่อจ้าวลัทธิฉินถ่อมตน คำพูดของเขาก็ฟังแล้วเจ็บช้ำเป็นอย่างยิ่ง จ้าวสำนักเต๋าหลินเสวียนคิดในใจ
หวางมู่หรันยิ้มหยัน “ข้าได้ยินจ้าวลัทธิฉินกล่าวว่า เขาไม่จำเป็นต้องใช้สักกระบวนท่า เขาก็ทำให้เจ้ากระอักเลือดได้จากการเดิน”
ซวีเซิงฮวากล่าวพลางถอนหายใจ “ยิ่งศัตรูแข็งแกร่งมากเท่าใด ข้าก็ยิ่งใช้กระบวนท่าน้อยเท่านั้น ผลลัพธ์การต่อสู้ของข้ากับจ้าวลัทธิฉินนั้นถูกลิขิตไว้ตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องใช้สักกระบวนท่า เขานั้นแข็งแกร่งจริงๆ และเป็นศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ แต่ในเร็วๆ นี้ ข้าก็ได้รุดหน้าไปอย่างมาก และอยากที่จะพบเขาอีกครั้งเพื่อดูว่าใครคือของแท้และของปลอม แต่ยากที่จะตามหาตัวเขา”
หวางมู่หรันโกรธจนพูดไม่ออก เขาถลันออกหน้าไปแทน และกล่าว “โหลเชียนจ้ง เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่”
โหลเชียนจ้งมองไปที่เขา “ประกาศนามของเจ้า”
“ข้าจะบอกเมื่อพวกเราสู้เสร็จ!”
วรยุทธของหวางมู่หรันรุดหน้าไปด้วยความเร็วดุจเทพยดา และระหว่างช่วงเวลานี้ เมื่อมรรคา วิชา และทักษะเทวะของสันตินิรันดร์ได้หลอมรวมเข้ากับระบบฝึกวรยุทธแห่งสวรรค์ไท่หวง นี่ก็ทำให้อัจฉริยะโดดเด่นทั้งหลายยิ่งก้าวหน้าเข้าไปอีก และหวางมู่หรันเองก็เป็นตัวตนระดับหัวกะทิท่ามกลางอัจฉริยะทั้งหลาย!
เมื่อผนวกกับการที่สันตินิรันดร์ก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่งในด้านมรรคา วิชา และทักษะเทวะ โรงเรียนและสถาบันต่างๆ ก็ย่อมจะสามารถเรียนรู้วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะทั้งหลายในสันตินิรันดร์ได้ แม้แต่มรรคา วิชา และทักษะเทวะของสวรรค์ไท่หวงเองก็ถูกสลักและขัดเกลา มียอดฝีมือแห่งสวรรค์ไท่หวงไปสอนบรรยายที่นั่นโดยเฉพาะ
หวางมู่หรันได้ทุ่มเทเวลาและจิตวิญญาณทั้งหมดของเขาในช่วงสองปีนี้เพื่อผสานและตรึกตรองทำความเข้าใจวิชาฝึกปรืออันสลับซับซ้อนทั้งหลายในนครหยกน้อย และเมื่อใดที่เขาลงมือโจมตี วิชาตัวเบาของเขาก็จะคล่องแคล่วดุจประกายฟ้า และทักษะเทวะของเขาก็ดุจอสุนีบาต ทุกกระบวนท่าของเขามีพลานุภาพอันกร้าวแกร่งเหลือเชื่อ!
โหลเชียนจ้งใช้สิ่งที่เขาเรียนรู้มาในช่วงไม่กี่วันมานี้เพื่อต่อต้านสี่กระบวนท่า แต่เขาไม่อาจชิงชัยได้เปรียบ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย และทักษะเทวะของเขาก็พลันแปรเปลี่ยน กลายเป็นพิลึกประหลาดอย่างเหนือธรรมดา เมื่อเขายื่นมือออกไปฟาดซ้ำๆ ใส่คู่ต่อสู้
เมื่อเขาฟาดฝ่ามือแรก จิตวิญญาณดั้งเดิมของหวางมู่หรันก็ถูกซัดหลุดออกจากร่างกาย แต่หวางมู่หรันก็รั้งมันกลับมาได้ด้วยกำลัง
เมื่อเขาซัดฝ่ามือที่สองออกไป จิตวิญญาณดั้งเดิมของหวางมู่หรันก็สั่นสะเทือนออกจากร่าง และในคราวนี้ระยะห่างก็ยิ่งมากกว่าเดิม!
