ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 693 คนฉลาดที่สุด
นักบุญคนตัดไม้เพ่งพิศดูผืนหนังนั้นอย่างละเอียด และหัวใจเขาก็หวั่นไหวเล็กน้อย “ข้าจำเขาได้ ชื่อของเขาคือหนิงจิ่น เขาเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่ข้าส่งออกไปสำรวจในความมืด ข้าได้ประทับฝังวิชามารฟ้าเสกสรรเอาไว้บนร่างของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ประหลาดในความมืดกัดกินเขา เขายังมีชีวิตอยู่ไหม”
ฉินมู่กล่าว “เขาทั้งไม่เป็นและก็ไม่ตาย อาจารย์ เขาได้สำเร็จภารกิจแล้ว”
นักบุญคนตัดไม้สีแววตาตื้นตัน แต่เขาไม่แสดงมันออกมา เขาผงกศีรษะอย่างแช่มช้า “เจ้ามีวิธีที่จะปลุกเขาขึ้นมาไหม”
ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าว “เมื่อกลางคืนมาถึง เขาก็จะกลับมามีชีวิต และในตอนนั้น อาจารย์ก็สามารถพบเขาได้”
ในตอนนั้นเองความมืดหอบหนึ่งก็โถมซัดมา เมื่อท้าวยมราชเคลื่อนไหว ร่างของเขาก็ลากเอาความมืดเข้ามาปกคลุมพวกเขาทุกคน ผืนหนังมนุษย์พลันลอยขึ้นมาเหมือนกับคนกระดาษ และเนื้อก็เริ่มพองฟูขึ้นมาจากในผิวหนัง ไม่นานนักเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งก็เต็มไปด้วยเลือดและเนื้อ เขายืนอยู่ตรงหน้าทุกๆ คนเหมือนกับมนุษย์ตัวเป็นๆ
“เขาสามารถอาศัยอยู่ในยมโลกได้” ท้าวยมราชกล่าวมาจากใต้ผ้าคลุมแห่งความมืดของเขา
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งสำรวจมือของเขาไปมาซ้ำแล้วซ้ำอีก และเผยสีหน้าตื่นตระหนก เขาพึมพำและกล่าว “นี่คือความรู้สึกของการมีชีวิตอยู่ นี่คือความรู้สึกของการมีชีวิตอยู่…สองหมื่นปี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกมีชีวิต…”
ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะกล่าว “ผู้อาวุโส ท่านตายไปแล้ว ท้าวยมราชได้นำแดนเป็นของคนตายมายังรอบกายของท่าน เพื่อให้ท่านรู้สึกเหมือนกับว่ายังมีชีวิตอยู่”
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งรู้สึกพลุ่งพล่านจนแทบจะข่มอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นนักบุญคนตัดไม้ และดวงตาของเขาก็แดงก่ำทันที เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งและประสานมือคารวะเหนือหัว กล่าวด้วยเสียงอันเข้มแข็ง “ข้าน้อมคารวะครูบาสวรรค์! กองพันอักษรสวรรค์หนิงจิ่น ใช้เวลาสองหมื่นหกร้อยปี ข้ามาเพื่อรายงานความสำเร็จในภารกิจ!”
“รายงาน: ทหารห้าสิบแปดนายจากกองพันอักษรสวรรค์เสาะหาแหล่งที่มาของความมืดใต้บัญชาของครูบาสวรรค์ ทหารห้าสิบเจ็ดนายเสียชีวิต และดวงวิญญาณของพวกเขาแตกสลาย มีแต่ผู้น้อยที่โชคดีภารกิจไม่ล้มเหลว และสามารถเสาะพบข้อเท็จจริงของความมืดได้ ขอครูบาสวรรค์โปรดให้ผู้น้อยกลับเข้าประจำการณ์”
นักบุญคนตัดไม้นิ่งงัน และแสงก็ไหลเวียนไปมาในดวงตาของเขา แต่ก็ไม่ไหลออกมา ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ก้าวเข้าไปในความมืดและพยุงแขนของหนิงจิ่น “ทหารแห่งกองพันอักษรสวรรค์ ภารกิจของเจ้าสมบูรณ์แล้ว”
“ขอบพระคุณ ครูบาสวรรค์!”
