ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 734 เจ็ดวิญญูชนสวรรค์ในสระหยก
วัวแก่ติดตามไปข้างหลังพวกเขาทั้งสอง และเหงื่อเม็ดเป้งก็ร่วงลงจากหน้าผากของเขาไม่หยุด จังหวะปราณของฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลา และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ต่อสู้กันโดยเปิดเผย แต่พวกเขาก็ลอบท้าทายซึ่งกันและกันอย่างไม่ยอมลดราวาศอก!
ทั้งคู่ล้วนแต่เป็นลาดื้อหัวรั้น!
วัวแก่เอาแต่ปาดเหงื่อที่ตกจากหน้าผาก ข้าไม่น่าฟังนายผู้เฒ่าที่ให้พาฉินมู่ไปพบกับเทพีหยินสวรรค์เลย ข้าน่าจะอยู่ข้างๆ นายผู้เฒ่าต่อ และค่อยๆ ละเลียดชาของข้าไประหว่างที่สำราญกับกล้องยาสูบน้ำ หากว่าจักรพรรดิก่อตั้งแพ้ นั่นก็ไม่ดี หากว่าฉินมู่แพ้ นั่นก็ไม่ดีอีกเหมือนกัน หากว่าข้ากลับไปทั้งแบบนี้ ข้าก็จะอธิบายอะไรไม่ได้! ข้าไม่อาจแบกหน้ากลับไปบอกนายผู้เฒ่าได้ว่า ข้าส่งฉินมู่ไปยังสภาสวรรค์เทพบรรพกาล และเขาก็ต่อยตีจักรพรรดิก่อตั้งจนยับเยิน…
เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะเข้าข้างใครในตอนนี้
ถ้าตัดสินความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างเขาและทั้งสองคน เขาก็ควรจะช่วยจักรพรรดิก่อตั้ง
แต่ฉินมู่นั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ดีอย่างยิ่ง และสุภาพต่อเขาเป็นอย่างมาก เขาเรียกหาว่าศิษย์พี่ซานตัวอยู่ตลอดเวลา แต่จากความคิดลึกๆ ข้างใน เขารู้สึกสนิทชิดเชื้อกับฉินมู่มากกว่า
เขาลำบากใจจริงๆ
แต่ถึงอย่างไร เขาก็มองออกว่าทั้งฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งต่างก็เป็นอัจฉริยะ จังหวะปราณของพวกเขาทั้งสองมีการเปลี่ยนแปลงนับพันหมื่น และการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยใดๆ ของกายเนื้อ คลื่นกระเพื่อมเล็กน้อยใดๆ จากสำนึกรู้จิตวิญญาณดั้งเดิม หรือการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยใดๆ ในปราณชีวิต ก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามจับสัมผัสได้ และเปลี่ยนแปลงจังหวะปราณเพื่อรับมือให้สอดคล้อง
แต่ละย่างก้าวที่พวกเขาเดินไป ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายสิบประการ และเพราะว่าขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของพวกเขาสูงล้ำยิ่งนัก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงเล็งไปที่จุดอ่อนของคู่ต่อสู้ เป็นผลให้เมื่อปราณของพวกเขาปะทะกัน พวกเขาก็เริ่มจะเดินตุปัดตุเป๋
ทั้งสองคนย่างก้าวไปข้างหน้าเหมือนกับคนเมาสุรา พวกเขายิ่งดูปัดเป๋มากขึ้นทุกที และพวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้ และก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดกลางคัน
โชคยังดีว่า พวกเขาเข้าใกล้หัวของปลาคุนยักษ์แล้ว และเพียงระยะทางอีกสองสามลี้ พวกเขาก็จะไปถึงข้างกายของโอรสหยินสวรรค์
โอรสหยินสวรรค์มองไปยังรถลากของเทพีหยินสวรรค์ อันกำลังแล่นมาทางพวกเขาด้วยความตื่นเต้น ผู้คนส่วนใหญ่ก็มารวมตัวกันบนหัวของคุนยักษ์ และพวกเขาก็เงยศีรษะมองด้วยความอัศจรรย์ใจ
ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งเดินกะเผลกเข้ามา และไอน้ำก็พวยพุ่งออกมาจากร่างกายของพวกเขา ไอน้ำยิ่งมาก็ยิ่งหนาแน่น เมื่อพวกเขาทั้งสองต่างก็เดินไปข้างหน้าอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
โอรสหยินสวรรค์พลันสัมผัสได้ถึงบางอย่าง และรีบหันไปมอง เขาเห็นฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งเดินเข้ามา และเขาก็พลันสัมผัสได้ถึงจังหวะปราณสองแบบอันแตกต่างที่กำลังปะทะกัน ปราณทั้งสองนั้นมาจากฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้ง
ทำไมพวกเขาถึงเริ่มต่อสู้กันล่ะ แต่พวกเขาสู้กันก็เป็นเรื่องดี ข้าสามารถผูกมิตรกับทั้งสองฝ่าย และทำให้พวกเขาปาดป้ายน้ำตาด้วยความสำนึกขอบคุณได้
โอรสหยินสวรรค์แตกตื่น แต่ก็รู้สึกลิงโลดที่พบเหยื่อ วิธีต่อสู้ของทั้งสองคนนี้ประหลาดยิ่งนัก และเป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบเห็นวิธีการต่อสู้เช่นนี้ ทำไมข้าถึงไม่เข้าไปแยกพวกเขาออกมา และทำให้พวกเขาซาบซึ้งในตัวข้าล่ะ!
