ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 685 ตายด้วยการสักการะ
กระบี่แปดพันเล่มพวยพุ่งออกไป และก่อขึ้นมาเป็นโล่เบื้องหน้าฉินมู่ โล่นี้มีโค้งอันสมบูรณ์แบบที่สามารถขัดขวางแรงปะทะที่ร้ายกาจที่สุดด้วยแรงกดดันอันถ่ายทอดมาน้อยที่สุด ฉินมู่กระโดดไปข้างๆ และคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อป้องกันข้างหลังด้วยโล่ มันเป็นท่าที่ดีที่สุดเพื่อรับแรงกระแทก
ข้างหลังเขา เส้นด้ายปราณชีวิตจำนวนมากออกมาจากจิตวิญญาณดั้งเดิม และไหลบ่าเข้าไปในโล่ เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างโล่
ไจกระบี่ที่ผิวหน้าของโล่ได้ไขว้ขัดกันและกันด้วยโครงสร้างชุดเกราะโซ่ เขาสามารถใช้โครงสร้างเช่นนี้เพื่อทานทนรับแรงกระแทกอันร้ายแรงที่สุดได้
นอกจากนั้น อักษรรูนสายป้องกันทุกชนิดก็ปรากฏขึ้นบนโล่ และนั่นคืออักษรรูนเต่าดำ ผิวหน้าของโล่มีเส้นวงจรรูปกระดองเต่า และที่ขอบที่โล่ก็มีรอยประทับของงูเหินหาว
ฟิ้ว
คลื่นกระแทกจากระฆังฌาปนกิจสวรรค์ระเบิดเข้ามา และมันก็ไม่มีเสียงดังกัมปนาท มีเพียงแค่แรงสะท้านเขย่าในห้วงอวกาศ และฉินมู่ก็สัมผัสไม่ได้ถึงแรงกระแทกน่าสะพรึงกลัว ในทางกลับกันจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาได้รับความเสียหายร้ายแรงจนกระเด็นปลิวไปข้างหลัง
ระฆังฌาปนกิจสวรรค์นี้เป็นทักษะเทวะที่พุ่งเป้าไปยังจิตวิญญาณดั้งเดิมหรือดวงวิญญาณ!
ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็กลับมาอย่างรวดเร็ว ความเร็วการเหาะเหินของจิตวิญญาณดั้งเดิมนั้นเร็วที่สุดในโลกหล้า และแม้ว่ามันจะถูกเป่ากระเด็นไปเป็นหมื่นลี้ ก็อาศัยเพียงชั่วเสี้ยววินาทีก็กลับมาได้ ปัญหาเดียวก็คือ ฉินมู่ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาจะรับมือการโจมตีจากระฆังฌาปนกิจสวรรค์ได้หรือไม่!
เขาไม่รู้เกี่ยวกับทักษะเทวะแดนบาดาลมากเท่าไรนัก และก็เคยเห็นแต่ของโหลเชียนจ้ง โหลเชียนจ้งเองก็มีเวลาเพียงแค่ขับเคลื่อนออกมากระบวนท่าเดียว ก่อนที่เขาจะตายลงไป ดังนั้นฉินมู่จึงไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นวิชาฝึกปรือละทักษะเทวะแดนบาดาลมากไปกว่านี้
ขณะที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเหาะกลับมานั่นเอง คลื่นกระแทกระลอกที่สองจากระฆังฌาปนกิจสวรรค์ก็ซัดมาติดๆ และเป่าจิตวิญญาณดั้งเดิมเขาไปไกลกว่าเดิม
กระนั้นกายเนื้อของฉินมู่ก็ยังไม่รู้สึกอะไรมาก
ระฆังฌาปนกิจสวรรค์นี้มีฤทธิ์เดชร้ายกาจ แต่มันมีผลเพียงแต่กับจิตวิญญาณดั้งเดิมและดวงวิญญาณเท่านั้น! ถ้าอย่างนี้…
สำนึกรู้ของฉินมู่เข้าควบคุมร่างกาย และโล่ของเขาก็พลันแยกชิ้นส่วนออก ในจังหวะที่โล่กระจัดกระจายออกจากกัน ฉินมู่ก็ได้แปลงร่างเป็นสามเศียรหกกร แขนทั้งหกของเขาคว้าจับกระบี่แปดพันเล่มที่ได้แปรเปลี่ยนเป็นมีดเทวะหกเล่ม เขาทะยานขึ้นไปและโจมตีไปตรงหน้าระฆังฌาปนกิจสวรรค์!
