ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 696 เงาสะท้อนในมีด
ฉีเจี่ยวอี๋มีรอยยิ้มประดับหน้า แต่สายตาของเขาเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง รัศมีของเขาพวยพุ่งถึงจุดสุดยอดในพริบตา
จิตรบของเขาเหิมทะยานสู่ท้องฟ้า
เป็นเวลานานมากแล้ว สองถึงสามปีที่ผ่านมา เขาคอยแต่จ้องหาโอกาสที่จะยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้กับฉินมู่อย่างหมดจด!
เขาเป็นบุตรที่สวรรค์เสริมส่ง และมีสายเลือดของจักรพรรดิแดงสวรรค์ทักษิณ เขาเป็นอัจฉริยะหนุ่มที่ครอบครองวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิถึงสองวิชา และเขาก็แบกความฝันและความทะเยอทะยานของเขามายังแดนต่ำใต้ กระนั้นเมื่อเขาเพิ่งมาถึงแดนต่ำใต้ เขาก็ถูกฉินมู่และเจ๋อหัวหลีรุมอัดจนยับเยิน!
หลังจากนั้น เขาก็พ่ายแพ้แก่ฉินมู่ในการสู้ตัวต่อตัว
ประสบความพ่ายแพ้สองครั้งนั้นน่าอับอายและขายหน้าจนเกินธรรมดา
เขาเพิ่งทำให้จิตเต๋าของฉินมู่ปั่นป่วน และนี่ก็เป็นโอกาสที่ชั่วชีวิตจะมีสักหนหนึ่ง!
เขาเฝ้ารอโอกาสและสร้างมันขึ้นมา!
“ผู้ที่เรียนรู้จากข้าจะรอดชีวิต ผู้ที่เลียนแบบข้าจะตกตาย”
ฉินมู่ให้กิเลนมังกรถอยไปและกล่าวอย่างจริงจัง “เมื่อยอดฝีมือต่อสู้กัน อันดับแรกเล็งไปที่หัวใจ ถึงอย่างไรข้าก็เชี่ยวชาญในการโจมตีจิตเต๋าของคู่ต่อสู้ เจ๋อหัวหลี ซวีเซิงฮวา และผู้สูงศักดิ์ ล้วนแต่เป็นผู้คนที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้แม้จะถูกข้าฟาดทุบจิตเต๋า พวกเจ้าทุกคนล้วนแต่เป็นผู้มีความสามารถ และข้าก็ได้ประจักษ์การเติบโตของพวกเจ้า แต่ทว่า มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าผิดพลาดไป ก็คือเจ้าไม่รีบลงมือทันทีและเอาแต่เลียนแบบข้าพยายามโจมตีไปที่หัวใจ เจ้าจึงถูกลิขิตไว้ว่าจะต้องพ่ายแพ้ นั่นเพราะว่าข้านั้นเชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากกว่าเจ้ายิ่งนัก”
เพลิงไฟพวยพุ่งออกรอบๆ ร่างของฉีเจี่ยวอี๋ และแปลงกายเป็นรูปเงาของนกหงส์เพลิงจับเจ่าอู่ถงโบราณ เขาพยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำหูทวนลมและยิ้มหยันกลับไป “วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของเจ้าไม่มีวันทัดเทียมกับวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิแห่งตระกูลฉีของข้า มหาทักษะเทวะของข้าหนึ่งอย่างก็สามารถต้านทานเจ้าได้สามกระบวนท่า!”
ความเร็วในการขับเคลื่อนทักษะเทวะของเขาเร็วขึ้นและเร็วขึ้น งอกเงยอย่างรวดเร็วกว่าเมื่อก่อนมาก เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ฉินมู่เอาชนะเขา เขาก็ได้เรียนรู้จากความพ่ายแพ้ และฝึกฝนเป็นอย่างหนัก ดังนั้นจึงมีความรุดหน้าอันน่าตื่นตระหนก!
วิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิลึกล้ำยิ่งกว่าบ่อบาดาล เช่นเดียวกับการฝึกปรือของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์ แต่ละขั้นของการตรึกตรองเข้าใจก็จะต้องอาศัยการฝึกฝนขัดเกลาและใคร่ครวญพิจารณาอย่างไม่หยุดยั้ง เข้าสู่สภาวะกระจ่างรู้ด้วยโอกาสและความบังเอิญ
ขนาดอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีอย่างราชครูสันตินิรันดร์ก็ยังคงต้องอาศัยเวลาหลายสิบถึงร้อยปีในการสั่งสมเพื่อตรึกตรองเข้าใจเต๋ากระบี่ของตนเอง เขาถึงกับต้องใช้คำชี้แนะจากผู้ใหญ่บ้านผู้เป็นกระบี่เทวะรุ่นก่อนเพื่อย่างกรายสู่เขตขั้นเต๋าในปราดเดียว สำเร็จการฝึกบำเพ็ญในมรรคากระบี่ อันทิ้งฉินมู่ไว้ไกลจนตามไม่ทัน
ผู้คนที่ตรึกตรองเข้าใจเขตขั้นมรรคาเต๋าในหมู่บ้านพิการชรา อย่างเช่นคนแล่เนื้อ เฒ่าบอด และเฒ่าหนวก ล้วนแต่มีความสำเร็จอันน่าแตกตื่นในศาสตร์แขนงและมรรคาของตนเอง
นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาเพียรอุตสาหะมาตลอดชั่วชีวิต และพวกเขาก็ได้ผจญกับอุปสรรค ความตรากตรำ และความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาได้เผาผลาญโชควาสนาตลอดชั่วชีวิตแล้ว ถึงจะสามารถมาบรรลุจุดสุดยอดแห่งมรรคาได้
แม้แต่ ‘กายาจ้าวแดนดิน’ อย่างฉินมู่ ก็ยังต้องประสบความเพลี่ยงพล้ำล้มเหลวอันเกินจินตนาการ ก่อนที่จะย่างกรายสู่เขตขั้นเต๋ากระบี่
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกบดขยี้โครงกระดูกในโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ ทำลายสุดยอดวิชาของอดีตกษัตริย์มนุษย์ จากนั้นเขาก็ฟาดทุบฉินมู่จนยับเยิน บดขยี้ทั้งด้านกายเนื้อ จิตวิญญาณ จิตเต๋า และวิชา เพื่อบีบให้ฉินมู่ต้องคุกเข่าจมโคลนมองดูซากร่างของบรรพชนสองถูกทำลายอย่างช่วยเหลือตนเองไม่ได้
การต่อสู้นั้นแทบบดขยี้ฉินมู่ลงไปอย่างสิ้นเชิง และจากนั้นเขาจึงเคลื่อนย้ายระยะไกลไปยังสวรรค์ไท่หวง ต่อสู้ในสนามรบ และตรึกตรองเข้าใจเต๋าในเมืองหลี หยาดเลือด หยาดเหงื่อ และหยาดน้ำตาข้างหลังความอุตสาหะของเขาเป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่ล่วงรู้
ในขณะที่ ฉีเจี่ยวอี๋ผู้ซึ่งฝึกวิชาระดับบัลลังก์จักรพรรดิอาศัยอยู่ในสภาสวรรค์ และได้รับการชี้แนะจากจักรพรรดิแดงสวรรค์ทักษิณ จากนั้นเขาก็ไปร่ำเรียนกับจักรพรรดิแดนบาดาล และฝึกปรือสองวิชาบัลลังก์จักรพรรดิ
วิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิทั้งไพศาลและลึกล้ำ สามารถทำให้ผู้ฝึกตรึกตรองเต๋าและไปถึงจุดสุดยอด ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องผ่านการเคี่ยวกรำลำบากเหมือนอย่างที่ราชครู คนแล่เนื้อ และเฒ่าบอดต้องผจญ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องผ่านความเพลี่ยงพล้ำล้มเหลวอย่างที่พวกเขาประสบ