ปราณของเขาแผ่พุ่งออกไปและเฉือนตัดระหว่างพวกเขาทั้งสอง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ฉิน พี่มู่ ให้ข้าเป็นผู้เจร...”
ขณะปราณของเขาผ่ากลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง ปราณของฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งอันเชี่ยวกรากดุจอุทกภัย ก็พลันพบช่องทางให้ไหลไป และโถมซัดไปยังเขา!
ไม่ทันที่โอรสหยินสวรรค์จะได้สิ้นสุดคำพูด เขาก็ถูกจังหวะปราณทั้งสองกดทับ และจิตคิดของเขาก็โล่งว่างไปหมด เขาคิดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น!
เขารู้สึกก็แต่ว่าฟ้าและดินแยกทลายในเสี้ยวพริบตานั้นและถล่มลงมา เขาร่วงลงจากที่สูงลิบลิ่ว และข้างใต้เขาก็เป็นความมืด ความมืดอันไร้ขอบเขต
เขาดิ้นรนอย่างช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และได้แต่ร่วงหล่นลงไป เขามองเห็นใบหน้าสองหน้าที่ประจันกันและกันอยู่ในความมืด และนั่นคือใบหน้าของ ‘มู่ชิง’ และ ‘ฉินไค’ อันหนึ่งนั้นอยู่ซ้าย และอีกหนึ่งอยู่ขวา
ใบหน้าทั้งสองใหญ่มหึมาอย่างไร้ปานเปรียบ และเขาก็ตกลงไประหว่างทั้งคู่อย่างพอดิบพอดี เขานั้นตัวเล็กจิ๋วอย่างสุดกู่ และกำลังร่วงลงไปในความมืดไร้สิ้นสุด
ในตอนนั้นเอง เสียงของฉินมู่ก็ดังมา “พี่หยิน พี่หยิน!”
ภาพหลอนตรงหน้าสายตาของโอรสหยินสวรรค์หายวับไป ฉินมู่นั้นกำลังพยุงแขนด้านซ้ายของเขา ขณะที่จักรพรรดิก่อตั้งกำลังพยุงแขนด้านขวาเพื่อป้องกันไม้ให้เขาร่วงล้มลง
โอรสหยินสวรรค์ร่างโซมไปด้วยเหงื่อราวกับว่าเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ
“พี่หยินรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” ฉินมู่ถามด้วยความห่วงใย
“ข้าเชี่ยวชาญในศาสตร์วิชาแพทย์ ข้าสามารถช่วยเยียวยาพี่หยินได้ ดังที่เขาว่ากันว่า แพทย์อาทรคนไข้ประดุจบิดรมารดา…”
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่หยินเข้ามาโดนลูกหลงระหว่างพวกเรา ดังนั้นเขาเพียงแต่ตระหนกไปเท่านั้น เขาไม่ได้ป่วยไข้ ยารักษาใดๆ ล้วนแต่มีพิษอยู่สามส่วน หากว่าเขากินยาของเจ้า เขาก็จะเจ็บป่วย พี่มู่…”
“อย่าเรียกข้าว่าพี่มู่!”
