ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 727 อดีตของครูบาสวรรค์
นักบุญคนตัดไม้หวนระลึกถึงอดีต และหลังจากผ่านไปนาน เขาจึงกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ข้าเอาแต่ยึดติดกับการปฏิรูป และรู้สึกแต่ว่าข้าจะสามารถดำเนินไปตามแผนและสำเร็จตามความฝันได้ และข้าไม่มีเวลาให้กับความสัมพันธ์รักใคร่ ดังนั้น ต่อให้มีหญิงสาวที่นิยมชมชอบข้า ข้าก็ไม่มีเวลาเกี้ยวพากับพวกนาง”
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ ราชครูสันตินิรันดร์ก็เป็นบุคคลเช่นนั้น และเหตุผลที่เขามิได้กลายเป็นคนตัดไม้แบบนี้ไปอีกคน ก็เพราะว่าเขาได้แต่งงานกับภรรยาคนปัจจุบัน เขาถึงกับมีบุตรแล้ว
ในอดีต ราชครูดำเนินทุกอย่างตามเหตุผลตรรกะโดยสัมบูรณ์ เขาถึงกับปล่อยให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ เพื่อใช้ตนเป็นเหยื่อล่อให้ศัตรูปรากฏตัว
บัดนี้ ราชครูสันตินิรันดร์มีอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
“เมื่อครั้งนั้น ข้าได้ตระหนักแล้วว่าชาวนาไม่ค่อยจะสบอารมณ์ข้า และข้าก็เป็นคนที่ไร้ความรู้สึกรักใคร่อย่างแท้จริง เด็กสาวคนนั้นสะสวยเป็นอย่างยิ่ง และไม่ว่าจะมองอย่างไร นางก็เป็นคู่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่กระนั้น จักรพรรดิก่อตั้งได้มอบหมายหน้าที่อันสำคัญยอ่างยิ่งยวดให้แก่ข้า หากว่าข้าใช้อิทธิพลอำนาจที่จักรพรรดิก่อตั้งมอบให้ ไปเกี้ยวพาราสีหญิงสาว นั่นจะไม่ทำให้จักรพรรดิก่อตั้งต้องผิดหวังหรอกหรือ”
นักบุญคนตัดไม้กล่าวอย่างเยือกเย็น “ดังนั้นข้าจึงบอกแก่อวิ๋นซี หญิงสาวผู้นั้นว่าข้าไม่ใช่คู่ชีวิตที่เจ้าเสาะหา โครงการที่จักรพรรดิก่อตั้งมอบหมายให้ข้านั้นสำคัญ และมีสิ่งต่างๆ มากมายในโลกหล้ารอให้ข้าไปปฏิรูป ดังนั้นข้าจึงไม่อาจตอบสนองต่อความรู้สึกของนางที่มีต่อข้าได้”
ฉินมู่รับฟังจนเคลิบเคลิ้ม และเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ ท่านก็สามารถแบ่งดุลระหว่างครอบครัวและประเทศชาติได้นี่นา ทำไมท่านต้องปฏิเสธนางด้วยล่ะ หากว่าท่านปฏิเสธนาง แล้วท่านไปล่วงเกินครูบาสวรรค์วิชาบู๊ได้อย่างไร”
“ชื่อของนางคือเอียนอวิ๋นซี และนางก็เป็นสตรีที่ทรงเสน่ห์”
เห็นได้ชัดว่าคนตัดไม้กำลังหวนระลึกถึงสตรีที่เลิศล้ำเหนือธรรมดากว่าใครๆ และเขาก็จมอยู่ในภวังค์ เขากล่าวอย่างนุ่มนวลด้วยความอ่อนโยนอันหาได้ยาก “นางเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง และมีความสามารถอย่างเลิศล้ำ ข้ามีความสุขมากที่นางชื่นชมนับถือข้า แต่ทว่า ข้านับถือมากกว่าที่จะรักใคร่ในตัวนาง นางถามข้าว่า ‘เทียนเก๋อ จั๋วฉาชมชอบข้า เขาเป็นคนที่ข้าจะพึ่งพิงไปได้ชั่วชีวิตหรือไม่’ ข้ายิ้มและบอกกับนางว่า ‘จั๋วฉาเป็นชาวนา…’”
