ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 707 มหิทธานุภาพของภูติบดี
เทพสรรพชีวิตและจักรพรรดิแดงฉานจ้องกันด้วยดวงตาเบิกกว้าง และทั้งสองคนต่างก็ตกในหล่มปัญหายุ่งยาก
หากว่าพวกเขาไม่ให้ฉินมู่ยืมพลังมากไปกว่านี้ ฉินมู่ก็คงยากจะรับมือกับมารเทวะแห่งแดนบาดาล โหลอวิ๋นชวีได้สูญเสียความเยือกเย็น และทำให้เขาตกต่ำถึงกับเปิดประตูสวรรค์แดนบาดาลเพื่อเรียกมารเทวะจากโลกต่างๆ ทั้งหลายมาโจมตีฉินมู่
ผนวกกับเทพภัยพิบัติที่กำลังฝีมือสุดจะหยั่งแล้ว ฉินมู่ก็อยู่ในสถานการณ์คับขัน
หากว่าพวกเขาให้พลังอำนาจโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพแก่ฉินมู่มากเข้าไปอีก ฉินมู่ก็คงจะกลายร่างเป็นมารที่และกลายเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายน่าสยดสยองยิ่งกว่านั้น เมื่อเวลานั้นมาถึง จะตามเก็บกวาดความเละตุ้มเป๊ะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
“หากว่าไม่…”
เทพสรรพชีวิตลังเล “พวกเรารออีกสักเดี๋ยวไหม”
จักรพรรดิแดงฉานผงกศีรษะ “อืม รอกันอีกสักพักดีกว่า เพียงแค่อีกเดี๋ยวเดียว…”
สองตัวตนบรรพกาลกระสับกระส่าย เทพสรรพชีวิตเปิดรอยแยกเล็กน้อยและยืมดวงตาที่สามของฉินมู่เพื่อมองไปยังสถานการณ์ภายนอกหลังจากสอดแนมอยู่ครู่หนึ่ง จักรพรรดิแดงฉานก็อดรนทนไม่ไหวและโผล่เข้าไปเบียดดูแทน
ทั้งสองคนจึงตกลงกันว่าจะผลัดกันดู
ข้างนอกนั้น ฉินมู่ เทพภัยพิบัติ และผู้คนอื่นๆ ได้ต่อสู้กันไปจนถึงท้องฟ้าเหนือแม่น้ำหย่ง เมื่อมารเทวะแห่งแดนบาดาลได้กลุ้มรุมฉินมู่จนมิดหัว ฉินมู่ก็อ้าปากและพ่นสายฟ้าที่กลบกลืนมารเทวะแดนบาดาลจนมิดหัวแทน!
มารเทวะจากแดนบาดาลมีจำนวนมากมายมหาศาล และแม้กระนั้นก็มีเทพเจ้าหลายตนที่ตัวสั่นระริกจากสายฟ้าฟาด ร่างกายของพวกเขาพลันปริแตกเป็นชิ้นๆ และร่วงกราวลงจากท้องฟ้าราวกับกองเศษกระดูก
มารเทวะแดนบาดาลแตกต่างจากมารเทวะจากโลกมิติอื่น แดนบาดาลเป็นโลกมิติที่ปริแยกออกมาจากแดนใต้พิภพ และมันก็มีลักษณ์ของแดนใต้พิภพบางอย่างอยู่ มันยังเป็นสถานที่ที่ดวงวิญญาณและจิตวิญญาณดั้งเดิมมาเหย้าอาศัย
แต่ที่แตกต่างไปนั้นก็คือ ดวงวิญญาณและจิตวิญญาณดั้งเดิมไม่อาจรักษากายเนื้อของตนเอาไว้ได้ เว้นแต่ว่าจะเป็นมารเทวะที่ถือกำเนิดจากสันดานมารและความมืดแห่งแดนใต้พิภพ และแน่นอนว่า เทพเจ้าที่สภาสวรรค์ส่งมาประจำในแดนใต้พิภพ ก็มีกายเนื้อเช่นกัน
และในแดนบาดาล เทพเจ้าส่วนใหญ่มีกายเนื้อ แต่กายเนื้อของพวกเขาแตกต่างจากปกติ กายเนื้อของเทพแดนบาดาลนั้นเป็นโครงกระดูกจากเมื่อก่อนที่พวกเขาจะตาย
หลังจากเทพเจ้าแห่งสภาสวรรค์ตายไป พวกเขาก็มักจะตกลงในแดนบาดาล หากว่ากายเนื้อของพวกเขายังอยู่ดี ก็จะถูกนำเข้ามาในแดนบาดาลด้วยเช่นกัน
แต่ทว่า เพราะกายเนื้อได้ตายไปแล้ว มันคงหลีกหนีการเน่าเปื่อยไปไม่ได้ จึงมีแต่โครงกระดูกเท่านั้นที่สามารถใช้สอย ดังนั้นที่พบเห็นบ่อยครั้งในแดนบาดาลก็มักจะเป็นกองทัพของเทพเจ้าโครงกระดูก