เส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหน้าผากของเขา และเขาระงับความพลุ่งพล่านในหัวใจ จักรพรรดิก่อตั้งเป็นบรรพชนเฒ่าของเขา งั้นจะให้เขามาเรียกว่าพี่น้องได้อย่างไร
จักรพรรดิก่อตั้งเข้าใจความนัยและกล่าวอย่างเย็นชา “เดิมทีข้าก็อยากจะวางมีดวางดาบกับเจ้า แต่เจ้าก็ไม่รู้จักชื่นชมมัน เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าจริงๆ น่ะหรือ กำลังฝีมือเจ้าสูงล้ำจริงๆ นั่นแหละ แต่มันอาจจะไม่สูงเท่ากับข้า!”
ฉินมู่ยิ้มหยันและกล่าว “กำลังฝีมือของข้าอาจจะไม่สูงไปกว่าเจ้า แต่จิตเต๋าของข้าสูงกว่าแน่ ข้าไม่มีทางไร้ประโยชน์เหมือนกับเจ้า”
โอรสหยินสวรรค์รู้สึกปวดหัวตึ้บ และเขารีบกล่าว “รถลากของเทพีหยินสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว เลิกเถียงกันเถอะ พวกเจ้าสะสางกันดีๆ ไม่ได้หรืออย่างไร”
เสียงคำรามกึกก้องมา และเขาก็เห็นมังกรยักษ์ที่ลากรถลากอันเลิศล้ำวิไลมา และมังกรแต่ละตัวก็ใหญ่มหึมาเสียยิ่งกว่าปลาคุนยักษ์ใต้เท้าพวกเขาเสียอีก พวกมันเหินลมขี่เมฆเพื่อเหาะข้ามศีรษะของพวกเขาไป
มังกรเหล่านั้นสวมใส่ชุดเกราะสีเขียว และพวกมันก็เป็นสมบัติวิเศษที่หลอมสร้างขึ้นมาจากเหล็กหยินสวรรค์ ทำให้เกิดแสงล้ำค่าสาดส่องจากร่างกายของพวกมัน รถลากนั้นก็หลอมสร้างขึ้นมาจากเหล็กหยินสวรรค์เป็นส่วนใหญ่และประดับไปด้วยเมฆา ข้างใต้ร่มฉัตรของรถมีลูกปัดห้อยลงมา และแต่ละลูกปัดก็มีแสงเจิดจ้า พวกมันหลอมสร้างขึ้นมาโดยใช้ดาวเคราะห์ต่างๆ และถูกขัดเกลาจนเหลือขนาดเพียงสิบห้าวา
หมู่เมฆลอยอ้อยอิ่งอยู่ระหว่างลูกปัดห้อย และทั้งเมฆทั้งลูกปัดก็ขัดขวางสายตาของทุกคนเอาไว้ พวกเขามองเห็นเทพนารีนั่งอยู่ใต้ฉัตรอย่างเลือนราง
โอรสหยินสวรรค์จ้องด้วยดวงตาเบิกกว้างและดูตะลึงงัน ก็ต่อเมื่อมังกรยักษ์เหล่านั้นลากรถไปยังใจกลางสภาสวรรค์แล้ว เขาจึงพึมพำออกมา
“เมื่อไหร่ข้าถึงจะน่าเกรงขามเช่นนั้นบ้าง”
ทุกคนในบริเวณโดยรอบระเบิดหัวเราะ
แม้แต่ปลาคุนยักษ์ให้เท้าของเขาก็หัวร่อด้วยเสียงอันดัง
โอรสหยินสวรรค์หน้าแดงฉาน และเขาก็ตะกุกตะกัก “หยะ–อย่าหัวเราะใส่ข้า ข้าจะต้องน่าเกรงขามและน่าประทับใจแบบนั้นในภายภาคหน้าแน่ๆ! เมื่อเวลานั้นมาถึง ฮี่ๆ ทุกคนจะต้องมาโค้งคารวะแทบเท้าข้า…”
เสียงหัวเราะของทุกคนยิ่งดังเข้าไปใหญ่
โอรสหยินสวรรค์หน้าแดงก่ำขึ้นไปทุกที และเขาเตรียมที่จะออกปากโต้แย้งมากไปกว่านี้ แต่ทันใดนั้นจักรพรรดิก่อตั้งก็กล่าว “พี่หยิน ในโลกหล้ามีผู้คนมากมายไร้ประมาณ แต่พวกที่สามารถก่อการใหญ่และทิ้งชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์นั้นมีเพียงแค่สี่ห้าคนเท่านั้น พวกเขาไม่มีความทะเยอทะยานเช่นนี้จึงได้แต่หัวเราะเยาะคนอื่น โปรดอย่าเก็บมาคิดใส่ใจ”
โอรสหยินสวรรค์เต็มไปด้วยความซาบซึ้งและกล่าว “นกกระจาบไม่รู้จักความทะเยอทะยานของหงส์ ข้าจะไม่ลดตัวลงไปอยู่ระดับเดียวกับพวกเขา”
ฉินมู่ปรายตามองจักรพรรดิก่อตั้งและคิดในใจ นี่เขากำลังอธิบายความทะเยอทะยานของตนเอง หรือว่าเขาคิดเผื่อผู้คนเหล่านี้ เพื่อมิให้โอรสหยินสวรรค์แก้แค้นต่อพวกเขาในอนาคตกันแน่ บางทีอาจจะเป็นทั้งคู่ บัดนี้เมื่อข้าได้ย้อนกลับมาในอดีต ข้าจะสามารถสังหารโอรสหยินสวรรค์และเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ไหมนะ