หนิงจิ่นลุกขึ้นด้วยตัวยืนตรง เขาเหมือนกับทหารที่รอรับการตรวจแถว และเขาตะโกนไป “หนิงจิ่นร้องขอกลับเข้ากองพันอักษรสวรรค์!”
นักบุญคนตัดไม้เผยยิ้มและกล่าว “ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งได้ถูกทำลายล้างไปแล้ว ข้าได้ทำให้พวกเจ้าทุกคนผิดหวัง กองพันอักษรสวรรค์ก็ถูกยุบไปแล้ว หนิงจิ่น เจ้าเป็นอิสระ…”
หนิงจิ่นตะลึงไป และจ้องข้างหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง ดูเหมือนว่าจะยังคงยอมรับความจริงไม่ได้ เขากล่าวด้วยความยากลำบาก “ครูบาสวรรค์ ตลอดสองหมื่นปีที่ผ่านมา ข้าเฝ้าคอยที่จะได้กลับไป…ครูบาสวรรค์ หนิงจิ่นกลับมารายงาน โปรดส่งข้ากลับเข้าประจำการณ์!”
นักบุญคนตัดไม้นิ่วหน้า “สภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้งสิ้นสุดไปแล้ว ไม่มีกองพันอักษรสวรรค์อีกต่อไป ตอนนี้เจ้าเป็นอิสระแล้ว หนิงจิ่น…”
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งมีเสียงสั่นเทิ้ม และร้องออกมาด้วยเสียงอันแหบพร่า “หนิงจิ่นร้องขอกลับเข้าประจำการณ์!”
นักบุญคนตัดไม้เงียบงันไปเนิ่นนาน และเสียงของเขาก็สั่นสะท้านเล็กน้อย เขาก็อยากที่จะเผยอารมณ์แท้จริงออกมาเช่นกัน แต่ในขณะนั้น เขาก็สะกดข่มจิตเต๋าของเขาเอาไว้ และรีดถ้อยคำออกมาทีละคำ “ทหารแห่งจักรพรรดิก่อตั้ง กองพันอักษรสวรรค์หนิงจิ่น ข้าอนุญาตให้เจ้ากลับเข้าประจำการณ์!”
หนิงจิ่นเผยยิ้มออกมา และร้องไห้โฮด้วยเสียงอันดัง
นักบุญคนตัดไม้ตบบ่าเขาด้วยอารมณ์อันผสมปนเป และเขาก็ไม่เอ่ยวาจาอีกต่อไป
ฉินมู่มองไปที่พวกเขา จักรพรรดิแบบไหนกันถึงมีทหารเช่นนี้ได้ จักรพรรดิก่อตั้งน่ะหรือ
แต่เขาซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านไร้กังวล และตั้งแต่เมื่อเขาซ่อนตัว มันก็ผ่านมาถึงสองหมื่นปี เขาคงจะลืมเลือนไปแล้ว ถึงกลุ่มผู้คนที่จงรักภักดีติดตามเขาแม้จะตายไปแล้วก็ตาม
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งทั้งหลายไม่เคยติดค้างตระกูลฉินแต่อย่างใด พวกเขาไม่ติดค้างอะไรทั้งสิ้น เป็นตระกูลฉินต่างหากที่ติดค้างผู้คนอันจงรักภักดีและเที่ยงธรรมเหล่านี้ เขาคิดในใจ
ซวีเซิงฮวาถามด้วยความใคร่รู้ “จ้าวลัทธิฉิน ที่เรียกพวกเรามามีธุระอะไรหรือ”
ฉินมู่บอกเล่าพวกเขาถึงประสบการณ์ในโลกหยินสวรรค์และกล่าว “ทุกคนที่นี่ล้วนแต่มีสติปัญญาเหนือล้ำกว่าข้า ข้าไม่อาจแก้ไขปัญหาของเทพีหยินสวรรค์ได้ ดังนั้นพวกท่านจึงอาจจะคิดอะไรออกสักอย่าง”
ทุกคนจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง ดูเหมือนจะไม่เชื่อหูสิ่งที่ได้ยิน นักบุญคนตัดไม้รู้ว่าฉินมู่ได้ติดตามผู้เฒ่าตกปลาไปตกตะวันและจันทรา แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าผู้เฒ่าตกปลาจะหายตัวไป และเจ้าเด็กดื้อนี่ก็ถึงกับวิ่งแล่นไปที่โลกหยินสวรรค์!