เขาเหมือนกับพยัคฆ์ร้ายที่หลุดเข้าไปในฝูงแกะ มีดเทวะทั้งหกของเขาฟันขึ้นและลง ตัดศีรษะของผู้คนให้หลุดจากร่าง เขาสังหารผู้คนราวกับตัดหญ้า และเขาก็ขับเคลื่อนเก้าวิชาดาบสวรรค์ของคนแล่เนื้อจนสุดจิตสุดใจ
เก้าวิชาดาบสวรรค์ จากลมฝนราตรีทลายเมือง ตะวันทะเลบูรพาคลื่นซัดพันระลอก ไปถึงมีดยาวห้อยใต้แสงจันทร์สกาว ท่ามกลางหมู่ดาวม้าสวรรค์ตื่นตระหนก ทุกๆ เพลงมีดด้วยแต่เพริศแพร้วและตราตรึงใจ
แสงมีดเหมือนกับลมและฝน ทะเลและคลื่น มันห้อยอยู่ใต้แสงจันทร์ และก็เหมือนกับม้าสวรรค์ที่อยู่ท่ามกลางทะเลดาว!
ผนวกกับทักษะเทวะเสกสรรที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคสมัยแสงฉาน มีสามเศียรและหกกรทำให้เขาสามารถมองไปรอบๆ เพื่อโจมตีทุกทิศทาง และไม่มีจุดบอดหลงเหลือเลยแม้แต่นิด ราวกับว่ามีฉินมู่สามคนที่เข้าไปเข่นฆ่าล้างผลาญท่ามกลางฝูงแพะแกะ!
ทันใดนั้น แสงมีดก็ถูกรั้งกลับมา และแขนทั้งของเขาก็ยกชูขึ้น มีดทั้งหกเข้ามาชนกันและกันเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นมีดเล่มยาวเพียงหนึ่งเดียว อันถูกแขนทั้งหกจับฟาดลงมาพร้อมๆ กัน!
ฉัวะ
แสงมีดนั้นทำให้ผู้คนกลั้นลมหายใจ และมันก็ฝ่าแยกประตูใหญ่แห่งโถงวัง ประตูขาดเป็นสองเสี่ยง และกระเด็นออกไปสองข้างทาง เปิดโถงวังนั้นจนกระจุย!
