ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 720 แม้ยอดจิตรกรล้ำพิลาส ก็มิอาจวาดจิตวิญญาณผู้คน
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 720 แม้ยอดจิตรกรล้ำพิลาส ก็มิอาจวาดจิตวิญญาณผู้คน
มรรคาบู๊และวิญญาณบู๊ที่ว่ามันคืออะไรกัน
ฉินมู่เพ่งพิศดูลูกหลานแห่งเผ่าเทพ และพวกเขาก็มีท่วงทีและรัศมีอันเหนือธรรมดาอย่างแท้จริง พวกเขามีจิตวิญญาณอันดูเหมือนจะบุกตะลุยไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ และทุบทำลายทุกอุปสรรคที่ขวางกั้น
มันแตกต่างจากจิตวิญญาณอันเร่าร้อนของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์
แม้ว่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์จะห้าวหาญและเฉียบขาด และรัศมีและจิตวิญญาณของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยพลวัตรและมีความหลากหลายสูงมาก หากว่าเทียบกับหม้อน้ำมันอันเดือดพล่านแล้ว ฟองเดือดแต่ละฟองก็มีสีสันแตกต่างกันออกไป และนั่นคือจิตวิญญาณที่พวกเขาได้รับมาจากการปฏิรูปแห่งยุคสมัย ผู้เปี่ยมความสามารถเบ่งบานไปทั่วทุกหนแห่ง และร้อยสำนักคิดก็ประชันขันแข่งกัน
ในทางตรงข้าม จิตวิญญาณของเผ่าเทพเหล่านี้ไม่ใช่จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย แต่เป็นจิตวิญญาณแห่งวิชาบู๊
จิตวิญญาณเช่นนี้มิได้เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกแบบยอดฝีมือดาบเช่นคนแล่เนื้อ มันไม่ได้เปี่ยมพลวัตรและงำประกายแบบยอดฝีมือกระบี่เช่นผู้ใหญ่บ้าน มันมิได้เปี่ยมไหวพริบและพิลึกพิสดารแบบยอดฝีมือทักษะเทวะเช่นท่านยายซี มันมิได้เหมือนกับเฒ่าหนวกที่พรสวรรค์ของเขาอยู่ในศิลปะ มันแตกต่างไปจากเฒ่าบอดที่สามารถมองทะลุทุกสิ่งและอิสระไร้กฎบังคับ มันก็ยังแตกต่างไปจากเพลิงไฟอันเร่าร้อนของเฒ่าใบ้ที่ซ่อนอยู่ในเตาหลอมภูเขาไฟ
จิตวิญญาณของเผ่าเทพเหล่านี้เหมือนกับหลวงจีนธุดงค์ พวกเขาเหมือนกับเฒ่าหม่า ในตอนที่ยังไม่บรรลุเป็นพุทธเจ้า
ดวงตาของฉินมู่เป็นประกาย
ใช่แล้ว เหมือนกับเฒ่าหม่า!
เฒ่าหม่าแห่งหมู่บ้านพิการชรา!
เมื่อครั้งกระโน้น เฒ่าหม่าทั้งไม่ค่อยพูดและไม่ยิ้มหัว เขามีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา และกระทำสิ่งต่างๆ อย่างจริงจัง ความจริงจังของฉินมู่ก็ร่ำเรียนมาจากเขา
แม้ว่าร่างกายของเฒ่าหม่าจะตั้งตรง แต่เขาก็ให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังแบกภาระใหญ่หลวงขณะที่ก้าวเดินไปข้างหน้า ราวกับว่าเขากำลังแบกภูเขาพระสุเมรุเอาไว้ และขุนเขานั้นก็กดทับลงมาบนบ่าของเขา
แรงกดดันเช่นนั้นได้กลายไปเป็นแรงผลักดันของเขา
แน่ล่ะ การที่แรงกดดันแปรเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันได้นั้นเกิดขึ้นเมื่อผู้แบกรับไม่ถูกบดขยี้ไปเสียก่อน หากว่าแรงกดดันหนักหนาเกินไป ผู้แบกรับก็คงถูกบดจนแหลกเหลว
เฒ่าหม่าถูกบดขยี้มาช้านาน จนกระทั่งฉินมู่มาถึงหมู่บ้านพิการชรา เขาจึงสามารถต้านทานแรงกดดันนั้นและมุ่งหน้าฟันฝ่าต่อไปได้
ทายาทรุ่นเยาว์แห่งเผ่าเทพก็เหมือนกับเฒ่าหม่า พวกเขาคือผู้ฝึกวิชาบู๊ที่กำลังต้านทานแรงกดดันอันใหญ่หลวง
แต่ทว่า แรงกดดันของพวกเขามิได้มาจากเขาพระสุเมรุ แต่เพราะว่าสะพานเทวะของเผ่าพันธุ์พวกเขาได้หักพังไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาสัมผัสถึงความสิ้นหวังที่ไม่อาจบรรลุเป็นเทพเจ้า
ความสิ้นหวังเช่นนี้จะกลายเป็นแรงบันดาลใจบีบให้พวกเขาก้าวต่อไปข้างหน้า บีบให้พวกเขาเสาะหาหนทางแก้ไข
และมันก็จะกลายเป็นขุนเขามหึมาที่สามารถบดขยี้จิตวิญญาณและความมุ่งมั่นของพวกเขาลงไปได้อย่างสิ้นเชิง
นี่คือผู้ฝึกวิชาบู๊!