นอกจากนั้น ก็มีบางคนที่ครอบครองกายเนื้อครบสมบูรณ์ แต่พวกเขามักจะเป็นเทพเจ้าที่ถูกส่งมาจากสภาสวรรค์ หรือไม่ก็ยอดฝีมือภายใต้บัญชาของโอรสหยินสวรรค์
ห้ามหาเมฆอสุนีบาตและเทพศาสตราระฆังไฟที่ฉินมู่ยังไม่ทันย่อยก็พวยพุ่งออกมา ทำให้มารเทวะทั้งหลายกลายเป็นกระดูกแตกหัก แต่ทว่า กระดูกเหล่านั้นเข้ามาต่อด้วยกันใหม่ภายใต้การควบคุมของจิตวิญญาณดั้งเดิมพวกมารเทวะ และเข้าไปโจมตีฉินมู่ต่อ
ในเวลาเดียวกันนั้น เทพภัยพิบัติก็กำลังเป่ามารเทวะรอบๆ ตัวเขาให้กระเจิดกระเจิงไปเพื่อลุยฝ่าเข้าไปหาฉินมู่
มารเทวะที่ถูกเป่ากระเด็น ก็ฉีกขาดเป็นชิ้นๆ กลางอากาศ
พลังการต่อสู้ของเทพภัยพิบัตินั้นสูงล้ำที่สุด และต่อให้ฉินมู่ต่อสู้ด้วยทุกอย่างที่มี ก็ยากที่จะมีชัยได้เปรียบ ยิ่งให้เขาเข้ามาใกล้ก็ยิ่งอันตราย
กระนั้นโครงกระดูกแตกหักก็มาประกอบเข้าด้วยกันใหม่ได้ ต่อให้ถูกบดเป็นผุยผงแล้วก็ตาม กระดูกแตกหักร่วงกราวลงจากท้องฟ้าไปยังแม่น้ำหย่ง แต่แม้กระนั้น โครงกระดูกก็ถลันพุ่งออกจากแม่น้ำเพื่อเข้าร่วมศึก
มารเทวะแดนบาดาลทั้งหลายไม่กริ่งเกรงความตาย ก็เพราะว่าพวกเขาได้ตายไปนานแล้ว พวกเขาไม่ใส่การโจมตีและอาการบาดเจ็บใดๆ
กระแสน้ำแม่น้ำหย่งถูกตัดขาดจากการต่อสู้ และเผยให้เห็นสายแร่มังกรข้างใต้ สายแร่มังกรได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วภายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และกรงเล็บกับเกล็ดของมันก็ยิ่งชัดกว่าเดิม
แม่น้ำลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และสร้างภาพอันพิสดารตระการตาภายใต้แสงจันทร์ พวกมันเหมือนกับดวงจันทร์ที่ก่อขึ้นมาจากมวลน้ำ และสะท้อนรัศมีอันเงินยวงของดวงศศิธร
ฉินมู่เหาะไประหว่างลูกบอลน้ำขนาดยักษ์กับเทพเจ้าทั้งหลาย พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในทุกการปะทะกัน มารเทวะตนหนึ่งก็จะถูกเป่ากระเด็นไป และแรงสะท้อนก็ผลักให้ฉินมู่เปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ
ลูกบอลน้ำในอากาศระเบิดออก สาดกระจายไปทั่วทิศทาง พวกมันดูละลานตาภายใต้แสงโสม
ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็ยังคงเป็นเทพภัยพิบัติ ในการโจมตีเพียงครั้งเดียวของเขา เทวานุภาพของเขาก็ทะลุทะลวงลูกบอลน้ำสิบกว่าลูก และฉีกมวลน้ำให้แตกสลายเป็นปรมาณู
“หากว่าเป็นแบบนี้ต่อไป ก็คงไม่ยากที่จะปราบเขา”
โหลอวิ๋นชวีระบายลมหายใจโล่งอก แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็รู้สึกหนาวเหน็บเย็นเยียบจากข้างหลัง เขารีบเอี้ยวศีรษะกลับไป ข้างหลังประตูสวรรค์แดนบาดาลของเขา เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากโลกแห่งความมืด และใบหน้าอันงดงามนั้นก็ถูกแสงจันทร์ทาบทอให้แสงสว่าง
“อาจารย์!”