การฝึกปรือของฉีเจี่ยวอี๋แล่นไปโดยราบรื่น แต่เพราะอย่างนั้นจึงมีจุดบกพร่องของการฝืนดันขั้นวรยุทธให้สูงล้ำเร็วเกินไป
ฉีเจี่ยวอี๋คิดมาตลอดว่าเขาไร้เทียมทานในขั้นวรยุทธเดียวกัน และสามารถจัดติดอันดับหนึ่งในสิบ นั่นจนกระทั่งเขาได้พบกับฉินมู่ คนบ้านนอกคอกนาที่เกลือกกลิ้งในดินโคลนแห่งแดนต่ำใต้
หลังจากพ่ายแพ้ถึงสองหนในเงื้อมมือของฉินมู่ เขาก็ตระหนักว่าเขาขาดอะไรไป ปฏิภาณความเข้าใจมรรคาเต๋าของเขานั้นพึ่งพิงอยู่กับวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิซึ่งไม่ใช่ของเขาอย่างแท้จริง และมันก็ไม่ประทับฝังแน่นลงในความทรงจำของเขา
นับจากวันนี้เป็นต้นมา เขาก็ดำเนินไปตามครรลองแห่งการตรึกตรองเข้าใจของตนมาตลอด และนั่นจึงเป็นเหตุให้เขามีความรุดหน้ามากมายขนาดนี้
บนต้นอู่ถงโบราณข้างหลังเขา นกหงส์เพลิงเก้าหัวกระพือปีกของมันเพื่อโบยบินไปรอบๆ ต้นอู่ถง ในรังหงส์เพลิง มันมีไข่หงส์เพลิงที่กำลังปริแตกออก นกหงส์เพลิงเก้าหัวอีกตัวกระพือปีกขนอ่อน และเริ่มที่จะดื่มน้ำค้างดูดซับไฟหงส์เพลิงเพื่อจะเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันกระพือปีกและโบยบินขึ้นมา
ฉินมู่เลิกคิ้ว และในชั่วระยะเวลาสั้นๆ หงส์เพลิงเก้าหัวสิบหกตัวก็โผบินออกมาจากรังนอน หงส์เพลิงเหล่านี้ได้ลากขนหางยาววิไลของมันเพื่อโบยบินไปรอบๆ ตัวเขา หงส์เพลิงเก้าหัวกู่ร้องออกมา และเปล่งเสียงคีตาเต๋าจากจะงอยปากของมัน
เขายืนอยู่ตรงนั้น และในรัศมีสิบลี้ หงส์เพลิงเก้าหัวมหึมามากมายก็บินตัดกันไปมา ก่อขึ้นเป็นกระบวนพยุหะอันมหัศจรรย์
ในกระบวนพยุหะ ฉีเจี่ยวอี๋ผู้มีต้นอู่ถงอยู่ข้างหลังยืนอยู่ตรงกันข้ามกับเขา ต้นไม้เพลิงไฟข้างหลังเขาแย้มดอกบานออกมา และดอกไม้บนต้นอู่ถงก็เหมือนกับแตรเล็กๆ ที่มีสีสันสดสวย เมฆอัคคีอันลอยล่องอยู่ระหว่างกิ่งไม้ก็มีจังหวะจะโคนอันวิเศษ
เด็กหนุ่มใต้ต้นไม้มีรัศมีอันทำให้ผู้คนมิอาจกล้ำกรายเข้าใกล้เขา
ฉินมู่นึกย้อนเสียใจเล็กน้อย เขาไม่น่าปล่อยให้ฉีเจี่ยวอี๋มีเวลาขับเคลื่อนมหาทักษะเทวะ ฉีเจี่ยวอี๋แข็งแกร่งกว่าเมื่อคราวก่อนที่ได้ต่อสู้กันมากนัก การปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายก่อน ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ
เห็นได้ชัดว่ามหาทักษะเทวะของฉีเจี่ยวอี๋ นกหงส์เพลิงจับเจ่าบนอู่ถงโบราณ นั้นได้ย่างกรายเข้าสู่เขตขั้นอันวิเศษอัศจรรย์อีกขั้นหนึ่งแล้ว ซึ่งได้ซ่อมปะในสิ่งที่เขาเคยขาดพร่อง
ทันใดนั้น หงส์เพลิงเก้าหัวทั้งหลายก็กู่ร้องเสียงแหลมบาดใจ พลางพุ่งโฉบเข้าใส่ฉินมู่!