สายตาของฉินมู่เจิดจ้ามากขึ้นทุกที เขาเผยรอยยิ้ม “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ก่อนที่ข้าจะฝึกปรือทักษะเทวะ ข้าก็เป็นผู้ฝึกวิชาบู๊เช่นนี้ แต่หลังจากที่ข้าได้เปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ข้าก็หลงลืมจิตวิญญาณดังกล่าว”
ผู้ฝึกวิชาบู๊เป็นคำเรียกขานสำหรับผู้คนที่ยังไม่ได้ก้าวสู่หนทางของการฝึกบำเพ็ญ ผู้ฝึกวิชาบู๊ได้แต่พึ่งพิงวิธีการต่อสู้ระดับต่ำเช่นกำปั้น ขา และอาวุธ สภาวะของเฒ่าหม่าในหมู่บ้านพิการชราก็คล้ายคลึงกับผู้ฝึกวิชาบู๊ สร้างฤทธิ์เดชแบบทักษะเทวะผ่านวิชาบู๊ที่มาจากกายเนื้อ ยิ่งไปกว่านั้นพลานุภาพของเขายังแข็งแกร่งและดุดันกว่าอีก!
ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มก้าวเข้าในประตูสวรรค์ทักษิณ ฉินมู่ยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ เขาไม่เข้าใจจิตเจตนาของครูบาสวรรค์วิชาบู๊ว่าทำไมถึงให้พวกเขาเข้าไปในประตูสวรรค์ทักษิณ การเข้าไปในปราสาทสวรรค์เกี่ยวข้องอย่างไรกับการย่างกรายสู่เต๋าด้วยวิชาบู๊
ข้างใต้ประตูสวรรค์ทักษิณ เด็กสาวคนหนึ่งพลันครางกระอักออกมาเมื่อแรงกดดันเกินจะหยั่งคะเนกดกระดูกนางให้แตกและสะบั้นเส้นเอ็น นางนั้นถูกกดทับลงไปด้วยแรงกดอันหนักหน่วง นางล้มลงไปกับพื้นและกระอักโลหิตออกมาไม่หยุด!