โหลอวิ๋นชวีแตกตื่น และกำลังจะคารวะ แต่เขาก็เห็นโอรสหยินสวรรค์เอานิ้วแตะปากเอาไว้ ให้สัญญาณว่าอย่างกระโตกกระตาก เขามองไปยังฉินมู่ผ่านแดนบาดาลด้วยรอยยิ้ม
โหลอวิ๋นชวีไม่เข้าใจและรู้สึกกระสับกระส่าย อาจารย์ได้มาชมดูการต่อสู้นี้ด้วยตนเอง โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่แข็งแกร่งเท่ากับที่ร่ำลือกัน แล้วทำไมอาจารย์ถึงเพ่งความสนใจมาที่นี่
สายตาของโอรสหยินสวรรค์คลุมเครือขณะที่เขามองไปยังฉินมู่ผู้ซึ่งกำลังต่อสู้กับเทพเจ้าหลายหมื่นนั้นอย่างไม่วางตา ไม่ว่าฉินมู่จะเคลื่อนไปที่ใด สายตาของเขาก็ตามไปด้วย
ที่แท้ก็เป็นเขา
โอรสหยินสวรรค์ดูจะจมในภวังค์คิด พวกเราได้พบกันในแดนใต้พิภพ แต่ข้าก็ยังไพล่ไปคิดว่าเขาคือศิษย์ของเถียนฉู่ ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนี่จะตบตาข้า หลอกได้น่าเชื่ออะไรอย่างนี้…
มารเทวะแดนบาดาลล้วนแต่เป็นคนตาย และโอรสหยินสวรรค์เป็นเทพเจ้าที่มีลมหายใจ คนตายสามารถเข้ามาในสันตินิรันดร์ผ่านประตูสวรรค์แดนบาดาล แต่คนเป็นทำเช่นนั้นไม่ได้
เดิมทีแดนบาดาลเป็นส่วนหนึ่งของแดนใต้พิภพ และมันยังสืบทอดบางลักษณะเฉพาะของแดนใต้พิภพ ถึงแม้ว่าจะไม่ทั้งหมดก็ตาม
นั่นจึงเป็นเหตุให้เมื่อโหลอวิ๋นชวีและคณะต้องการเข้าไปในสันตินิรันดร์ พวกเขาจึงต้องขอโดยสารนกหงส์เพลิงของจักรพรรดิแดงสวรรค์ทักษิณฉีเสียอวี๋
เขายังไม่ฟื้นคืนพลานุภาพขั้นสูงสุด หรือว่าคันฉ่องหยกบาดาลของข้าจะสะกดข่มเขาเอาไว้
เขาไม่รู้ว่าฉินเฟิงชิงมีสองสำนึกรู้ในหนึ่งร่าง ดังนั้นเขาจึงได้แต่ฉงนสงสัย
ในตอนนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นโอรสหยินสวรรค์ผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในแดนบาดาล หรือเทพสรรพชีวิตและจักรพรรดิแดงฉานผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในแผ่นดินรูปตัวฉิน พวกเขาก็ล้วนแต่ได้ประจักษ์ภาพอันน่าสะพรึงกลัว
ฉินมู่ต่อสู้เป็นเวลานานและแรงไม่ตก เขาพลันสูดลมหายใจลึก และอากาศเหนือแม่น้ำหย่งก็เหือดแห้งไปหมด!