คนตัดไม้มีสีหน้าพิลึกประหลาด “ข้าบอกนางว่า ‘ความรักในมรรคาบู๊ของจั๋วฉา เหนือล้ำกว่าความรักที่มีต่อเจ้า เขามีรักแท้ต่อมรรคาบู๊ แต่เจ้าเป็นเพียงความลุ่มหลงชั่วคราว จั๋วฉามิใช่คนที่คู่ควรจะพึ่งพิงไปตลอดชีวิต’ ข้ากล่าวออกมาจากมุมมองของมิตรสหาย และวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของจั๋วฉา ข้านั้นแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง แต่ประโยคนั้นคงรู้ไปถึงหูของจั๋วฉาในภายหลัง ดังนั้น เขาจึงมองเห็นข้าเป็นเสี้ยนหนามตำตามาตลอด”
ฉินมู่กล่าว “อาจารย์นี่บัดซบจริงๆ…ไม่ๆ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น!”
เขากอดหัวเอาไว้เมื่อรู้สึกเจ็บแปลบจากการที่คนตัดไม้เขกหัว
คนตัดไม้กล่าวต่อ “หลังจากนั้น เอียนอวิ๋นซีก็ไม่แต่งงานกับใครเลย นางถึงกับเปลี่ยนชื่อแซ่และแต่งกายแบบบุรุษเพศ นางกล่าวว่า ในบุรุษอันเหนือธรรมดาที่สุดเท่าที่นางเคยพบสองคน คนหนึ่งนั้นมีปัญญาอันไร้เปรียบปานและหัวใจที่อุทิศแก่โลกหล้า และคนหนึ่งนั้นกล้าหาญไร้เทียมทานด้วยจิตเต๋าอันไม่หวั่นไหว หลังจากได้พบกับชายสองคนนี้แล้ว ก็ไม่มีชายอื่นใดที่จะเข้าสายตานางได้ ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนชื่อและแต่งกายเป็นบุรุษเพศ นางกล่าวว่านางจะไม่มีวันกลับมาแต่งกายแบบสตรีหากว่าไม่ได้พบเจอบุรุษที่เหนือล้ำไปกว่าพวกเราสองคน”
เขาค่อยๆ จมในภวังค์และส่ายหน้าไปมา “นางไม่เคยเปลี่ยนกลับมา แม้ว่าจั๋วฉาจะได้พบนางอีกหลายครั้งและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง เขาก็ไม่เคยจะจดจำนางได้”
ฉินมู่ร้องออกมา “ครูบาสวรรค์วิชาบู๊เป็นตัวตนระดับบัลลังก์จักรพรรดิที่ย่างกรายสู่เต๋าด้วยวิญญาณบู๊ เขาจะไม่สามารถจดจำเอียนอวิ๋นซีที่แต่งกายเป็นชายได้อย่างไร”
คนตัดไม้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอียนอวิ๋นซีมีความสามารถอันสูงล้ำ และนางก็เจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง หากว่านางไม่ต้องการให้เขาจำนางได้ เขาก็จะจำไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ในหัวของชาวนามีแต่กล้ามเนื้อ เขาจะมีวิจารณญาณที่ดีได้อย่างไร เอียนอวิ๋นซีถึงกับอัดเขายับเยินไปตั้งหลายครั้ง แต่ถึงขนาดนั้นเขาก็ยังจำนางไม่ได้อยู่ดี ในทางตรงข้าม เขากลับชื่นชมเลื่อมใสนาง และเอาแต่ตั้งแง่กับข้า”
“อัดครูบาสวรรค์วิชาบู๊เสียยับเยินไปหลายครั้ง?”