ในหัวใจของเขามีความลังเลอยู่
ปลาคุนยักษ์แบกพวกเขาบินผ่านหมู่ปราสาท และพวกเขาก็ได้พบกับรถลากอันน่าประทับใจและเหนือธรรมดาของเทพบรรพกาลที่เดินทางผ่านไปมากมาย อันทำให้เกิดความอิจฉาระลอกแล้วระลอกเล่า
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงสระหยกแห่งสภาสวรรค์
สภาสวรรค์นั้นกว้างใหญ่ไพศาลจนเกินไป และแม้ด้วยความเร็วการเหาะของคุนยักษ์ เขาก็ยังต้องบินมาเป็นเวลานานกว่าจะถึงสระหยก
คุนยักษ์ค่อยๆ ชะลอและลงไปจอดที่ข้างๆ แท่นหยกขาวข้างๆ สระหยก ทุกคนหยุดกิจกรรมทุกอย่าง และโอรสหยินสวรรค์ก็ช่วยฉินมู่จ่ายค่าโดยสาร โดยให้ยาเม็ดมังกรหยกแก่คุนยักษ์มากขึ้นอีกหน่อย ปลาคุนยักษ์จึงเหาะตรงไปยังแม่น้ำสวรรค์บนท้องฟ้า และผลุบหายเข้าไปในแม่น้ำก่อนจะแหวกว่ายจากไป
แม้ว่าสระหยกจะมีคำว่าสระ แต่สำหรับฉินมู่และคนอื่นๆ แล้ว มันดูเหมือนกับมหาสมุทรในสภาสวรรค์เสียมากกว่า หมู่เมฆที่นี่ไหลเลื่อน และมีขุนเขาเซียนมากมายอยู่บนมหาสมุทร ทั้งยังมีเต่าทะเลยักษ์ที่แบกเขาศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นและแหวกว่ายไปทั่วสระหยก
มันยังมีดอกบัวอันใหญ่มหึมาน่าเหลือเชื่อในมหาสมุทรอันกินพื้นที่เป็นร้อยไร่ บางดอกก็บานออกมาแล้ว กลีบสีขาวและแดงของพวกมันชวนลุ่มหลงยิ่งนัก บ้างก็ยังเป็นดอกตูมที่เรียวบางและชูช่อสง่าพวกมันมีทั้งสีเขียว สีขาว และสีชมพู อันทำให้ดูสวยงามเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายกำลังละเล่นกันอยู่ข้างๆ สระหยก และผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นผู้คนที่มาจากแดนต่ำใต้ ทั้งยังมีครึ่งเทพที่โอรสหยินสวรรค์กล่าวถึงอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขามิได้แปลงร่างเป็นมนุษย์ และปรากฏตัวในร่างของสัตว์เทวะ
สำหรับผู้คนในอนาคต ครึ่งเทพเหล่านี้คือสัตว์เทวะ แต่สำหรับผู้คนในตอนนี้ พวกเขาคือครึ่งเทพที่ครอบครองสายเลือดอันสูงส่งและมีศักดิ์ฐานะอันเลิศล้ำ เมื่อผู้ฝึกวิชาเทวะพบเจอพวกเขา ก็จะต้องเคารพนบนอบ
ข้างๆ สระหยก ผู้คนหลายคนเรียกเต่ายักษ์มาและจ่ายยาวิญญาณจำนวนหนึ่งเพื่อจะได้ขึ้นไปขี่บนขุนเขาศักดิ์สิทธิ์บนหลังเต่า เต่าพวกนี้ก็จะแบกขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ว่ายไปยังส่วนลึกของสระหยก
และดอกบัวในมหาสมุทรก็ถึงกับมีประเทศเล็กๆ ตั้งอยู่ ผู้คนมากมายไปที่นั่นเพื่อหาความสำราญ
“สำหรับเทพบรรพกาล นี่คือสระหยก แต่สำหรับพวกเราแล้ว นี่คือทะเลหยก”
โอรสหยินสวรรค์กล่าว “ในระหว่างมหาสมาคมสภาสวรรค์ ผู้คนมากมายได้ขึ้นมาที่นี่จากแดนต่ำใต้เพื่อเที่ยวเล่นและเปิดหูเปิดตา แต่ทว่าวิญญูชนสวรรค์อวี้และสหายเต๋าคนอื่นๆ นั้นแตกต่างออกไป พวกเขามีปณิธานอันสูงส่ง และพวกเขาใช้โอกาสนี้เพื่อเชื้อเชิญผู้เปี่ยมความสามารถทั้งหมดในแดนต่ำใต้ ด้วยการจัดชุมนุมสระหยก แม้ว่าพวกเราจะด้อยกว่ามหาสมาคมของเทพบรรพกาล แต่พวกเราก็ยังต้องจารึกชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์!”