เด็กหนุ่มอีกคนเดินก้าวต่อไปข้างหน้า และกระดูกน่องของเขาก็หักเป๊าะ
บางคนก็มีรูระเบิดออกมาจากในร่างกาย เลือดสดๆ สาดพุ่งออกมาและไหลโซมไปทั่ว
บางคนก็พลันอาเจียนเลือดออกมากำใหญ่ ราวกับว่าอวัยวะทั้งห้าและโพรงทั้งหกของพวกเขาแตกระเบิดจากแรงกดดัน
แต่อีกด้านหนึ่ง บางคนก็ดูเหมือนว่ากำลังแบกประตูสวรรค์ทักษิณ และบ้างก็มีกายเนื้ออันย่อหดลงไปเรื่อยระหว่างที่เดินบุกไปข้างหน้าต่อสู้กับแรงกดดัน แรงกดดันจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดดในทุกๆ ย่างก้าวที่พวกเขาย่างไป และไม่นานนัก พวกเขาก็ร่างหดเหลือไม่ถึงห้าคืบ
บางคนก็ถูกกดทับและคุกเข่าลง ยันพื้นไว้ด้วยแขนพลางกระอักเลือดออกมาเต็มปาก แม้แต่แขนของพวกเขาก็ไม่อาจทานทนแรงกดดันของประตูสวรรค์ทักษิณได้ และกระดูกก็หักกร๊อบ
ยังมีอีกหลายคนที่ร้องคำรามและเหวี่ยงหมัดและขาเพื่อใช้ทักษะเทวะกายเนื้อป้องกันต้านรับแรงกดดันของประตูสวรรค์ทักษิณ หมัดและขาของพวกเขาเหมือนกับขวานแยกฟ้าดิน อันผ่าแยกแรงกดดันเพื่อทำให้พวกเขาก้าวต่อไปข้างหน้าได้
ฉินมู่ขมวดคิ้วและมองไปยังประตูสวรรค์ทักษิณด้วยความสงสัย หรือว่าประตูนี้จะเป็นประตูของยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิจริงๆ หรือว่าแรงกดดันนี้จะเป็นแรงกดดันที่มีแต่เทพเที่ยงแท้เท่านั้นที่จะทานทนได้จริงๆ
ผู้ฝึกวิชาเทวะในขั้นเป็นตายจะสามารถต้านทานแรงกดดันระดับนี้ได้อย่างไร
หากว่ามันเป็นประตูสวรรค์ทักษิณของยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิ ก็มีแต่เทพเที่ยงแท้เท่านั้นที่มีกำลังฝีมือพอที่จะข้ามพ้นไปได้ พวกที่ยังมิได้ฝึกปรือไปถึงขั้นเทพเที่ยงแท้ ก็คงจะถูกบดขยี้!
ครูบาสวรรค์วิชาบู๊คงมิได้ใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อคัดพวกเขาออกไปหมดหรอก ใช่ไหม
อักษรรูนบนประตูสวรรค์ทักษิณไม่ได้จุดแสงติดโดยครบถ้วน
ฉินมู่สังเกตการณ์อยู่พักหนึ่ง และพบว่าวงจรอักษรรูนบนประตูสวรรค์ทักษิณจุดแสงติดขึ้นมาไม่ถึงหนึ่งในร้อย นี่หมายความว่าแรงกดดันนั้นยังห่างไกลจากระดับเทพเที่ยงแท้
เห็นได้ชัดว่าครูบาสวรรค์วิชาบู๊ยังรู้จักประมาณ
แม้ว่าเผ่าเทพจะเดินไปเป็นเวลานาน แต่ประตูสวรรค์ทักษิณทั้งสูงใหญ่และไพศาลเกินไป ขนาดระยะทางเพียงครึ่งเดียวพวกเขาก็ยังผ่านไปไม่ได้ และแรงกดดันก็มีแต่จะทวีคูณยิ่งขึ้น เพียงแค่ประตูนี้อย่างเดียวก็สามารถคัดผู้ฝึกวิชาเทวะออกไปได้มากกว่าครึ่ง
ฉินมู่ถอดเสื้อของเขาออกและมีท่อนบนเปลือยเปล่า ผูกปมมัดกางเกงของเขาเอาไว้ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “มังกรอ้วน เจ้าไม่ต้องเข้าไปหรอก ช่วยข้าดูแลรักษาเสื้อผ้าพวกนี้ก็พอ”
เขาส่งเสื้อและถุงเต๋าตี้ให้แก่กิเลนมังกร ด้วยมือเปลือยเปล่า เขามิได้นำพาอาวุธใดไปด้วย
กิเลนมังกรระบายลมหายใจโล่งอกและรับเสื้อผ้ามา “จ้าวลัทธิไม่ต้องการไจกระบี่ของท่านหรือ”
“ไม่ต้อง!”