ในเวลาเดียวกัน ฉีเจี่ยวอี๋ก็เคลื่อนขยับอย่างแช่มช้าใต้ต้นไม้ แต่สายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังฉินมู่ที่ถูกนกหงส์เพลิงรุมโจมตี
ฉินมู่ยืนอยู่บนตำแหน่งเดิม ไม่กระดิกไปไหนเลยสักนิด เขาเผยร่างสามเศียรหกกรอันป้องกันนกหงส์เพลิงเก้าหัวทั้งหลายที่พุ่งจิกเข้ามาจากทุกสารทิศ ที่เขาขับเคลื่อนออกไปนั้นคือมุทราฟ้าและดินของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และเขาก็ขัดขวางหงส์เก้าเก้าหัวทั้งสิบหกตัวที่กรูมาโฉบตีเขา โดยปลอดภัยไร้ขีดข่วน
เมื่อยืนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน วิชามุทราของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็ได้เปลี่ยนแปลงเขาเป็นหัวใจแห่งฟ้าและดิน และมันก็คือวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในเวลานี้
ฝีเท้าของฉีเจี่ยวอี๋เปลี่ยนแปลงไป และหมอกข้างหลังเขาก็แผ่ไกลไพศาล เขาจ้องฉินมู่ไม่วางตาคอยหาช่องโหว่
วิชามุทราในมือของเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง และทักษะเทวะที่ได้ก่อขึ้นมาเป็นต้นอู่ถงโบราณก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเล็กน้อย เขานั้นกำลังคิดคำนวนช่องโหว่ในกระบวนท่าและทักษะเทวะของฉินมู่
ทันใดนั้น ฉีเจี่ยวอี๋ก็ตาลุกวาบ เขาวาดวงกลมด้วยมือขวา และวิชามุทราในมือซ้ายเขาก็ซัดฟาดทะลุวงกลมนั้นไปโจมตีใส่ฉินมู่
ในจังหวะเดียวกันนั้น หงส์เพลิงเก้าหัวสิบหกตัวก็รุมเข้าไปทึ้งตีฉินมู่พร้อมๆ กัน!
การจู่โจมของหงส์เพลิงสิบหกตัวนั้นจะดุเดือดเข้มข้นถึงขนาดไหน
ในเสี้ยววินาที ขนนกหงส์เพลิงเก้าหัวก็ประดุจกระบี่ กรงเล็บของพวกมันเหมือนกับตะขอ จะงอยปากก็เหมือนกับหอกทวน และก็ราวกับว่าพวกมันคืออาวุธวิญญาณนับพันที่โจมตีฉินมู่เข้ามาในเวลาเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น เพลิงนกหงส์เพลิงอันเกรี้ยวกราดก็แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง จุดที่ฉินมู่ยืนอยู่ราวกับทะเลเพลิง และก็คล้ายกับใจกลางการระเบิดอันสะท้านพิภพ!
กระแสอากาศอันเกรี้ยวกราดน่าสะพรึงกลัวกวาดซัดไปทั่วทุกทิศทาง ไม่ว่าคลื่นอากาศนั้นจะโถมพัดไปที่ใด หินก็กระจุยกระจายขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วแตกทำลาย จากนั้นก็ละลายและระเหยหายวับไป เพลิงไฟก่อขึ้นมาเป็นวงกลมอันแผดแสงเจิดจ้าเกินจะทานทนไปทั่วบริเวณ โหมใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า และพลานุภาพของมันตกลงไปก็ต่อเมื่อแผ่ขยายถึงรัศมีห้าสิบลี้!