ข้าส่งเทพเจ้าห้าสิบแปดตนจากกองพันอักษรสวรรค์เข้าไปสอดแนมในโลกหยินสวรรค์ แต่ไม่มีใครที่รอดชีวิตออกมาได้ และเขาก็บุกเข้าไปทั้งๆ แบบนี้เลยน่ะหรือ
นักบุญคนตัดไม้ลอบโคลงหัวไปมาและคิดในใจ เด็กดื้อนี่เหมือนศิษย์คนโตของข้า พวกเขาล้วนแต่ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน ศิษย์คนโตของข้าทำเรื่องพวกนี้เพื่อบรรลุเป็นนักบุญ แต่ฉินมู่ทำไปเพื่ออะไร หรือว่าเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง ใช่ไหม
กับฉินมู่นี่เขาจนปัญญาจริงๆ อันตรายของโลกหยินสวรรค์แค่นึกเอาก็เห็นภาพ แต่กระนั้นฉินมู่ก็ยังรอดกลับมาได้ และแม้กระทั่งชุบชีวิตเทพีหยินสวรรค์ที่ตายไปแล้วไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี
ประสบการณ์และโอกาส ผนวกกับวิธีการแก้ปัญหาของเขา เป็นสิ่งที่คิดฝันก็ยังคิดฝันไปไม่ถึง
“จ้าวลัทธิฉิน ใครกันที่เจ้าเรียกว่ามีสติปัญญาเหนือกว่าเจ้า”
ซวีเซิงฮวาเผยยิ้มที่หาได้ยากและกลั้นหัวเราะเอาไว้ “จ้าวลัทธิทวนคำพูดนั้นอีกทีจะได้ไหม”
ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็อยากจะได้ยินศิษย์พี่รองกล่าวมันอีกครั้ง”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าด้วย มู่เอ๋อ เจ้าทวนประโยคเมื่อกี้ใหม่ทีสิ”
เสียงของท้าวยมราชฟังดูห่างไกลราวกับส่งมาจากยมโลก “ถ้าได้ฟังคำยกย่องจากบุคคลหยิ่งผยองว่าเขาไม่ฉลาดเท่ากับพวกเรา ข้าก็ตายตาหลับ”
พวกเขาล้วนแต่ถูกฉินมู่กระทืบอย่างไร้ปรานีมาก่อน บรรพชนแรกนี่ไม่ต้องพูดถึง ซวีเซิงฮวาก็พ่ายแพ้ให้กับฉินมู่ ราชครูสันตินิรันดร์ก็ยิ่งแตกตื่นกับนำทางวิญญาณและสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม เขายิ่งอัศจรรย์ใจกับท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดของฉินมู่
ส่วนท้าวยมราชนั้น ก็แทบไม่ต้องสืบสาวราวเรื่อง ถูกอัดกระทืบในท้องพระโรงราชาฉิน นั้นเป็นเงามืดที่เขาต้องแบกต่อไปชั่วชีวิต
ฉินมู่หน้าดำคล้ำราวหมึก และเขายิ้มหยัน “มีแค่สี่คนในที่นี้ที่ฉลาดกว่าข้า ลองคิดกันเองดูว่าใครที่ไม่ฉลาดไปกว่าข้า”
ทันทีที่เขากล่าวเช่นนั้น ทุกคนก็จมลงในความคิด
บรรพชนแรกถอนหายใจและมีสีหน้าอันหดหู่ เขาคิดในใจ เขาไม่ยอมเรียนมุทราฟ้าและดินของข้า เขาต้องคิดว่าวิชามุทราของข้าด้อยกว่าเขาแน่ๆ…