ฉินมู่กู่ร้องเสียงต่ำและยกมือข้างหนึ่งขึ้นสูงอีกขึ้นหนึ่งลงต่ำ รอยประทับมังกรเขียวปรากฏที่แผ่นหลังของเขาและค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นมังกรเขียวตัวใหญ่ มังกรเขียวเหาะออกไปจากร่างกายของเขา และกระหวัดพันรอบกายเนื้อ
เขายืดเหยียดร่างกายอีกครั้ง และกระดูกของเขาก็ลั่นกรอบแกรบ มังกรเขียวกระจายหายไป และรอยประทับพยัคฆ์ขาวก็ปรากฏขึ้นบนหลังของเขา พยัคฆ์ขาวกระโดดออกจากหลัง และเสียงคำรามของเสื้อร้ายก็กึกก้องไปทั่วไพรพง
ด้วยขาหนึ่งที่ย่างออกไปข้างหน้า และอีกขาที่ยันอยู่ข้างหลัง รอยประทับของเต่าดำก็ปรากฏ และภายใต้เท้าของเขาก็มีเต่ายักษ์หัวมังกรผุดขึ้นมา มันเหยียบอยู่บนทะเลดำและมีงูเหินหาวอันดูร้ายกาจเยียบเย็นกระหวัดพันรอบๆ
ฉินมู่ลืมตาขึ้นและเต่าดำก็สลายไป เพลิงไฟพวยพุ่งรอบตัวเขา และหงส์แดงก็กระพือปีกเพื่อผงาดขึ้นจากอัคคี
“ข้าจะเก็บกู้จิตวิญญาณวิชาบู๊ของข้ากลับคืนมา และต่อสู้บุกตะลุยเข้าไป!”
เขาโยนความคิดวอกแวกทั้งหลายทิ้งไปสิ้น และลืมเลือนทักษะเทวะทั้งหมด เขาลืมเลือกวิชากระบี่และมรรคากระบี่ของเขา เมินเฉยข้อพิพาทและความยุ่งยากทั้งหมดในโลกภายนอก เขาลืมเลือนสันตินิรันดร์ และปล่อยให้จิตวิญญาณของเขาคืนกลับสู่เมื่อยังเยาว์ ในคืนวันที่เขาได้ฝึกฝนอย่างขะมักเขม้นในหมู่บ้านพิการชรา เขาคืนกลับไปยังช่วงเวลาที่เขาฝึกฝนอย่างอุตสาหะกับเฒ่าหม่า เฒ่าบอด และคนแล่เนื้อ
เมื่อครั้งกระนั้น เขาได้ติดตามผู้เฒ่าในหมู่บ้านเพื่อฝึกปรือร่างกาย เมื่อเขาพักผ่อน เขาก็จะจูงวัวไปเลี้ยงและเล่นขลุ่ยไม้ไผ่ของเขา
ในอดีตนั้น ความคิดของเขาใสบริสุทธิ์ประดุจกระดาษขาว และในตอนนี้ จิตคิดของเขาก็สงบลงไปหลังจากเผชิญภัยร้อยแปดประการ
ที่คอของเขา ประคำปัญญาที่พุทธเจ้าท้าวสักกะมอบให้พลันเปิดออก ลูกประคำร่วงกราวลงมา และเมื่อลูกประคำปัญญาแต่ละเม็ดร่วงลงไป ก็มีลูกประคำปัญญาเม็ดใหม่ก่อตัวขึ้นบนมาจุดนั้น
พวกมันคือประคำปัญญาที่ก่อตัวขึ้นมาจากปัญญาญาณของเขา
แต่ละเม็ดประคำมีขนาดเท่าไข่ไก่ และแต่ละเม็ดนั้นก็กลมดิก ราบเรียบ และโปร่งแสง พวกมันหมุนวนไปอย่างต่อเนื่องรอบๆ คอของเขา และดูเหมือนว่าจะสามารถทะลุทะลวงเข้าไปในหัวใจของผู้อื่นได้
ฉินมู่เดินเข้าไปในประตูสวรรค์ทักษิณด้วยก้าวอาดๆ และเพียงแค่เขาย่างเท้าเข้าไป ก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันมองไม่เห็นตกลงมาบนตัวเขา อันทำให้กระดูกของเขาเกิดเสียงกรอบแกรบ
แรงกดดันบนกายเนื้อนั้นยังนับว่าเบา แต่แรงกดดันที่ส่งมายังจิตวิญญาณดั้งเดิมคือสิ่งที่หนักหน่วงที่สุด!