โหลเชียนจ้งยื่นฝ่ามือออกไปทำท่าลูบ และรอยแยกสีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏข้างหลังหวางมู่หรัน ขณะที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของหวางมู่หรันกำลังจะตกลงไปในรอยแยก หวางมู่หรันก็กู่ตะโกน และร่างกายของเขาก็ถอยกรูดๆ ไปอย่างต่อเนื่องจนซ้อนทับกับจิตวิญญาณดั้งเดิม กายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง และเขาตีลังกาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า หลบหลีกรอยแยกนั้นไปได้อย่างไร้ที่ติ เขาร่วงลงมาข้างๆ เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ด้วยสีหน้าอันงงงวย
โหลเชียนจ้งไม่ไล่ล่าตามเขามา และถึงกับเอ่ยชมเสียด้วยซ้ำ “กำลังฝีมือของเจ้าไม่เลว เจ้าเป็นคนแรกที่บีบให้ข้าต้องใช้วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะที่แท้จริงของข้า”
หวางมู่หรันสะกดหัวใจที่เต้นรัวของตน เขากล่าวกับซวีเซิงฮวา “นั่นคือห้ากระบวนท่า! ตาเจ้าแล้ว!”
ซวีเซิงฮวาสายตาวูบไหว เขาเดินผ่านกลุ่มคนไป และมุ่งหน้ายังโหลเชียนจ้งพลางกล่าว “หากว่าข้าขึ้นไป ข้าอาจจะต้องใช้หนึ่งถึงสองกระบวนท่า และอาจจะเป็นข้าแพ้ ไม่ก็ชนะ”
ทันใดนั้น ฝีเท้าย่างก้าวของเขาก็พลันกลายเป็นหนักหน่วง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาจะสั่นสะเทือนตลอดเวลาทุกครั้งที่ย่างเท้าของเขากดลงไป ดอกบัวจะปรากฏและค่อยๆ แย้มบาน เกสรบัวจะแกว่งไกวไปมาอย่างอ่อนโยน พลางปะทุอักษรรูนทุกประเภทออกมา
เขาเดินตรงไปด้วยกลีบบัวอันปลิดปลิวข้างหลังเขา ยิ่งฝีเท้าก้าวไปมากเท่าใด ก็ยิ่งมีดอกบัวปรากฏอยู่ข้างหลังเขามากเท่านั้น
หลังจากเดินไปมากกว่าสิบก้าว บริเวณโดยรอบก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นแดนบัว อักษรรูนที่พวยพุ่งออกจากเกสรกมลาได้จัดเรียงพวกมันเข้าเอง ก่อขึ้นมาเป็นมิติว่างที่ห่อหุ้มเอาไว้ด้วยอักษรรูนเหล่านั้น ข้างในมิติว่างนั้นเป็นโลกอันอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้
โหลเชียนจ้งสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ทักษะเทวะของซวีเซิงฮวาได้ก่อขึ้นมาเป็นระบบเป็นชุด และมิติว่างข้างหลังเขานั้นบรรจุไว้ด้วยทักษะเทวะอันแปรเปลี่ยนไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง นี่ทำให้เขามองไม่ออกว่าซวีเซิงฮวาจะลงมือด้วยกระบวนท่าใด
นี่ก็เป็นเพราะว่ามิติว่างนี้ถูกก่อขึ้นมาจากอักษรรูนรากฐานที่สุด และการจัดเรียงของอักษรรูนรากฐานเหล่านี้ก็จะทำให้เกิดทักษะเทวะที่แตกต่างกันไป ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่โหลเชียนจ้งจะมองออกว่าทักษะเทวะแบบไหนกันที่เขากำลังจะขับเคลื่อนออกมาในมิติว่างดังกล่าว
“เขาขับเคลื่อนมหาทักษะเทวะโดยทันทีเลยหรือ!”
จ้าวสำนักเต๋าเผยสีหน้าอัศจรรย์ใจและกล่าวด้วยเสียงเบา “ศิษย์พี่หวาง ความสำเร็จในทักษะเทวะของศิษย์พี่ซวีได้ก้าวล้ำกว่าพวกเราสองคนไปแล้ว!”