ในการระเบิด แสงกระบี่อันเจิดจ้าไร้ปานเปรียบพลันปรากฏ และแทงทะลุศีรษะนกหงส์เพลิงทั้งหลาย เฉือนตัดคอพวกมัน ลิดรอนปีกของพวกมัน สะบั้นขนของพวกมัน และฟันสับกรงเล็บของพวกมัน!
“พี่ฉิน มหาทักษะเทวะของเจ้าถูกปลดปล่อยไปแล้ว เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ข้าอีกต่อไป!”
ฉีเจี่ยวอี๋หัวร่อด้วยเสียงอันดัง และพลังฝ่ามือของเขาก็ทะลวงเข้ามายังใจกลางการระเบิด มุ่งตรงไปสู่ข้างหลังก้อนหัวใจของฉินมู่
ฉินมู่หันหน้ากลับมา และฟาดสวนไปด้วยฝ่ามือ จุดที่ฝ่ามือทั้งสองปะทะกันอยู่ห่างออกไปห้าสิบวา!
พลังฝ่ามือของฉีเจี่ยวอี๋เหมือนกับสะพานขนนกหงส์เพลิง และขนนกหงส์เพลิงดุจกระบี่มากมายไร้ประมาณก็เข้ามาเกาะเกี่ยวกันต่อเป็นสะพาน ความเร็วของกระบี่ขนนกที่แทงออกไปนั้นรวดเร็วเกินไป และทำให้เกิดภาพลวงตาของสะพานเหินหาว
พลังฝ่ามือของฉินมู่ก่อขึ้นมาเป็นเส้นทางแก้วผลึก อันเข้าไปปะทะกับพลังฝ่ามือของฉีเจี่ยวอี๋ พลังนี้พ่นแก้วผลึกจำนวนมากออกไป ซึ่งขยายขนาดออกไปทั่วสารทิศ โครงสร้างของผลึกนั้นแตกต่างกันจนนับไม่ถ้วน และเพลิงไฟข้างในแก้วผลึกก็พลันปะทุออกมา
นั่นคือไฟสวรรค์และทักษะเทวะจากเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งไฟสวรรค์ มันเป็นเพลิงไฟที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าไฟนกหงส์เพลิง มันเผาผลาญพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนอยู่ในกระบี่ขนนกของฉีเจี่ยวอี๋ และพุ่งทะลวงไปยังเขา
สีหน้าของฉีเจี่ยวอี๋แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ต้นอู่ถงโบราณข้างหน้าเขาลอยพุ่งเข้าไป เขากอดต้นอู่ถงโบราณด้วยสองแขน กู่ร้องเสียงดังสนั่นและใช้อู่ถงนี้ต่างอาวุธเพื่อฟาดลงไปยังเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งไฟสวรรค์
ตูม
พลังฝ่ามือของทั้งสองคนเข้าไปปะทะกับต้นไม้โบราณ และแม้ว่าพลังของมันจะไม่น่าสะพรึงกลัวเท่ากับการปะทะกันก่อนหน้า แต่เมื่อพลานุภาพนี้ระเบิดออกมาในพื้นที่จำกัด มันก็ทวีคูณฤทธิ์เดชเข้าไปอีกหลายเท่าตัว!