ดวงตาของเขาเป็นประกาย และฉินมู่มองเห็นมันในดวงตาของเขา หัวใจเขาสะท้านไปเล็กน้อย เมื่อกาลก่อนนั้น โอรสหยินสวรรค์ก็เป็นเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน แต่นี่ก็ถูกต้องแล้วล่ะ ความสำเร็จของเขาในอนาคตเบื้องหน้านั้นสูงล้ำอย่างสุดแสน เขาเป็นหนึ่งในยอดฝีมือไม่กี่คนในขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ ดังนั้นเขาก็ย่อมมีฝีมือความสามารถเป็นของตนเอง
โอรสหยินสวรรค์เรียกเต่ายักษ์ตัวหนึ่งมาและกล่าว “พวกเรามาที่นี่ตามคำเชิญของวิญญูชนสวรรค์อวี้เพื่อร่วมการชุมนุมสระหยก”
เต่าเฒ่าตัวนั้นกล่าว “วิญญูชนสวรรค์อวี้ได้สั่งเอาไว้ว่ามิต้องเรียกเก็บยาวิญญาณจากผู้ที่มาเข้าร่วมการชุมนุมสระหยก เชิญขึ้นมา”
ฉินมู่ตกตะลึงและถาม “ศักดิ์ฐานะของวิญญูชนสวรรค์อวี้ในสภาสวรรค์สูงล้ำขนาดนี้เชียวหรือ”
โอรสหยินสวรรค์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “วิญญูชนสวรรค์อวี้เป็นผู้นำของพวกเรา เผ่าพันธุ์อันต่ำต้อยทั้งหลาย ดังนั้นศักดิ์ฐานะของเขาย่อมสูงส่งอย่างยิ่ง แม้แต่เทพบรรพกาลก็ยังเรียกหาเขาว่าสหายเต๋า และรู้สึกว่าเขาคือบุคคลที่สามารถพัฒนามรรคา วิชา และทักษะเทวะต่อไปได้”
พวกเขาขึ้นไปบนขุนเขาศักดิ์สิทธิ์บนหลังเต่า และเต่าเฒ่าก็รีบว่ายน้ำไปยังส่วนลึกของสระหยก ทิวทัศน์โดยรอบชวนชื่นตาชื่นใจ
“วิญญูชนสวรรค์อวี้เป็นบุคคลแรกที่เปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณ และการฝึกวรยุทธสมบัติเทวะมีที่มาจากเขา หลังจากที่เขาเปิดสมบัติเทวะแล้ว ฟ้าและดินก็แปรเปลี่ยนทำให้ทั้งโลกหล้าตื่นตระหนก ในเวลานั้น เทพบรรพกาลมากมายได้ฉายส่องรูปเงาของพวกเขาลงมา และห้อมล้อมเขาเพื่อชื่นชมยินดี ยกย่องเขาว่าเป็นผู้ก่อตั้งยุคสมัยอันสลักสำคัญ”
โอรสหยินสวรรค์กล่าว “เทพสรรพชีวิตเรียกเขาว่าวิญญูชนสวรรค์อวี้ ภูติบดีอวยพรชีวิตให้แก่เขา ทำให้เขาเป็นอมตะไม่มีวันตาย แต่ทว่า ก็ยังคงมีผู้คนที่สามารถทัดเทียมกับเขาได้ วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวได้เปิดสมบัติเทวะห้าธาตุ แซ่ของเขามิใช่ฮ่าว แต่ชื่อของเขามีคำว่าฮ่าว ดังนั้นเทพบรรพกาลจึงเรียกเขาว่าวิญญูชนสวรรค์ฮ่าว และยังมีวิญญูชนสวรรค์หลิงผู้ซึ่งเปิดสมบัติเทวะหกทิศ วิญญูชนสวรรค์เยว่ผู้ซึ่งเปิดสมบัติเทวะเจ็ดดาว วิญญูชนสวรรค์หั่วผู้ซึ่งเปิดสมบัติเทวะชาวสวรรค์ วิญญูชนสวรรค์โยวผู้ซึ่งเปิดสมบัติเทวะเป็นตาย และวิญญูชนสวรรค์อวิ๋นผู้ซึ่งเปิดสมบัติเทวะสะพานเทวะ พวกเขาเป็นที่รู้จักเรียกขานว่าเจ็ดวิญญูชนสวรรค์ และหลังจากที่พวกเขาทำสำเร็จ เต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดินก็แปรเปลี่ยน และจักรพรรดิฟ้าก็มามอบฉายาให้แก่พวกเขา”