ท้าวยมราชก็รู้สึกว่าเขาไม่เฉียบแหลมเท่าเด็กแสบผู้นี้เช่นกัน และถอนหายใจเบาๆ ร่างของเขากลืนหายเข้าไปในความมืด หางตาของราชครูสันตินิรันดร์สั่นไหว และเขาไม่กล่าวคำพูดใดๆ
ซวีเซิงฮวาคิดจนถี่ถ้วนและรู้สึกว่าแม้เขาจะเหนือล้ำกว่าฉินมู่ในบางเรื่อง แต่ก็ยังไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชัยเขาได้ ดังนั้นเขาจึงผิดหวังเล็กน้อย
“มีคำเล่าขานแต่โบราณว่าสังหารทหารสามนายด้วยลูกท้อผลเดียว แต่บัดนี้ฉินมู่สามารถฟาดตีผู้ทรงปัญญาสี่คนได้ด้วยประโยคเดียว”
นักบุญคนตัดไม้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าไม่ต้องงุนงงไปหรอก เขาไม่มีทางฉลาดเฉียบแหลมเท่าพวกเราไปได้ เขาคือกายาจ้าวแดนดิน มีจุดตั้งต้นที่ดีมาแต่กำเนิด แต่วรยุทธกลับอยู่แค่ขั้นชาวสวรรค์ในตอนนี้ นี่แสดงว่าหัวสมองของเขาโง่ทึบ วรยุทธของเขาจึงถ่วงช้า ไปกันเถอะ พวกเราไปเยี่ยมเยือนเทพีหยินสวรรค์ในโลกหยินสวรรค์กัน”
ฉินมู่ยอกย้อนไปด้วยเสียงเบา “วรยุทธของอาจารย์ก็ต่ำที่สุดในบรรดาสี่มหาครูบาสวรรค์ นี่ก็แสดงถึงความโง่ทึบของท่านด้วยเช่นกัน”
นักบุญคนตัดไม้นำขวานของเขาออกมากับหินลับมีด จากนั้นก็ลับขวานไปมา ประกายไฟกระเด็นเปรื่องปร่าง และฉินมู่ก็หุบปากฉับ เขารีบพาทุกๆ คนเข้าไปในโลกหยินสวรรค์
กิเลนมังกรไม่กล้าเข้าไปในโลกหยินสวรรค์ ฉินมุ่ก็เลยได้แต่ให้เขาติดตามเหออีอีไปซ่อมถนน
ทุกคนมองลงไป และเห็นความมืดลอยอ้อยอิ่ง ทรายดำได้ท่วมทุกสิ่งทุกอย่าง และก็มีแต่หอคอยสูงลิ่วที่ตรึงสะกดสัตว์ประหลาดในความมืดเอาไว้ พวกมันถูกขับไล่ไปที่แขตแดนแห่งโลกหยินสวรรค์
“นี่คือทรายวิญญาณดำและผีเปรตอย่างนั้นหรือ”
ทุกคนมองไปรอบๆ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เอี๋ยนจิงจิงได้เข้ามา นางอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่ง
วรยุทธของซวีเซิงฮวาต่ำที่สุด และเขาก็อยู่ในขั้นชาวสวรรค์เหมือนกับฉินมู่ เขาลองจะแตะความมืดดู แต่นักบุญคนตัดไม้ส่ายหน้าห้าม “ระวังพวกผีเปรต พวกมันเร็วเป็นอย่างยิ่ง”
ซวีเซิงฮวากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผีเปรตเหล่านี้ถูกตรึงสะกดไว้ด้วยหอคอยตรงนั้น พวกมันเข้ามาไม่ได้หรอก ข้าอยากจะจับพวกมันมาสักตัว และพวกเราจะได้วิจัยมันอย่างละเอียด”
“รอสักเดี๋ยว!”