หินภูเขาที่พวกเขายืนอยู่หลอมละลายจนหมดสิ้น พลานุภาพของทักษะเทวะของทั้งคู่กดทับลงมาจนหนักหน่วงเกินจะทานทน
กิเลนมังกรมองดูการต่อสู้จากที่ไกลๆ และแบกไจกระบี่ยักษ์เอาไว้บนหลัง เขาคิดในใจ จ้าวลัทธิไม่มีอาวุธวิญญาณในมือ เขาอาจจะเสียเปรียบ…ไจกระบี่นี้หนักเกินไป ข้าควรจะวางมันลงไปก่อนดีไหม
ขณะที่เขาคิดอยู่อย่างนั้น เสียงระเบิดสะท้านพิภพก็ดังออกมา และแผ่นดินก็สะเทือนเลื่อนลั่นไม่ยอมหยุด ถัดไปนั้น ฉินมู่และฉีเจี่ยวอี๋หายวับไป
เมื่อคลื่นตามหลังจากการปะทะของพวกเขาจางหาย กิเลนมังกรก็พลันเห็นหลุมขนาดมหึมา หลุมใหญ่นี้มีรัศมีประมาณร้อยห้าสิบวา และมันก็ลึกจนมองไม่เห็นก้น
กิเลนมังกรรีบวิ่งเข้าไปดูและโผล่หัวชะโงกเหนือหลุมเพื่อมองลงไป
เขาพบว่าหลุมใหญ่นี้ดูไม่เหมือนถูกเป่ากระจุยด้วยทักษะเทวะ ในทางตรงข้าม ที่ใจกลางของใต้ดินนั้นว่างกลวง ราวกับว่ามันพลังทลายจากการกระทืบพื้นของพวกเขา
นี่ดูเหมือนเวิ้งใต้ดินแห่งเทือกเขาเทพทำลาย และยังมีโซ่มากมายกับมีดยาวที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ที่นั่น…
กิเลนมังกรครุ่นคิดและเขาก็เดินเข้าไปในเวิ้งใต้ดินอย่างไม่เต็มใจนัก เมื่อตอนที่พวกเขาสกัดโจมตีพวกเหนือฟ้า ฉินมู่และคนอื่นๆ ได้ค้นพบทิวทัศน์อันเหลือเชื่อมากมายในเวิ้งใต้ดินแห่งเทือกเขาเทพทำลาย
เวิ้งใต้ดินแห่งเทือกเขาเทพทำลายนั้นพิลึกประหลาด และไม่ได้มีแต่มีดยาวที่วางทอดจากทิศเหนือไปใต้แล้ว มันยังมีวิหารและโซ่มากมายที่ใช้ตรึงสะกดมีดยาวเล่มนี้
ที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ดูเหมือนจะมีรูปสลักหินจากสันตินิรันดร์ที่ได้มุดดินเข้ามาที่นั่น และในท้ายที่สุด ศีรษะของเขาก็ไปชนเข้ากับมีดยาว ยิ่งไปกว่านั้น ราชครูได้ใช้หม้อแผ่นดินไหวเพื่อทำให้ห้วงมิติแตกทำลาย เป็นผลให้ภาพปรากฏการณ์ที่ส่องเชื่อมต่อกับโลกมิติมารแห่งอื่นปรากฏขึ้นมา
ที่น่าแปลกที่สุดเกี่ยวกับมีดเล่มนั้นก็คือ การวางตัวมีดของมันเหมือนกับเส้นที่แยกระว่างแดนโบราณวินาศกับสันตินิรันดร์อย่างพอดิบพอดี
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับมื้ออาหารของข้า ข้าไม่ไปไม่ได้หรอก ต้องไม่ให้จ้าวลัทธิประสบอันตราย
กิเลนมังกรกระโดดลงไป และเพลิงกิเลนก็พวยพุ่งออกจากเท้าเขาเพื่อรองรับร่างเอาไว้ เขาเหาะเข้าไปในเวิ้งใต้ดิน
ในเวิ้งใต้ดินนั้น โซ่หนาใหญ่ไร้ปานเปรียบได้รัดพันมีดยาวจนน่าแตกตื่นนั้นเอาไว้ เมื่อมองลงไปจากใบมีด ก็พบว่ามีศีรษะของมารเทวะที่ถูกผ่าคาเอาไว้อยู่
ไม่ไกลนัก มีวิหารที่ลอยอยู่ข้างใต้มีด