ในเวลาเดียวกันนั้น ศพมากมายก็ร่วงลงมาทั้งหน้า หลัง ซ้าย และขวาของเขา ทั้งหมดล้มร่วงลงตามๆ กัน และไม่มีใครยืนได้อีกต่อไป
จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเหาะกลับมา และมันก็มายืนข้างหลังเขา
ฉินมู่ใช้มือทั้งหกของเขาถูเข้าด้วยกันอย่างเบาๆ และมีดยาวก็แปรเปลี่ยนเป็นไจกระบี่อันลอยอยู่ใจกลางหว่างคิ้วของเขา เขาชะงักฝีเท้า และปราณชีวิตของเขาก็กวาดไปยังกล่องเล็กมาในมือ จากนั้นเขาถึงเดินเข้าไปในโถง
เคร้ง
ระฆังฌาปนกิจสวรรค์ข้างหลังเขาร่วงลงมากับพื้น และกลิ้งลงไปตามขั้นบันได ส่งเสียงเคร้งคร้างดังกว่าเดิม
ในโถงนั้น มารเทวะตนหนึ่งในผ้าคลุมหลังสีดำยืนตรงอยู่บนบัลลังก์ของเขา เขามีเขาโค้งบิดและยาวสีแดงฉานคู่หนึ่งอยู่บนศีรษะ และดวงตาของเขาก็เหมือนดวงตามนุษย์
มารเทวะนั้นถือหนังสืออยู่ คล้ายกับกำลังอ่านตรึกตรอง ฉินมู่ถือกล่องเล็กของเขาและเดินเข้าไป กล่องเล็กนี้ส่งเสียงแครกและมันก็แง้มเปิดขึ้นมาเล็กน้อย
มารเทวะนั้นวางหนังสือในมือของเขาลงและมองมา เขาหัวเราะเบาๆ และกล่าว “นานมากแล้วตั้งแต่มีผู้คนมาเยือนที่โลกหยินสวรรค์ ครั้งล่าสุดที่มีคนมาก็เมื่อสองหมื่นปีก่อน จักรพรรดิก่อตั้งไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ดังนั้นเขาจึงบัญชาให้เทพตนหนึ่งเข้ามาสืบสวนสถานที่แห่งนี้ บัดนี้เจ้าอยู่ที่นี่ หรือว่ามีไอ้โง่โอหังที่ไหนในโลกภายนอกที่หมายจะพลิกฟ้าคว่ำดินอีกล่ะ”
ฉินมู่ถือกล่องมาและโค้งคารวะ “ทายาทรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดแห่งจักรพรรดิก่อตั้ง ฉินเฟิงชิง น้อมคารวะผู้อาวุโสแห่งแดนบาดาล”
“ที่แท้เจ้าก็เป็นทายาทของจักรพรรดิก่อตั้ง เจ้ายังเยาว์อยู่เลย”
มารเทวะตนนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จักรพรรดิก่อตั้งตายไปหรือยัง หากว่าเขายังไม่ตาย เขาคงจะบอกเจ้าอยู่ว่าอย่าเผยนามที่แท้จริงให้แก่ผู้อื่น โดยเฉพาะกับผู้คนแห่งแดนบาดาล แม้ว่าเจ้าจะมีฝีมือความสามารถอยู่บ้าง แต่ก็ยังอ่อนหัดเกินไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
เขาลุกขึ้นยืน และร่างอันสูงใหญ่กำยำของเขาก็ยิ่งสูงกว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมสิบห้าวาของฉินมู่เสียอีก
“แซ่ขุยนั้นเป็นแซ่ตระกูลใหม่ที่ให้กำเนิดเทพเจ้ามากมาย และแซ่ของข้าก็มิใช่ใดอื่น นอกเสียจาก ขุย”
เสียงของเขาดังสนั่นปานฟ้าผ่า “ชื่อทางเต๋าของข้าคือขุยอูชวี แต่แน่ล่ะว่านี่เป็นชื่อปลอม ถึงอย่างไรผู้คนก็เรียกข้าว่าท่านอ๋องอูชวี”
หัวใจของฉินมู่หวั่นไหวเล็กน้อยและเอ่ยถาม “ข้าได้พบกับเทพเจ้าสองตนที่มีแซ่ขุย หนึ่งนั้นเรียกว่าเทพหมอผีขุย อีกหนึ่งเรียกว่าขุยชิงเผย ไม่ทราบว่าพวกเขามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสหรือไม่”
“ขุยชิงเผยเป็นศิษย์ของฝ่าบาท และเป็นยอดฝีมือที่โดดเด่นในตระกูลขุยของพวกข้า”
มารเทวะขุยอูชวีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขณะที่เทพหมอผีขุยนั้นเป็นศิษย์ของข้า เขาเป็นหมากของสภาสวรรค์ที่ถูกวางเอาไว้ในแดนบาดาลและมาศึกษาเรียนรู้ภายใต้ข้า เจ้านั้นยังคงมีชีวิตอยู่หลังจากที่เจอพวกเขา ดังนั้นเจ้าต้องมีวิธีการอะไรอยู่บ้างเป็นแน่ แต่ทว่า ในเมื่อเจ้าเคยพบกับเทพหมอผีขุย เจ้าก็น่าจะรู้ว่าหากเขาเป็นศิษย์ของข้า มันจะอันตรายขนาดไหนที่เจ้าเผยชื่อจริงต่อหน้าข้า”
สีหน้าของฉินมู่ซีดเผือด และเขายกกล่องเล็กขึ้นมา
อ๋องอูชวีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไร้ประโยชน์ แม้ว่ามีดปริศนาประหารเทพจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง และข้าก็ด้อยกว่ามันมาก แต่มีดปริศนาประหารเทพของเจ้าไม่มีทางโจมตีโดนข้าเป็นอันขาด อันที่จริงแล้ว ขณะที่เจ้าจัดการกับเทพเจ้าแดนบาดาลทั้งหลายเมื่อครู่นี้ ข้าก็ได้เห็นจุดอ่อนในมีดปริศนาประหารเทพแล้ว เจ้าใช้มีดนั้นเพื่อสังหารเทพใต้บัญชาของข้ามากมาย แต่เจ้าไม่เคยใช้มีดนี้เพื่อจัดการกับผู้ฝึกวิชาเทวะที่ซ่อนตัวในแดนบาดาล เมื่อเจ้าพบกับผู้ฝึกวิชาเทวะ เจ้าก็จะใช้แต่กระบี่บินเพื่อสังหารพวกเขา นั่นมันความว่าอย่างไรล่ะ”
เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “มีดปริศนาประหารเทพ ไม่สามารถฟันเข้าไปในแดนบาดาล!”
สีหน้าของฉินมู่ถอดสีราวกับศพ และไม่มีร่องรอยของโลหิตในใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย
อ๋องอูชวีพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “เมื่อข้าเห็นเจ้าเข่นฆ่าผู้ใต้บัญชาของข้า ทำไมข้าถึงไม่ปรากฏตัวล่ะ ตอนนี้ข้าจะบอกเจ้า เพราะข้ากลัวมีดปริศนาประหารเทพ ศีรษะของยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิ สายตาของเขานั้นดุจมีดดาบ และศีรษะนั้นก็ดื่มโลหิต เขาได้สังหารเทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วน และข้าก็จะไม่ลงมือจนกว่าจะมองมันทะลุปรุโปร่ง แต่ทว่า มีดปริศนาประหารเทพถูกข้ามองจนทะลุแล้ว และเจ้าทำอันตรายข้าไม่ได้สักนิด”
ฉินมู่รู้สึกผิดหวังและพึมพำ “เจ้าถึงกับสามารถข่มใจตัวเองเอาไว้ขณะที่เห็นข้าฆ่าฟันลูกน้องของเจ้าเลยหรือ เจ้าช่างอำมหิตจริงๆ…”
อูชวียืนไพล่หลัง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กต่ำช้า เจ้าแข็งแกร่งเกินไป ความตายของพวกนั้นเกี่ยวอะไรกับข้า ไม่ว่าจะอย่างไร แม้ว่าพวกเขาจะตายไป ก็ยังไปฟื้นคืนชีพที่แดนบาดาลได้อยู่ดี มีก็แต่พวกโชคร้ายที่ถูกมีดเทวะนั้นดูดกลืนจิตวิญญาณดั้งเดิมและดวงวิญญาณเท่านั้น ที่จะตายสนิทไม่มีฟื้น แต่ทว่านั้นเกี่ยวอะไรกับข้า ในเมื่อเจ้ารู้จักศิษย์ของข้า เทพหมอผีขุย เจ้าอยากเห็นสุดยอดวิชาที่แข็งแกร่งกว่านั้นไหมล่ะ”
ฉินมู่หน้าถอดสีอย่างรุนแรง และเขารีบกล่าว “ผู้อาวุโส ช้าก่อน! ผู้อาวุโส ท่านไม่อยากรู้หรือว่าข้ามีเป้าหมายอะไรในการเข้ามายังโลกหยินสวรรค์”
อูชวีหันศีรษะมา และเขาของเขาก็ทำให้เขาดูเหมือนกับแพะภูเขา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็ได้ ในเมื่อนานทีข้าจะได้พบกับบุคคลภายนอกเสียทีระหว่างที่ข้าประจำการอยู่ที่นี่ ข้าจะให้เวลาเจ้าสักหน่อย บอกเป้าหมายของเจ้ามา”
ฉินมู่มีสีหน้าขึงขังและกล่าว “ข้ามาที่นี่เพื่อค้นหาเทพีหยินสวรรค์!”