ฉินมู่พึมพำและกล่าว “ช่างเป็นยุคสมัยที่เต็มไปด้วยผู้คนอันชวนลุ่มหลง ผู้คนเหล่านี้สมแล้วที่จะได้รับการขนานนามให้เป็นวิญญูชนสวรรค์ ด้วยว่าพวกเขาสามารถสถาปนาระบบการฝึกวรยุทธแห่งสมบัติเทวะ ไม่ว่าชนรุ่นหลังจากสร้างสรรค์อะไรขึ้นมา ก็คงยากที่จะเหนือล้ำกว่าพวกเขาไปได้…”
จักรพรรดิก่อตั้งก็มีอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกันและกล่าว “สามารถไปพบเจอกับเจ็ดวิญญูชนสวรรค์ การเดินทางเที่ยวนี้ไม่เสียเปล่าแล้ว
ทั้งสองคนสายตามาประสานกัน และทั้งคู่ต่างก็แค่นเสียงและสะบัดหน้าผละจากกัน
วัวแก่ติดอยู่ระหว่างพวกเขาและพลันรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มพูนขึ้น เขาโอดครวญในใจ ทั้งสองคนต่างก็เป็นลาดื้อหัวรั้น ข้าหวังว่าพวกเจ้าทั้งสองคงไม่ก่อเรื่องมากมายไปกว่านี้ และทำให้ข้าต้องตกที่นั่งลำบาก...
ข้างหน้านั้น หมู่ปราสาทราชวังส่องแสงเรืองรอง และดูยิ่งใหญ่ตระการเป็นอย่างยิ่ง เต่าเฒ่าแบกขุนเขาศักดิ์สิทธิ์มาตรงหน้าหมู่ราชวังและกล่าว “พวกเรามาถึงแดนลับสระหยกแล้ว”
โอรสหยินสวรรค์เร่งฝีเท้าของเขาและกล่าวด้วยเสียงอันดัง “วิญญูชนสวรรค์อวี้ น้องชายหยินเฉาจิ่นมาที่นี่แล้วเพื่อเข้าร่วมการชุมนุม!”
ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งก็ก้าวออกไปข้างหน้า วัวแก่ปลุกปลอบขวัญตนเองและเดินไประหว่างพวกเขาทั้งสองเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาก่อเรื่องอีก เขาคิดอยู่ในใจ ตราบใดที่ทั้งคู่ไม่ต่อยตีกันจนน่วม นั่นก็เป็นบุญหัวข้าแล้ว!
ปราสาทราชวังคึกคักไปด้วยกิจกรรมต่างๆ มีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ พวกเขาคงจะต้องเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะจากทั่วโลกที่มาเข้าร่วมการชุมนุม
ฉินมู่จิตสะท้านหวั่นไหว ท่ามกลางผู้คนที่อยู่ที่นี่ จะให้กำเนิดตัวตนอันยิ่งใหญ่สะท้านโลกมากมายแค่ไหนกันนะ
ทันใดนั้น เขาก็ตะลึงไปเล็กน้อย เขาเห็นหลวงจีนรูปหนึ่ง และข้างๆ เขาก็คือนักพรตคนหนึ่ง