ฉินมู่หายลับไปในความมืด และผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ปรากฏตัวด้วยเปรตตนหนึ่งในมือ
ซวีเซิงฮวาเตรียมที่จะศึกษามันดูอย่างละเอียด แต่นักบุญคนตัดไม้ก็กล่าว “พวกเราไปคารวะทักทายเทพีก่อน ไม่ควรที่จะละเลยมารยาท”
ทุกคนเดินไปยังชายทะเล และก็พบว่าเทพหยินสวรรค์นั่งอยู่ไม่ไกล ทุกคนเงยศีรษะขึ้นมอง และหัวใจก็สะท้านอย่างรุนแรง
“จักรพรรดิดำแดนบาดาลสามารถสังหารเทพบรรพกาลที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้เชียวหรือ เขามีกำลังฝีมือน่าแตกตื่นขนาดไหนกัน”
ฉินมู่นำทุกๆ คนก้าวไปข้างหน้า และเทพีหยินสวรรค์ก็จับจ้องมองดูพวกเขาอย่าสนใจใคร่รู้ “ปรมาจารย์มหาเวท นี่คือผู้คนที่ท่านบอกว่าเฉลียวฉลาดกว่าท่านอย่างนั้นหรือ”
“เทพี นี่คืออาจารย์ของข้า คนตัดไม้ เขาเป็นเสาหลักแห่งการปฏิรูปจักรพรรดิก่อตั้ง นี่คือราชครู และเขาเป็นเสาหลักแห่งการปฏิรูปแห่งปัจจุบันสมัย นี่คือท้าวยมราชแห่งยมโลก เขาแบ่งแดนใต้พิภพส่วนหนึ่งไปเป็นเขตแดนของตนเองและเข้าปักหลักอยู่ที่แดนโบราณวินาศ เขามีความสำเร็จอันสูงล้ำในด้านวิชาวิญญาณ นี่คือกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และเขาคิดค้นเคล็ดลับศักดิ์สิทธิ์หฤทัยฟ้าดิน วิชาฝึกปรือของเขาบรรลุขั้นตำหนักชิดฟ้า แต่นั่นคือนับเมื่อสองหมื่นปีก่อน ตอนที่เขายังเป็นเพียงแค่องค์ชายไปศึกษาร่ำเรียน แม้ว่าเขาจะปล่อยตัวเสเพลอยู่สองหมื่นปี พรสวรรค์และปฏิภาณของเขาก็ยังคงน่าแตกตื่น นี่คือซวีเซิงฮวา เขาคือกายาจ้าวแดนดินปลอม และเขาก็สามารถสร้างเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างเช่นกันหลอมรวมสองมหาสมบัติเทวะ อันได้แก่เจ็ดดาวและหกทิศเข้าด้วยกัน”
ฉินมู่แนะนำพวกเขาไปทีละคน “ข้ามักจะตกตะลึงกับสติปัญญาของพวกเขา และข้าก็นับถือความรู้ของพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง สติปัญญาของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าโอรสหยินสวรรค์ และบางที พวกเราอาจจะช่วยเทพีหยินสวรรค์แก้ไขปัญหาของโลกหยินสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
ทุกคนคารวะทักทายไป “พวกเราน้อมคารวะเทพี”
เทพีหยินสวรรค์ยกมือขึ้นและกล่าว “ทุกท่าน ไม่จำเป็นต้องมามารยาท ปรมาจารย์มหาเวทได้ช่วยข้าคิดสองวิธีการในการแก้ปัญหาอาการ แต่ว่าไม่สามารถขุดรากถอนโคนของปัญหาโลกหยินสวรรค์ออกมาได้ ในเมื่อพวกท่านล้วนแต่มีสติปัญญาอันเลิศล้ำเหนือผู้คน พวกท่านสามารถคาดเดาได้หรือไม่ว่าสองความคิดใดที่ปรมาจารย์มหาเวทได้เสนอแนะออกมา”