กิเลนมังกรมองไปรอบๆ และในที่สุดเขาก็พบทั้งสองคน พวกเขายืนอยู่บนผิวใบมีด และกำลังไล่ล่าหมายชีวิตกันและกัน
พื้นผิวใบมีดนั้นใสกระจ่างดุจกระจกเงา ไม่มีตำหนิขนแมวเลยแม้แต่น้อย เงาร่างของทั้งสองคนสะท้อนอยู่ในใบมีด และพวกเขาก็ดูสะอาดหมดจด ราวกับว่ามีฉินมู่สองคนกำลังต่อสู้กับฉีเจี่ยวอี๋สองคน
พื้นผิวใบมีดเรียบลื่นเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองคนเหมือนกับเงาสะท้อนบนผิวน้ำ แม้ว่าการต่อสู้ของพวกเขาจะดุเดือด แต่ก็ไม่มีรอยกระเพื่อมเกิดขึ้นบนเงาในมีดเลยแม้แต่น้อย
ฉีเจี่ยวอี๋เผยร่างนกหงส์เพลิงเก้าหัวของเขา ขณะที่ฉินมู่มีสามเศียรหกกร แต่ละฝ่ายต่างก็มีจุดเด่นเฉพาะตน และเมื่อพวกเขาเข้าไปต่อสู้ประชิดตัว ทักษะเทวะของพวกเขาก็แตกต่างจากตอนที่ปะทะกันก่อนหน้า การจู่โจมแต่ละครั้งโจมตีไปที่กายเนื้ออันแท้จริง พวกเขาซัดแลกหมัดกันตุ้บตั้บ
ทันใดนั้น กิเลนมังกรก็สังเกตสิ่งประหลาด มีดนั้นไม่ได้สะท้อนเงาร่างของพวกเขาอีกต่อไป ในทางตรงข้าม มันสะท้อนภาพหงส์เพลิงเก้าหัว และจิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่!
จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่และฉีเจี่ยวอี๋ถูกดูดเข้าไปในมีดเทวะโดยไม่รู้ตัว และพวกเขาก็ไปต่อสู้กันในมีดนั้น!
ข้าว่าแล้วว่าสถานที่แห่งนี้มันประหลาดพิลึก…
กิเลนมังกรพุ่งเข้าไป หมายจะช่วยชีวิตฉินมู่ แต่ทันใดนั้นเขาก็ก้มหัวลงและมองผิวหน้าใบมีดด้วยความตกตะลึง ในกระจกกระจ่างนั้นมีกิเลนมังกรอีกตัว มันดูเหี้ยมหาญและแข็งแกร่ง
กิเลนมังกรรู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบ เพราะว่าเขากำลังมองเห็นร่างเนื้อของตนเองผ่านสายตาของจิตวิญญาณดั้งเดิม!
จิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าถูกดูดเข้ามาในกระจก!
เท้าทั้งสี่ของกิเลนมังกรเหยียบพื้นผิวใบมีดไปรอบๆ และมันให้ความรู้สึกเหมือนเหยียบอยู่บนผิวกระจก กระนั้นมันก็ให้ความรู้สึกว่าเหมือนกับเหยียบลงไปบนอากาศธาตุด้วยเช่นกัน เขานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ข้าถูกผีหลอก…”
ไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบ ฉีเจี่ยวอี๋สองคนก็กระอักเลือด และกระเด็นหลุนๆ มาตะเกียกตะกายอยู่แทบเท้ากิเลนมังกร หนึ่งนั้นร่วงไปตกข้างหน้ากายเนื้อของเขา และอีกหนึ่งตกลงไปตรงหน้าจิตวิญญาณดั้งเดิม
กิเลนมังกรเงยศีรษะขึ้นมาและเห็นฉินมู่สองคนที่สะท้อนเงาซึ่งกันและกันเดินเข้ามา เขาหยุดลงตรงหน้าฉีเจี่ยวอี๋ที่ล้มพังพาบลงไปและลุกไม่ขึ้น