“เทพีหยินสวรรค์?”
อูชวีเหมือนกับได้ยินเรื่องที่ขบขันที่สุดในโลก และตอบกลั้วหัวเราะ “เทพีหยินสวรรค์ถูกกัดกินไปแล้วเมื่อหลายหมื่นปีก่อน เหลือแต่ผืนหนังของเทพีเท่านั้น เจ้าจะมาตามหานางเพื่ออะไร หลังจากเจ้าเจอนาง เจ้าจะทำอะไรได้ ใช้ผืนหนังของนางเป็นเครื่องสังเวยข้า?”
สีหน้าของฉินมู่หมองมัวลง และเขาก็พึมพำ “เทพีหยินสวรรค์ตายแล้วหรือ มันเป็นไปได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้…ไม่! มันเป็นไปไม่ได้! เทพีหยินสวรรค์เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ ใครจะสังหารนางได้ เจ้าจะต้องโกหกข้าแน่ๆ! ข้าไม่เชื่อ!”
อูชวีระเบิดหัวเราะและกล่าว “ผืนหนังของนางถูกสะกดเอาไว้ใต้ทะเล เจ้าอยากจะให้ข้าเรียกนางมาให้เจ้าดูไหม”
“ข้าไม่เชื่อเจ้า เจ้าต้องโกหกข้า…”
ฉินมู่มีแววตาว่างเปล่าและพึมพำ “เจ้าต้องโกหกข้าแน่นอน…ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งให้สร้างพันธมิตรกับเทพีหยินสวรรค์ นางเป็นเทพกำเนิดตามธรรมชาติ เป็นนายแห่งโลกหยินสวรรค์ นางทรงพลังอย่างไร้ปานเปรียบ นางไม่มีทางตายไปแน่ๆ นางไม่มีทาง…”
อูชวีเดินไปข้างๆ เขาและกล่าวอย่างเนิบนาบ “สังหารผู้คนด้วยการบดขยี้หัวใจ ข้าชอบเหลือเกินที่จะเห็นเด็กต่ำช้าโอหังอย่างเจ้าพังทลายลงไป ให้ข้าจุดแสงสว่างปัญญาแก่เจ้าก่อนจะตาย ตามข้ามา ข้าจะเรียกเทพีหยินสวรรค์ออกมาให้เจ้าดู”
ฉินมู่ตามเขาไปด้วยความห่อเหี่ยวผิดหวัง ฝีเท้าของเขาสะเปะสะปะ เขาเกือบจะเดินสะดุดซากศพบนพื้น เขาต้องกะเผลกไปข้างหน้าเพื่อก้าวต่อไป
อ๋องอูชวีมายังริมทะเล และทะเลสีเทาก็พลันเต็มไปด้วยคลื่นคลั่ง ความปั่นป่วนในทะเลยิ่งมาก็ยิ่งดุเดือด ผ่านไปครู่หนึ่ง เทพนารีผู้ยิ่งยงก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากทะเล
กายเนื้อของเทพนารีนี้กว้างใหญ่ไพศาล แต่นางดูเหมือนว่ามิได้นุ่งห่มอาภรณ์ใดๆ ในทางตรงข้าม นางใช้สายรุ้งแทนภูษา
ฉินมู่เงยหน้ามองและดูเหมือนจะมีความหวังจุดขึ้นมาอย่างริบหรี่ เขาตะโกนไป “เทพี ท่านยังมีชีวิตอยู่! เทพี ข้ารับคำสั่งมาที่นี่เพื่อสร้างพันธมิตรกับท่าน เทพี โปรดสังหารไอ้คนต่ำช้าผู้นี้ด้วย!”