หวางมู่หรันแค่นเสียง “หากว่าข้าสามารถตรึกตรองและหลอมรวมวิชาฝึกปรือทั้งหมดในนครหยกน้อยได้ ข้าก็ไม่ด้อยไปกว่าเขาหรอก”
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนอดไม่ได้ที่จะกล่าว “บางทีเจ้าน่าจะลองปรึกษาจ้าวลัทธิฉินดู จ้าวลัทธิฉินนั้นเป็นที่เลื่องลือกันลับๆ ว่าเป็นราชาแห่งเศษขยะ เขาบ่มเพาะวิชาฝึกปรือของตน ปะทางนั้น ซ่อมทางนี้ไปๆ มาๆ หลังจากเปลี่ยนไปมาแบบนั้น เขาก็จะสามารถฝึกปรือมันไปได้สามปี แต่พอหลังจากนั้นเขาก็ซ่อมปะอีกที แล้วก็ใช้ฝึกไปได้ต่ออีกสามปี ข้าได้ยินว่าเขาเพิ่งสร้างวิชาฝึกปรือโครงร่างมนุษย์ขึ้นมา ดังนั้นมันน่าจะเหมาะกับเจ้ามาก”
ในตอนนั้นเอง ทักษะเทวะของซวีเซิงฮวาก็พวยพุ่งออกไป มันฟาดซัดไปด้วยแสงรัศมีอันอำไพและกุก่องตระการ มิติว่างข้างหลังเขาโถมซัดออกไป และดอกบัวทั้งหลายก็แกว่งไกวอย่างแผ่วเบาในสายลม ตามอักษรรูนอันแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว!
โหลเชียนจ้งก้าวถอยไป และความมืดอันไพศาลก็พลันปรากฏข้างหลังเขา ราวกับว่าความมืดได้ข่มทับลงมาเหนือแดนโบราณวินาศ ความมืดได้โถมท่วมเขา
ซวีเซิงฮวาหัวใจแตกตื่น ในเมื่อเขาหาตัวโหลเชียนจ้งในความมืดอันครอบคลุมนั้นไม่ได้อีกต่อไป
ความมืดดังกล่าวเหมือนกับชั้นมิติอวกาศอีกชั้นหนึ่งที่กัดกร่อนปราณชีวิต ทักษะเทวะ และกายเนื้อของเขา มันแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขา และแปดเปื้อนจิตวิญญาณดั้งเดิม ทักษะเทวะของเขาโถมซัดเข้าไปในความมืด และพลานุภาพที่ปลดปล่อยออกไป ทั้งไร้พันธนาและกร้าวแกร่ง แต่ทว่า มันก็ถูกความมืดดูดกลืนไปในไม่ช้า
ซวีเซิงฮวาถอยกลับ และเมื่อเขาย่างเท้าถอยอยู่นั่นเอง เขาก็ฟาดฝ่ามือไปข้างหลัง นิ้วทั้งห้าของเขาสั่นสะเทือน ภาพเงาของฝ่ามือและนิ้วพลุ่งพล่านเกลื่อนท้องฟ้าข้างหลังเขา รอยฝ่ามือเหมือนกับขุนเขาและแม่น้ำไหล ขณะที่ใจกลางฝ่ามือเหมือนท้องฟ้าและผืนดิน และภาพลักษณ์ของนิ้วก็ดุจยอดสิงขร!
โหลเชียนจ้งพลันปรากฏตัวข้างหลังเขา เขาดูเหมือนจะก่อรูปขึ้นนมาจากทรายสีดำในความมืด และเขาพุ่งผ่านทักษะเทวะของซวีเซิงฮวา เข้ามาฟาดจากข้างหลังตำแหน่งหัวใจ
ซวีเซิงฮวาครางเสียงหนักและล้มไปข้างหน้า ประตูหนึ่งพลันเปิดขึ้นมาในความมืด และในห้วงอวกาศนั้นมีสัตว์ประหลาดที่รออยู่หน้าประตู และมันแทงมายังซวีเซิงฮวาด้วยสามง่าม
ซวีเซิงฮวาประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน มิติว่างของเขาพลันปิดลงไป ทันใดนั้น พิรุณดอกไม้สวรรค์ก็โปรยปรายลงมารอบๆ และดึงร่างของเขากลับมา
เมื่อสามง่ามแทงออกจากประตูเข้าไปในมิติว่าง มันก็พลาดเป้าเมื่อมีกลีบดอกไม้ร่วงลงมาบนสามง่าม ซวีเซิงฮวาได้หายวับไปพร้อมกับมิติว่างของเขา
“เอ๋!”