มารเทวะโครงกระดูกทั้งหมดแข็งค้างในอากาศและพยายามดิ้นรนทรงตัวอย่างสุดชีวิต แต่ทว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมในมารเทวะโครงกระดูกถูกดึงออกมาจากร่างด้วยพลังอำนาจประหลาดพิสดาร
มารเทวะโครงกระดูกทั้งหมดดิ้นรนอย่างเป็นเอาตายที่จะป้องกันพลังอำนาจน่าสะพรึงกลัวนี้ แต่ก็ยังมีมารเทวะบางตนที่ถูกกระชากจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมา พวกเขาถูกบังคับให้ลอยเข้าไปในปากของฉินมู่
ความหวาดสยองอัดแน่นหัวใจของพวกเขา ตั้งแต่เมื่อพวกเขาตายลงไป ก็ไม่เคยสัมผัสความหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน
มันเป็นการสะกดข่มโดยธรรมชาติ การสะกดข่มของตัวตนชีวิตชั้นสูงกว่าอันมีต่อตัวตนชีวิตชั้นต่ำ เขาได้ทำให้เทพเจ้าโครงกระดูกทั้งหมดหวาดกลัวจากก้นบึ้งวิญญาณ!
ทักษะเทวะของฉินมู่ก็ได้ดูดเทพภัยพิบัติไปด้วย บีบให้เขาต้องดิ้นรนสุดความสามารถเพื่อจะต้านทานแรงดูดอันมุ่งโจมตีจิตวิญญาณดั้งเดิมและดวงวิญญาณของเขา
วรยุทธของเขาแข็งแกร่งและเขื่องโขอย่างสุดขีดขั้ว เพียงแค่วัดที่วรยุทธ เขาก็เหนือล้ำกว่าฉินมู่ตอนนี้และโหลอวิ๋นชวีไปมาก แต่แม้กระนั้น จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ถูกดึงออกไปจากร่างเป็นระยะๆ เขาได้แต่รีดเร้นพละกำลังทั้งหมดและใช้พลังวัตรอันเข้มข้นของเขาเพื่อป้องกัน ไม่อาจตีโต้ไปได้แม้แต่น้อย
นี่คือพลังอำนาจของโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ? โหลอวิ๋นชวีขนหัวลุกสุดเหยียด
จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาออกมาจากร่างที่แตกหักแล้ว และในตอนนี้ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวอันเกินบรรยายราวกับว่าฉินมู่คือนักล่าธรรมชาติของเขา!
เทพสรรพชีวิตและจักรพรรดิแดงฉานที่ซ่อนอยู่ในแผ่นดินรูปตัวฉินก็หวาดผวาอยู่เล็กน้อย เทพสรรพชีวิตกล่าว “มหิทธานุภาพของภูติบดี มหิทธานุภาพของภูติบดีที่ไม่ถูกควบคุมด้วยกฎแห่งแดนใต้พิภพ…”
จักรพรรดิแดงฉานตื่นตระหนก เขาเข้าใจความหมายของเทพสรรพชีวิต พลังอำนาจที่ฉินมู่กำลังช่วงใช้ออกมานั้นคล้ายคลึงกับมหิทธานุภาพของภูติบดี แต่มันก็แตกต่างออกไป
ภูติบดีนั้นเป็นเทพก่อนฟ้าดิน และเมื่อเขาถือกำเนิดขึ้นมา เขาก็ต้องทำตามกฎแห่งแดนใต้พิภพ แม้ว่าเขาจะมีพลังอำนาจอันเกินจินตนาการ แต่เขาก็ต้องกระทำการตามหลักกฎ
ในขณะเดียวกัน โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพมีมหิทธานุภาพที่คล้ายคลึงกับภูติบดี แต่เขากระโดดออกไปจากขีดจำกัดของแดนใต้พิภพ เขาสามารถปลดปล่อยมหิทธานุภาพนี้ได้ตามอำเภอใจ!