ดวงตาของฉินมู่เต็มไปด้วยความฉงน “พี่สาวเอียนอวิ๋นซีผู้นี้นี่…”
คนตัดไม้ดุด่าเขา “เรียกนางว่าอาจารย์อา! อย่าเรียกนางว่าพี่สาว!”
ฉินมู่พึมพำอย่างไม่ยินดี “อาจารย์ ท่านบอกว่าอาจารย์อาเอียนอวิ๋นซีได้เปลี่ยนชื่อของนางไปแล้ว ตอนนี้นางชื่อว่าอะไรล่ะ มีไม่กี่คนที่สามารถอัดครูบาสวรรค์วิชาบู๊จนยับเยินได้ ข้าได้ยินครูบาสวรรค์วิชาบู๊กล่าวถึงคนที่สามารถปั่นหัวเขาได้ แต่ทว่าคนผู้นั้นไม่ได้ชื่อว่าอวิ๋นซี แต่ดูเหมือนจะเรียกว่า จื่อซี”
คนตัดไม้ไม่กล่าววาจาและมองออกไปที่ประตู
วัวแก่ที่ข้างนอกประตูดึงหูของเขากลับไป และสูบกล้องยาบุ๋งๆ ต่อ แต่กระนั้นไฟที่จุดในกล้องก็ดับไปนานแล้ว
กิเลนมังกรรีบนอนพังพาบไปกับพื้นและเสแสร้งเป็นหลับ เสียงกรนของเขาดังปานฟ้าผ่า
คนตัดไม้ลุกขึ้นและสวมใส่เสื้อผ้า “ข้ารู้สึกว่าอาการบาดเจ็บดีขึ้นมาแล้ว ไว้ข้าค่อยฟื้นฟูร่างกายด้วยวิชาเสกสรร และก็คงจะไม่หลงเหลืออาการบาดเจ็บแฝงเร้นอยู่ต่อไป”
ฉินมู่รีบถาม “ครูบาสวรรค์จื่อซี และเอียนอวิ๋นซีเป็นคนเดียวกันไหม”
คนตัดไม้ไม่ตอบและบอกเขา “จั๋วฉาคงจะต้องออกไปจากภูเขาแน่ในคราวนี้ เมื่อจั๋วฉาออกไป ก็จะมีเวลาหายใจหายคอได้เยอะขึ้น เจ้าไม่ได้วางแผนที่จะไปพบกับซวีเซิงฮวาพร้อมกับหูปู้กุยหรอกหรือ ถ้าอย่างนั้น จั๋วฉาก็คงจะติดตามเจ้าไปพบกับซวีเซิงฮวา ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องกระทำ ดังนั้นข้าจะขอตัวไปก่อน”
ฉินมู่เดินตามเขาและกล่าว “ข้ายังกะที่จะไปพบกับพี่สาวตี้อี้เยว่ และดูว่านางกับเถียนฉู่จะสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร”
นักบุญคนตัดไม้ส่ายศีรษะและกล่าว “การสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่มิใช่สิ่งที่จะทำได้ทันทีทันใด ยิ่งไปกว่านั้นหากว่านางไปตามหาเถียนฉู่ ก็น่าจะยังหาตัวเขาไม่เจอ เจ้าหมอนี่จะต้องซ่อนตัวอยู่โรงหมักเหล้าที่ดีเลิศที่สุดในสันตินิรันดร์ กำลังร่ำสุราอยู่”
ฉินมู่ตาเป็นประกาย และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น เขาก็จะต้องอยู่ในร้านสุราในวังหลวง”
“ข้าจะคิดหาวิธีบอกข่าวแก่ตี้อี้เยว่ และให้นางไปหาเถียนฉู่”
คนตัดไม้เดินออกมาและปรายตามองวัวแก่ที่กำลังเป่ากล้องยาสูบน้ำ “ไฟดับไปแล้ว”
วัวแก่รีบจุดไฟ และพ่นควันหนาแน่นจนเขาสำลักไปเอง ทำให้เขาน้ำตาไหลพราก
“อย่าพูดในสิ่งที่เจ้าไม่ควรพูด”