เสียงหนึ่งดังมา “กายาจ้าวแดนดินปลอมอีกคนงั้นหรือ!”
โหลเชียนจ้งรั้งกระบวนท่าของเขากลับมา และความมืดก็พลันล่าถอย เขาขมวดคิ้วและมองไปยังที่มาของเสียง
ในเวลาเดียวกันนั้น ร่างของซวีเซิงฮวาก็พลันปรากฏ ราวกับว่าเขาเดินออกมาจากส่วนลึกของห้วงอวกาศ สีหน้าของเขาซีดเผือดไปเล็กน้อย เขาก็หันไปยังทิศทางเสียงเช่นกัน
ประตูเมืองหลีเปิดอ้า และพวกเขาก็เห็นฉินมู่อันมีสีหน้ายิ้มย่องกำลังขี่กิเลนมังกรอันดูเหี้ยมหาญน่าเกรงขาม เขานั้นกำลังจะควบขี่ไปและทดสอบความเร็วกิเลนมังกรของเขา “พี ฮี้ย่ะ!”
กิเลนมังกรตอบกลับไปอย่างไม่ชอบใจ “จ้าวลัทธิ ข้าเป็นกิเลนมังกร ไม่ใช่ม้า อีกอย่างอย่าเรียกชื่อจริงของข้า ระวังไอ้ผานกงสั่วนั่น เขาอาจจะได้ยินมันและใช้มันลอบสังหารข้า”
กิเลนมังกรวิ่งตะบึงไปด้วยความเร็วอย่างยิ่งยวด และเท้าของเขาก็ทิ้งรอยไฟเอาไว้ข้างหลัง ไม่ทันที่เสียงของเขาจะมาถึง เขาก็ได้แบกฉินมู่มาถึงข้างๆ ผางอวี้ และหยุดอย่างมั่นคงนุ่มนวลเมื่อถึงเป้าหมาย
เมื่อนั้นเสียงของเขาถึงเดินทางมาถึงทุกๆ คน
ฉินมู่หน้าบาน “ความพยายามของข้าในหลายวันมานี้ไม่ได้เปล่าประโยชน์ ศิษย์พี่ซวี เจ้าสำนักเต๋า ศิษย์พี่หวาง พวกเจ้าอยู่นี่กันหมดเลย! ดูสิ มังกรอ้วนของข้าองอาจน่าเกรงขามไหมล่ะ”
หวางมู่หรันทำแก้มป่องและไม่พูดอะไร กวางใหญ่ข้างๆ เขาเย้ยหยัน “ใช่ องอาจน่าเกรงขามจริงๆ หากว่าเขารักษารูปร่างนี้ไว้ได้สักสามวัน ข้าจะถอดเขาตัวเองของมาแล้วปักเข้าไปในจมูก เจ้า–”
กิเลนมังกรถลึงตาจ้องเขาด้วยความโมโห
ฉินมู่ไม่สนใจคำพูดของเขา และสายตาก็เบนไปจับจ้องที่โหลเชียนจ้ง เขากล่าวด้วยความเคร่งขรึม “ผู้ใหญ่บ้านช่างมีปัญญาญาณ เขาพูดถูกจริงๆ เมื่อข้า กายาจ้าวแดนดินปรากฏ กายาจ้าวแดนดินปลอมทุกชนิดก็จะโผล่หัวออกมาเพื่อลักขโมยโชคชะตาของข้าและกลายเป็นกายาจ้าวแดนดินแท้ พี่ซี ข้าไม่ได้พูดถึงเจ้า ดังนั้นอย่าได้เก็บมาคิดใส่ใจ…พี่หวาง หุบปาก เจ้าไม่ใช่กายาจ้าวแดนดิน กายาจ้าวแดนดินปลอมก็ยังไม่ใช่…”
โหลอวิ๋นชวี ขุยชิงเผย และคนอื่นๆ จ้องเขม้นไปที่ฉินมู่ และถามด้วยเสียงต่ำ “มหาราชา ใครคือเด็กหนุ่มยโสโอหังที่ขี่มาบนสัตว์ประหลาด”
ฟู่ยื่อลัวฉีกยิ้มและกล่าว “แดนบาดาลมีบันทึกเป็นตายไม่ใช่หรือ แค่พี่ท่านส่องบันทึกไปที่เขาก็คงจะรู้ไม่ใช่หรือ”