ฉินมู่ร้องคำรามและขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะเพื่อป้องกันต้านรับแรงกดดันระหว่างที่ก้าวเดินไปข้างหน้า
ยิ่งเขาก้าวไปมากเท่าไร แรงกดดันก็ยิ่งหนักหน่วงมากขึ้นเท่านั้น เสียงคำรามมังกรระลอกแล้วระลอกเล่าดังออกมาจากร่างกายของฉินมู่ และพวกมันก็คือแปดสุรเสียงมังกรบรรพกาลที่สั่นสะเทือนและก้องสะท้อนไปทั่วทั้งสรรพางค์กายของเขาด้วยปราณและโลหิต
เขานั้นเดินทันผู้คนกลุ่มแรกแล้ว และยกมือเพื่อหิ้วตัวพวกเขาขึ้นมา เขาโยนคนเหล่านั้นออกไปนอกประตูสวรรค์ทักษิณ หากว่าเขาปล่อยให้คนเหล่านี้อยู่ใต้ประตูสวรรค์ทักษิณต่อไป พวกเขาก็มีแต่จะถูกบดขยี้จนตาย อันเขาหักใจทนดูไม่ได้
แรงกดดันยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง ปราณและโลหิตไหลรั่วออกจากร่างของฉินมู่และยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ปราณและโลหิตของเขาใกล้จะบ้าคลั่ง และก่อขึ้นมาเป็นกระแสเชี่ยวกรากข้างหลัง ดวงตาของเขาก็ยิ่งเจิดจ้ามากขึ้นทุกที
ข้างหลังเขา กระแสเชี่ยวกรากของปราณและโลหิต บางครั้งก็แปลงร่างเป็นมังกรเขียวอันคำรามก้องไปด้วยสายฟ้าฟาด บางครั้งมันก็แปลงร่างเป็นเต่าดำที่กำลังคะนองคลื่นในทะเลทมิฬ บางครั้งมันก็จะแปลงร่างเป็นนกหงส์แดงอันลากเพลิงไฟไปท่วมฟ้า และบางครั้งมันก็จะแปลงร่างเป็นพยัคฆ์ขาวอันดุร้ายและห้าวหาญ
รูปเงาทุกชนิดแปรเปลี่ยนอยู่ข้างหลังเขาเพื่อช่วยฟันฝ่าทุกอย่างที่ขวางทางข้างหน้า ทำให้เขาบุกด้นต่อไปอย่างองอาจ!
ในที่สุด เขาก็ตามทันผู้คนที่อยู่ข้างหน้า และทุกคนก็ได้ถูกกดดันจนกลายเป็นมนุษย์ขนาดสามนิ้ว แม้กระนั้น ก็ไม่มีใครที่ก้าวถอยกลับไป และพวกเขาก็ยังคงมุ่งต่อไปข้างหน้า
โลหิตสดไหลรินออกดวงตา หู จมูก และปากของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังต่อสู้กับแรงกดดัน และพยายามเดินออกไปจากประตูสวรรค์ทักษิณ
ฉินมู่เองก็ถูกกดทับจนเหลือขนาดร่างกายเพียงหนึ่งคืบ เขาก้าวไปข้างหน้าคนอื่นๆ และพลันหัวเราะร่า ปลดปล่อยพันธนาการทั้งหลายของตนเอง “แม้ยอดจิตรกรล้ำพิลาส ก็มิอาจวาดจิตวิญญาณผู้คน!”
เขาใช้แปดสุรเสียงมังกรบรรพกาลและสันสกฤตแห่งพุทธเพื่อขับร้องไปอย่างกึกก้อง และเขาก็ยังบุกไปข้างหน้าด้วยตีนเปล่า เขาเอื้อนด้วยเสียงอันดัง “ด้วยบันทึกสามัญคงจะตกหล่นความคิดเมธี! ด้วยปีกอันเบาหวิวกว่าผงคลี และบางเฉียบกว่าเส้นไหม กระพือสุขไสวตามลำนำบุปผชาติ”
ผู้คนข้างหลังเขารับฟัง และพวกเขาก็ถูกเสียงของเขาเร่งเร้าแบ่งความรู้สึกโดยไม่รู้ตัว ปราณและโลหิตในร่างของพวกเขาเหิมทะยานขึ้นและเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน พวกเขาถูกปลุกเร้าด้วยจิตวิญญาณของฉินมู่
“แดนสุขาวดีมีหรือไม่ข้าไม่ทราบ ไฉนจะศิโรราบต่อความตายหน้าปราสาทสวรรค์”
ฉินมู่ปลดใบหลิวทองคำออกจากหว่างคิ้วของเขา และร่างสั่นเทิ้มเผยสามเศียรหกกร ลำแสงทองคำยิงออกมาจากดวงตาขีดตั้งทั้งสามในหว่างคิ้วของเขา ใบหน้าของเขาคลี่ยิ้มออกมา และก็กล่าว “แสงโสมสาดผ่านดงสนประดุจชิ้นทองนิรมล วายุเป่าบนแม่น้ำสร้างคลื่นมรสุมเช่นแผ่นดินถล่ม! เหยียบย่างผ่านประตูสวรรค์ทักษิณ เพื่อผินเสาะเข้าเฝ้า นั่งจับเจ่าอยู่ในราชสำนักบรรพกาลและยิ้มสราญแก่เหล่าวีรชน!”