คนตัดไม้กล่าว “แม้ว่าข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ก็ง่ายดายยิ่งนักที่ครูบาสวรรค์อันดับสองจะเชือดเจ้าเสีย”
วัวแก่รีบผงกหัวประหลกๆ และแย้มยิ้มอย่างจืดๆ “ครูบาสวรรค์ใหญ่ ไม่ต้องกังวล ข้าเข้าใจดี”
นักบุญคนตัดไม้เดินไปยังกิเลนมังกรที่แกล้งหลับ “ถ้าเจ้าพูดมาก ก็ระวังจะไปขึ้นโต๊ะอาหาร”
กิเลนมังกรกลืนน้ำลายเอื๊อกและลุกขึ้นมา เขาก็หลุบตาต่ำและยิ้มจืดเช่นกัน “ปากข้ารูดซิบสนิทที่สุดแล้ว ข้าไม่เคยแพร่งพรายเรื่องน่าอายของจ้าวลัทธิเลยสักครั้ง!”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและลูบหนวดหร็อมแหร็มไม่กี่เส้นที่คางของเขา มังกรอ้วนรู้เรื่องน่าอายหลายอย่างของข้าอย่างนั้นหรือ อืม ข้าปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แล้ว…ทำอย่างไรดีนะ
คนตัดไม้ไปตามหาตัวชาวนาเฒ่า และกล่าวลาเขา ชาวนาเฒ่าไม่อยากจะสนใจไยดี ดังนั้นจึงหลับตาและกรนครอกๆ คนตัดไม้จึงได้แต่จากไป
ชาวนาเฒ่าแค่นเสียงและถ่มน้ำลายไล่หลังเขา
ฉินมู่มีสีหน้าประหลาด ครูบาสวรรค์ทั้งสองล้วนแต่อายุหลายหมื่นปี แต่พวกเขาก็ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ
ไม่นานนัก หููปู้กุยก็แบกห่อสัมภาระเล็กๆ ออกมาจากโลกสู้วัว เขาสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาและดูแข็งแกร่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่มาจากการฝึกฝน
พวกชาวบ้านผลักเคลื่อนภูเขามหึมาอีกครั้ง และใช้วิธีการบางอย่างเพื่อปิดผนึกโลกสู้วัว ฉินมู่มองไปรอบๆ และมองไม่เห็นร่องรอยของห้วงมิติที่โดนปิดผนึก เขาเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง
จากการพบพานในโลกสู้วัว โลกสู้วัวและแดนโบราณวินาศแยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง เมื่อยามกลางคืนมาถึงแดนโบราณวินาศ ความมืดก็ไม่สามารถรุกรานเข้ามาในโลกสู้วัวได้ อันหมายความว่าโลกสู้วัวมิได้อยู่ในโลกมิติเดียวกับแดนโบราณวินาศ
ยิ่งไปกว่านั้น หูปู้กุยก็ยังกล่าวอีกว่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโลกสู้ยังถึงกับได้ไปยังโลกมิติมารเมื่อพวกเขาอายุสิบสามขวบ เพื่อต่อสู้กับยอดฝีมือแห่งโลกมารเป็นการฝึกฝน
นี่หมายความว่าโลกสู้วัวตั้งอยู่ห่างไกลลิบลับจากแดนโบราณวินาศ และมันอาจจะห่างไกลเสียยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้
“ยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิ มีฝีมือความสามารถอันเหนือธรรมดาจริงๆ!”