นางไม่อาจเชื่อใจได้ว่าพวกเขานั้นจะเหนือล้ำกว่าฉินมู่ในด้านสติปัญญา ดังนั้นจึงต้องการทดสอบดู
ราชครูสันตินิรันดร์พึมพำครู่หนึ่งและกล่าว “หรือว่าจะเป็นแขวนห้อยดวงตะวันเอาไว้ในโลกหยินสวรรค์”
เทพีหยินสวรรค์ตาเป็นประกาย
ซวีเซิงฮวาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เขาครุ่นคิดและกล่าว “บางทีอาจจะเป็นการเจาะรูที่ส้นเท้าของเทพสรรพชีวิต และขโมยพลังของเทพสรรพชีวิต”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกครุ่นคิดอยู่นิดหนึ่งและกล่าว “ข้าคิดว่าน่าจะเป็นการนำเอารูปสลักเทพเข้ามาปิดกั้นรอยแยกระหว่างโลกหยินสวรรค์กับแดนโบราณวินาศ ทำให้ความมืดไม่อาจรั่วไหลไปยังแดนโบราณวินาศได้”
ท้าวยมราชส่ายศีรษะและกล่าว “นั่นไม่ได้หรอก โลกหยินสวรรค์ก็จะยังคงโกลาหลอยู่ ความคิดของกษัตริย์มนุษย์ฉินจะต้องเป็นปลดปล่อยตัวเขาอีกคนออกมาจากหว่างคิ้ว เพื่อให้เจ้าหมอที่หยิ่งยโสจนจมูกชี้ท้องฟ้า กลืนเอาผีเปรตและความมืดทั้งหมดนี่เข้าไป ภูติบดีไม่น่าจะมาที่นี่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเชื้อเชิญภูติบดี และมีแต่ต้องเชิญเจ้าอันธพาลนั่นออกมาเท่านั้น”
เทพีหยินสวรรค์ทั้งประหลาดใจและยินดี ถึงกับมีสองความคิดใหม่นอกเหนือจากที่ฉินมู่เสนอแนะเอาไว้ และนี่แสดงว่าปัญญาญาณของพวกเขาเหนือล้ำกว่าผู้คนจริงๆ!
นางรีบมองไปที่นักบุญคนตัดไม้และกล่าวอย่างสุภาพ “ทำไมสหายเต๋าถึงไม่กล่าววิธีแก้ปัญหาของเจ้าล่ะ”
นักบุญคนตัดไม้ใคร่ครวญและกล่าว “ข้ากำลังคิดว่าหากเทพีถูกจักรพรรดิดำลอบทำร้าย และถูกผีเปรตทั้งหลายกัดกินไป ดังนั้นเทพีก็จะต้องกลายไปเป็นผีเปรตหลังจากความตายด้วยเช่นกัน ข้าพูดถูกไหม หากว่าเทพีสามารถฟื้นคืนชีพมาได้ นี่แสดงว่าปัญหาเรื่องผีเปรตได้ถูกแก้ไขแล้ว ทำไมเรายังต้องคิดหาวิธีอื่นอีกล่ะ”
เทพีหยินสวรรค์จิตคิดกระเจิดกระเจิง และนางร้องออกมา “ที่แท้เจ้าก็คือผู้ที่เฉลียวฉลาดที่สุดในโลก!”
“ไม่ใช่ข้าหรอก”
นักบุญคนตัดไม้กล่าวอย่างเที่ยงธรรม “คนที่ชุบชีวิตเทพีนั้นอาจจะทรงปัญญายิ่งกว่าข้า ข้าเรียนถามได้หรือไม่ว่า ใครคือคนผู้นั้น”
เทพีหยินสวรรค์มองไปที่ฉินมู่ และฉินมู่ก็ยิ้มอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่อาจกลบสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องที่ปิดไม่มิด
นักบุญคนตัดไม้ปรายตามองเขาและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เขามีวิธีแก้ปัญหาอยู่กับตัวชัดๆ แต่กลับไม่รู้ตัวเอง นี่แสดงว่าเขาไม่ฉลาดเท่าไร”
ฉินมู่หน้าดำมืดยังกับถ่าน