นั่นคือสาเหตุที่ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ทั้งหลายเกรงกลัวฉินมู่ และหลายคนก็อยากได้ตัวฉินมู่
เทพสรรพชีวิตพึมพำ “มหิทธานุภาพของภูติบดีที่ไม่ถูกจำกัดไว้ด้วยกฎแห่งแดนใต้พิภพ ช่างเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนประหวั่นพรั่นพรึงเสียจริง”
“นั่นคือพลังอำนาจที่ข้าต้องการได้มา”
เสียงถอนหายใจของโอรสหยินสวรรค์ดังมาจากประตูสวรรค์แดนบาดาล “ข้าได้เสาะหาหนทางที่จะก้าวล้ำไปกว่าภูติบดีมาเนิ่นนานแล้ว แต่ไม่อาจค้นพบได้ ภูติบดีนั้นแข็งแกร่งเกินไป และต่อให้ข้าฝึกปรือถึงขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ ข้าก็ยังคงทาบเขาไม่คิด อย่าว่าแต่จะเหนือล้ำกว่าเขา และบัดนี้ หนทางที่ว่าก็ประจักษ์อยู่ต่อหน้าต่อตาข้า”
“หากว่าข้าได้มันมา ข้าก็จะสามารถไปแทนที่…” เขากล่าวด้วยเสียงเบา
โหลอวิ๋นชวีตื่นตระหนก และแสร้งเป็นไม่ได้ยินถ้อยคำของโอรสหยินสวรรค์
คำพูดของโอรสหยินสวรรค์น่ากลัวจนเกินไป แม้ว่าแดนบาดาลจะแยกตัวเป็นอิสระจากแดนใต้พิภพ แต่คำพูดทำนองว่าจะกำจัดภูติบดีและขึ้นไปแทนที่เขานั้นก็ยังคงน่าแตกตื่นจนเหลือล้น ภูติบดีเป็นตัวตนระดับไหนกัน
ไม่ว่าจะเป็นแดนใต้พิภพหรือยมโลก หรือแม้กระทั่งมหานครมืดและเมืองทมิฬทั้งหลายในอดีตกาล ก็ล้วนแต่เป็นสถานที่ที่ก่อสร้างขึ้นมาจากเขาของภูติบดี และพวกมันก็ล้วนแต่คล้ายคลึงกับแดนใต้พิภพ
เพียงแค่สะเก็ดเล็กๆ ของเขาก็สามารถสร้างโลกหลังความตายอันเพริศแพร้วพิสดารขึ้นมาได้ อันแสดงให้เห็นว่ากำลังฝีมือของภูติบดีนั้นน่าสะพรึงกลัวสักเพียงไหน
การขึ้นไปแทนที่เขานั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่จะคิด โหลอวิ๋นชวีก็ไม่กล้าคิด แต่โอรสหยินสวรรค์กล้า
“หากว่าข้าปล่อยให้เขากลืนกินมารเทวะแดนบาดาลของข้าเข้าไป ข้าจะเอาหน้าจักรพรรดิดำแดนบาดาลไปไว้ที่ไหน”
ในแดนบาดาล วังวนมิติว่างมหึมาพลันปรากฏข้างหลังโอรสหยินสวรรค์ และในวังวนนั้น ดวงตาพิลึกกึกกือก็เปิดขึ้นมาและยิงแสงมืดอันสาดส่องไปยังสันตินิรันดร์จากแดนบาดาล แสงนั้นส่องกระทบมารเทวะโครงกระดูกทั้งหลายที่ถูกกระดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมา
จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาพลันสลัดหลุดออกจากแรงดูดของฉินมู่ และลอยกลับไปอย่างควบคุมไม่ได้ทางประตูสวรรค์แดนบาดาลของโหลอวิ๋นชวี เพื่อพยายามจะส่งพวกเขากลับไปในแดนบาดาล
ในจังหวะนั้นเอง ดวงตาที่สามที่ใจกลางหว่างคิ้วของฉินมู่ก็พลันส่องแสงเรืองรอง และบริเวณที่ถูกคลี่คลุมด้วยแสงรูปปีกผีเสื้อก็ยิ่งกว้างใหญ่ไพศาล ไม่ทันที่จิตวิญญาณดั้งเดินเหล่านั้นจะได้เหาะกลับเข้าไปในแดนบาดาล พวกเขาก็ถูกตรึงค้างไว้กลางอากาศอีกครั้ง และได้แต่ดิ้นรนอย่างอ่อนแรงก่อนที่จะลอยกลับมา
โอรสหยินสวรรค์ร้องด้วยความประหลาดใจหนึ่งครา และขมวดคิ้วเล็กน้อย วังวนข้างหลังร่างกายของเขายิ่งขยายใหญ่ขึ้น และดวงตาประหลาดในวังวนก็ค่อยเปิดกว้างขึ้น แสงเรืองจากดวงตาก็แปรเปลี่ยนจากมืดเป็นสว่าง
ดวงตาในวังวนดูคล้ายคลึงกับดวงตาที่หว่างคิ้วของฉินมู่ แต่ก็มีส่วนแตกต่างกัน มันเหมือนกับทักษะเทวะที่พยายามจะลอกเลียนแบบดวงตาขีดตั้งบนหว่างคิ้วของภูติบดี
แต่ทว่าเมื่อปะทะกับดวงตาที่สามของฉินมู่ ทักษะเทวะของเขาก็ไม่สามารถเอาชนะได้
ฉินมู่สะกดข่มทักษะเทวะของเขา
“พลังอำนาจของโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพนั้นเหนือธรรมดาจริงๆ!”
โอรสหยินสวรรค์ประหลาดใจแกมยินดี เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น “หากข้าสามารถใช้พลังอำนาจนี้ได้ ทั้งแดนใต้พิภพก็จะกลายเป็นแผ่นดินของข้า ทำไมข้ายังต้องไปกลัวภูติบดี ทำไมต้องไปกลัวจักรพรรดิฟ้า เปิด!”
วังวนข้างหลังเขา ไหลเชี่ยวไปข้างหน้าและประทับลงที่หว่างคิ้วของเขา มันก่อขึ้นมาเป็นดวงตาที่สามตรงหว่างคิ้ว
โอรสหยินสวรรค์ใช้พลังวัตรของเขาเพื่อขับเคลื่อนดวงตา และมันก็พลันสะกดข่มดวงตาที่สามของฉินมู่ในทันที ในตอนนั้นเอง ภาษาแดนใต้พิภพอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนทั้งแหลมสูงและต่ำทุ้มก็ดังออกมาจากปากของฉินมู่
โอรสหยินสวรรค์เผยสีหน้าฉงนและรู้สึกถึงพลังล่องหนที่กำลังรุกรานเข้าไปค้นหาดวงวิญญาณในแดนบาดาล
นำทางวิญญาณ! เขากำลังจะ…
ขณะที่เขาคิดมาถึงตรงนี้ แสงเรืองจากดวงตาที่สามของฉินมู่ก็ทะลุผ่านโหลอวิ๋นชวีและพุ่งเข้าไปในประตูสวรรค์แดนบาดาล แสงเรืองนั้นพุ่งทะยานเข้าไปในแดนใต้พิภพและฉายส่องลงมาบนตัวเขา
จิตวิญญาณดั้งเดิมของโอรสหยินสวรรค์ถลันไปข้างหน้าและเกือบหลุดออกจากร่าง
นำทางวิญญาณก็ใช้แบบนี้ได้ด้วยหรือ
โอรสหยินสวรรค์ฉงนใจ นำทางวิญญาณนั้นเป็นเพียงทักษะเทวะที่ใช้เพรียกขานดวงวิญญาณของคนตาย และคืนคนตายให้กลับมาเป็น กระนั้น ฉินมู่กลับคิดที่จะใช้มันดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาออกมาจากแดนบาดาลด้วยกำลัง!
ในตอนนี้ ฉินมู่มีพลังอำนาของโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพเพียงแค่หนึ่งในร้อยส่วน เขาย่อมไม่สามารถดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมของอีกฝ่ายออกมาจากแดนบาดาลได้ แต่ทว่าการใช้สอยวิชาและทักษะเช่นนี้ช่างน่าตื่นตระหนก และทำให้เขาเกิดความยากลำบากขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ทว่าในเสี้ยววินาทีที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาถูกยื้อด้วยนำทางวิญญาณ ก็พลันเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง
เทพเขาแพะที่ตัวกลิ่นเหล้าฉุยไปหมดหัวเราะด้วยความห้าวหาญและพุ่งถลันเข้าไปในประตูสวรรค์แดนบาดาลเพื่อฟันลงไปยังใจกลางหว่างคิ้วของโอรสหยินสวรรค์
“จักรพรรดิดำแดนบาดาล ข้ามาขอบคุณสุราของเจ้า!”