ฉินมู่เหลือบไปมองชาวนาเฒ่า และชาวนาเฒ่าก็จูงวัวแก่เข้ามา เขากล่าวกับพวกชาวบ้าน “ข้าจะออกไปตระเวนข้างนอกและติดตามพวกเขาไปพบกับคนที่ชื่อซวีเซิงฮวา ข้าอยากจะดูว่าเขามีความสามารถจริงหรือไม่ หากว่าเขามี ข้าก็จะไปชมดูสันตินิรันดร์ต่อ หากว่าเขาไม่มีความสามารถ ก็จงช่วยข้าไปจับตัวไอ้คนตัดไม้หากว่าพวกเจ้าเห็นเขาที่ไหนอีก ข้าจะต่อยเขาให้ตายแล้วค่อยกลับมาเก็บตัวเร้นกายต่อ”
ทุกคนรับคำและกล่าว “ครูบาสวรรค์ไม่ต้องกังวล พวกเราจะอยู่ที่นี่เพื่อพิทักษ์วังสู้วัว และหากว่าพวกเราพบเจอครูบาสวรรค์ใหญ่ จะช่วยจับตัวเขาเอาไว้”
ชาวนาเฒ่าขี่ไปบนหลังวัว และฉินมู่ก็ขี่กิเลนมังกร ขณะที่หูปู้กุยเดินไปด้วยเท้า
ฉินมู่เชิญเขาขึ้นมา แต่หูปู้กุยส่ายศีรษะ “ข้าวิ่งได้เร็ว”
ฉินมู่มองไปที่กิเลนมังกร และกิเลนมังกรก็ขนลุกเต็มเหยียด เขารีบวิ่งไปด้วยกำลังทั้งหมด และหมายมาดว่าจะสามารถทิ้งหูปู้กุยอย่างไม่ติดฝุ่นได้ด้วยความเร็วปานสายฟ้าของเขา แต่ไม่คาดคิดเลยว่า วัวแก่ยังคงตามหลังเขาด้วยฝีเท้าเอื่อยๆ ได้ ขณะที่หูปู้กุยกระโดดจากภูเขาลูกหนึ่งไปยังอีกลูกหนึ่ง วิ่งตะบึงไปด้วยความเร็วสูง
กายเนื้อของเจ้าหมอนี่แข็งแกร่งกว่าข้า!
กิเลนมังกรกระโดดโหยงด้วยความตกใจและรู้สึกหนาวเยือกถึงสันหลัง เขาคิดในใจ พวกเขาไม่รู้ว่าซวีเซิงฮวาอยู่ที่ไหน ดังนั้นจึงตามข้าไป ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงวิ่งนำหน้าไปแล้ว ในเมื่อพวกเขาจะต้องตามข้าอยู่ ก็คงจะไม่วิ่งแซงข้า และจ้าวลัทธิก็จะไม่ลงมือกับข้า…
ฉินมู่ฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมออกไปเพื่อติดต่อกับซวีเซิงฮวา เขากล่าวกับหูปู้กุย “ตอนนี้ซวีเซิงฮวาอยู่ที่แผ่นดินตะวันตก เขากำลังก่อสร้างสถาบันเหนือฟ้า ดังนั้นพวกเราสามารถไปพบเขาที่แผ่นดินตะวันตกได้”
หูปู้กุยจิตใจคึกคัก ชาวนาเฒ่านั่งบนหลังวัวและกล่าวอย่างเยือกเย็น “หากว่าซวีเซิงฮวาไร้ประโยชน์ ข้าจะไปกระทืบไอ้คนตัดไม้ให้ตาย”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ซวีนั้นเป็นอัจฉริยะที่เปล่งประกาย หากว่าไม่มีข้า ข้าก็คงเป็นอัจฉริยะอันไร้เทียมทานในโลกหล้า เมื่อครูบาสวรรค์วิชาบู๊ได้พบกับเขา ท่านก็จะต้องยินดีเป็นอย่างยิ่งแน่นอน”
ชาวนาเฒ่าแค่นเสียง
หลังจากหกเจ็ดวัน พวกเขาก็มาถึงบริเวณรอบนอกของตำหนักสวรรค์แท้แผ่นดินตะวันตก
สตรีทั้งหลายแห่งตำหนักสวรรค์แท้กำลังก่อสร้างโครงการใหญ่มหึมา และปลูกปราสาทราชวัง ซวีเซิงฮวาและจิงเอี้ยนได้รับข่าวคราวจากฉินมู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงออกมาต้อนรับ