อูชวีหัวเราะและดูสุขใจเป็นพิเศษ “เจ้ามองไม่ออกเลยสินะ? เทพีหยินสวรรค์ดูไม่เหมือนเหลือเพียงแค่ผืนหนัง แต่จริงๆ แล้วข้างในของนางกลวงเปล่า นางไม่ใช่ตัวของนางเองอีกต่อไป กายเนื้อของนางเหลือแต่ผิวหนัง จิตวิญญาณดั้งเดิมของนางไม่มีอยู่อีกต่อไป นางนั้นกลายเป็นเปรตไปเรียบร้อยแล้ว”
เขาหันกลับไปและเผยยิ้มอันพิลึกประหลาด “ตอนนี้ เจ้าก็ตายได้ล่ะ”
ฉินมู่ดิ้นรนด้วยการเปิดกล่องเล็ก แสงโลหิตสองสายฟันไปยังอูชวี!
อูชวีหัวเราะร่า และร่างกายของเขาก็หายเข้าไปในความมืด ราวกับว่ามันกอปรขึ้นมาจากเม็ดทรายดำจำนวนนับไม่ถ้วน แสงมีดสองแสงฟาดฟันผ่านร่างของเขา แต่เขาก็ยังคงไร้ริ้วรอย
“อย่างที่คิด ทักษะเทวะแดนบาดาลสามารถป้องกันมีดปริศนาประหารเทพได้” อูชวีแย้มยิ้ม
แสงมีสองสายหมุนวนรอบตัวเขา และไม่ว่ามันจะเร็วสักเท่าไร ก็ไม่อาจโจมตีโดนร่างจริงของเขาได้
“ข้าเล่นสนุกพอแล้ว ได้เวลาส่งเจ้าลงนรก!”
อูชวีโค้งคารวะแก่ฉินมู่ขณะที่เขาอยู่ในแดนบาดาล และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าสามารถสักกะระเจ้าให้ตายได้ ต่อให้มีโลกมิติกั้นกลางระหว่างพวกเรา ข้าก็ยังทำมันได้! ฉินเฟิงชิง รับการสักการะของข้า!”
ด้วยการโค้งสักการะนั้น จิตคิดของฉินมู่ก็กระเจิดกระเจิง และโลกของเขาก็เหวี่ยงหวือติ้วๆ ในจังหวะถัดมา เขาก็อยู่ตรงหน้ามารเทวะตัวมหึมา
มารเทวะนั้นมีเขาที่ศีรษะและมีกีบที่เท้า ไฟมารแผดเผารอบๆ ร่างกายของเขา และนั้นมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของอูชวี มันยื่นมือออกมาคว้าจับเขา
ไม่ทันที่เขาจะคว้าจับไปถึง สายตาของเขาก็ว่างเปล่า เมื่อเขามองไปที่ข้างหลังฉินมู่อย่างโง่เซ่อ
ในความมืดข้างหลังฉินมู่ ดวงตาสามดวงพลันเปิดออกกลางอนธกาล และพวกมันก็ส่องแสงประหลาดวูบวาบออกมา อันมีรูปร่างคล้ายปีกผีเสื้อ ถัดจากนั้น ใบหน้าอ้วนท้วนของทารกก็ปรากฏออกมาจากความมืด
“นี่คือ…”
เขาอ้าปากค้าง “ฉินเฟิงชิงสองคน?”
ความกระวนกระวายบนใบหน้าของฉินมู่ได้หายไปนานแล้ว และทดแทนด้วยความเยือกเย็น “อ๋องอูชวี มาพบพี่ชายข้าหน่อยสิ”