“เยี่ยม!” ทายาทเผ่าเทพอดไม่ได้ที่จะโห่ร้องยินดีเมื่อจิตวิญญาณเห่อเหิมขึ้นมา
ลำนำของเขาทั้งห้าวหาญและไร้พันธนาการ ผสมผสานแก่นชีวิต พลังชีวา และจิตวิญญาณเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง และพาพวกเขามุ่งต่อไปข้างหน้า
จิตวิญญาณของทุกคนเชื่อมต่อกัน และเจตจำนงเป็นหนึ่งของพวกเขาก็กลายเป็นป้อมปราการอันไร้พ่าย พวกเขาถึงกับสามารถป้องกันแรงกดดันจากประตูสวรรค์ทักษิณ ปราณและโลหิตข้างหลังพวกเขาราวกับมหาสมุทรที่กำลังคลั่งคะนองไปด้วยคลื่นลม
ในตอนนั้นเอง ชาวนาเฒ่าได้จูงวัวแก่ไปถึงตำหนักชิดฟ้าแล้ว พวกเขากำลังจะเดินผ่านโถงวังเข้าไป แต่พลันสัมผัสได้ถึงบางอย่างและเหลียวหลังกลับไปดู พวกเขาเห็นแสงโลหิตที่ประตูสวรรค์ทักษิณพวยพุ่งขึ้นสูงนภากาศแห่งวังสู้วัวและขย่มเขย่าดวงดาวทั้งหลาย!
ชาวนาเฒ่าตกตะลึง เขามองไปที่ยังภาพที่เกิดขึ้นและเห็นฉินมู่นำทุกคนตามเขาไป ทุกคนนั้นกำลังก้าวอาดๆ อย่างอาจหาญ และร่างกายของพวกเขาก็ขยายกลับมาสูงขึ้นและสูงขึ้น แรงกดดันของประตูสวรรค์ทักษิณไม่มีผลกับพวกเขาแล้ว!
“นายผู้เฒ่า ทายาทรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดของจักรพรรดิก่อตั้งผู้นี้ ดูจะเหนือธรรมดาไม่น้อย”
วัวแก่กล่าว “ความกระตือรือร้นของเขาแพร่กระจายออกไปยังผู้อื่น เขานั้นห้าวหาญองอาจ และดูเหมือนกับจักรพรรดิก่อตั้งเมื่อกาลครั้งนั้น ในอดีตนั้นมีไม่กี่คนที่สามารถผ่านประตูสวรรค์ทักษิณมาได้ และบัดนี้เมื่อเขามาอยู่ที่นี่ ก็คงจะมีผู้คนที่ผ่านประตูสวรรค์ทักษิณมาได้คราวละเป็นสิบคน”
“ประตูสวรรค์ทักษิณเป็นเพียงแค่ด่านทดสอบแรก อันตรายยังคงอยู่ในด่านหลังๆ”
ชาวนาเฒ่าเดินเข้าไปในตำหนักชิดฟ้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าจงคอยเฝ้าอารักขาอยู่ที่ตำหนักชิดฟ้า ข้าอยากจะไปดูว่าพวกเขาจะบุกตะลุยฝ่าฟันเข้ามาได้หรือไม่!”
วัวแก่ยืนอยู่ด้วยขาหลังสองข้างและสั่นสะเทือนร่างกาย เกล็ดมังกรเขียวของเขาลั่นแกรกกรากและเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายผู้เฒ่า นี่มันรังแกพวกเขาชัดๆ แต่ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเอาชนะนายผู้เฒ่า ที่เหาะข้ามมายังปราสาทสวรรค์โดยขาดเขตขั้นวรยุทธไปหนึ่งขั้นได้อย่างไร”