ฉินมู่กระโดดลงจากหลังกิเลนมังกรและมองไปรอบๆ เขาเห็นก็แต่ว่าสถาบันเหนือฟ้านั้นมีสถาปัตยกรรมและขนบประเพณีที่เปี่ยมกลิ่นอายแผ่นดินตะวันตก สิ่งก่อสร้างสวยงามและตกแต่งด้วยดอกไม้สดและต้นไม้เขียวขจี ทิวทัศน์มีครบทั้งสี่ฤดูไม่ขาดตกบกพร่อง
“สามีภรรยาที่นับถือทั้งสอง นี่คือครูบาสวรรค์วิชาบู๊แห่งรัชสมัยเทวะจักรพรรดิก่อตั้ง นี่คือศิษย์พี่หนิวซานตัว”
ฉินมู่แนะนำพวกเขา “และนี่คือหูปู้กุย บุคคลที่ข้าเอ่ยถึงแก่เจ้า เขาย่างกรายสู่เต๋าด้วยวิญญาณบู๊ และไม่มีเขตขั้นสะพานเทวะ”
ซวีเซิงฮวาสำรวจตรวจตราหูปู้กุย และดวงตาเขาก็เป็นประกาย “พี่หูสามารถเปิดสมบัติเทวะของเจ้าให้ชมหน่อยได้หรือไม่”
เสียงตูมๆ หลายคำรบดังออกมาจากร่างกายของหูปู้กุย เมื่อสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศ เจ็ดดาว ชาวสวรรค์ และเป็นตายของเขาเปิดออกมา เมื่อไปถึงสมบัติเทวะสะพานเทวะ ทั้งสะพานเทวะได้หายไปโดยสิ้นเชิง!
เขาไม่มีสมบัติเทวะสะพานเทวะเลยสักนิด!
อักษรรูนมากมายไหลวนไปรอบๆ ซวีเซิงฮวา และเขาก็คิดคำนวณตำแหน่งที่ตั้งสมบัติเทวะสะพานเทวะของหูปู้กุย ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ส่ายศีรษะ “เจ้าไม่มีสมบัติเทวะสะพานเทวะจริงๆ ด้วย! เยี่ยม เยี่ยม!”
“ข้าจะไปอัดอาจารย์เจ้าให้ตาย” ชาวนาเฒ่ากล่าวแก่ฉินมู่
ซวีเซิงฮวาเดินไปรอบๆ หูปู้กุย และดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาบด้วยความตื่นเต้น เขารีบกล่าว “พี่หู รากฐานของเจ้าดีเกินไปแล้ว ข้าสามารถใช้ในการทดสอบวิธีการหลอมรวมสมบัติเทวะวิธีใหม่ที่ข้าคิดค้นขึ้นมาใหม่ได้เลยจริงๆ! ข้าทำเองไม่ได้ ถึงข้าเป็นกายาจ้าวแดนดิน แต่ข้าตระหนักตัวเมื่อสายเกินไป ทำให้รากฐานของข้าไม่มั่นคงสถาวรมากเท่า แม้ว่าข้าจะหลอมรวมสมบัติเทวะของข้าไปแล้ว แต่วรยุทธของข้าก็ยังคงขาดพร่องอยู่ เดิมทีข้ากะจะใช้พี่ฉินในการทดลอง แต่กายาเนื้อของเจ้านั้นก็แข็งแกร่งอย่างสุดๆ ทั้งรากฐานก็ดีเยี่ยม เจ้านั้นเป็นตัวทดสอบที่เหมาะเหม็งสำหรับข้า! จริงสิ เจ้าก็เป็นกายาจ้าวแดนดินด้วยหรือเปล่า”
ชาวนาเฒ่าชะงักและกล่าวแก่ฉินมู่ “หากว่าเขาทำหูปู้กุยตาย ข้าจะฆ่าเขาแล้วค่อยมาฆ่าเจ้าอีกที”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินมู่เห็นด้านอันบ้าคลั่งของซวีเซิงฮวา และเขาก็รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย