ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 739 วิญญูชนสวรรค์โยวผู้ร่ำไห้ในรอยยิ้ม
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 739 วิญญูชนสวรรค์โยวผู้ร่ำไห้ในรอยยิ้ม
“พี่ฉิน พี่มู่!”
โอรสหยินสวรรค์ปรากฏตัวข้างหลังชายหนุ่มผู้นั้น และเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “และผู้อาวุโสหนิวเปิน! พวกท่านได้สร้างความพินาศครั้งยิ่งใหญ่! สระหยกนี้เป็นของจักรพรรดินีฟ้า และตอนนี้เมื่อพวกท่านได้ทุบทลายมันจนเละเทะ จักรพรรดินีฟ้าก็อาจจะเอาเรื่องพวกท่าน วิญญูชนสวรรค์อวี้ ทั้งสามท่านนี้คือศิษย์พี่ฉินไค ศิษย์พี่มู่ชิง และผู้อาวุโสหนิวเปินที่ข้าได้กล่าวถึงพวกเขาให้ฟังไปก่อนหน้า”
ก็แต่ตอนนี้เท่านั้นที่วิญญูชนสวรรค์หลิงเพิ่งจะรู้ชื่อของพวกเขา แถมยังเป็นชื่อปลอมอีกต่างหาก
นางนั้นจดจ่อกับการค้นคว้าเพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงค่อนข้างหัวช้าในเรื่องอื่นๆ นางรู้สึกว่าฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งเป็นสหายในมรรคาเดียวกับนาง จึงลืมที่จะไต่ถามชื่อแซ่
ฉินมู่มองไปยังชายหนุ่มและคิดในใจ เขาคือวิญญูชนสวรรค์อวี้อย่างนั้นหรือ คนผู้แรกที่ได้เปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณ?
วิญญูชนสวรรค์อวี้คือบุคคลที่ได้กำหนดสร้างระบบฝึกวรยุทธสมบัติเทวะขึ้นมา และเขายังเป็นบุคคลที่ได้เปิดระบบการฝึกวรยุทธปราสาทสวรรค์ เขาปลุกเปิดทารกวิญญาณของเขา ทั้งยังทำให้จิตวิญญาณดั้งเดิมสามารถเหาะเหินขึ้นไปบนปราสาทสวรรค์ได้อีกด้วย มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดาษดื่นสำหรับผู้คนในอนาคต และแม้ว่าจะยากเย็น แต่ก็ยังคงมีเทพเจ้ามากมายที่บรรลุได้ด้วยวิธีนี้
กระนั้นสำหรับผู้คนในอดีตที่ไม่รู้วิธีการฝึกวรยุทธ นี่นับว่าเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เลิศล้ำที่ทัดเทียมได้กับการเสกสรรฟ้าและดิน!
วิญญูชนสวรรค์อวี้ได้คิดค้นระบบฝึกวรยุทธสมบัติเทวะขึ้นมาจากศูนย์ ดังนั้นเขาจึงคู่ควรกับฉายานามวิญญูชนสวรรค์!
ฉินมู่เพ่งพิศวิญญูชนสวรรค์อวี้ และพบว่าอีกฝ่ายนั้นมีรูปลักษณ์ประดุจหยก เขาอ่อนโยน สงบนิ่ง และเยือกเย็น เขายืนอยู่ที่นั่นเหมือนกับพฤกษาหยกต้นหนึ่ง สายตาของเขาเหมือนกับน้ำค้างอันเพริศแพร้ว และหัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยสีสันพรรณราย
ฉินมู่คารวะทักทายและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของวิญญูชนสวรรค์อวี้มานานแล้ว จนบัดนี้ถึงได้พบเจอ นับว่าสมกับกิตติศัพท์ชื่อเสียง”
วิญญูชนสวรรค์อวี้กล่าว “มรรคา วิชา และทักษะเทวะของพี่มู่และพี่ฉินก็ได้ทำให้ทั้งสระหยกสะท้านสะเทือนไปหมด และนี่ทำให้ข้าตระหนักว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า กำลังฝีมือของผู้อาวุโสหนิวเปินก็ยิ่งน่าแตกตื่นและทำให้ข้าอิจฉายิ่งนัก ขออภัยด้วยที่ข้าเชื่องช้าที่ไม่เคยได้ยินนามของพวกท่านทั้งสาม ถามได้หรือว่าท่านมาจากที่ใด”
ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งหันไปมองกันและกัน จักรพรรดิก่อตั้งกล่าวตอบไปอย่างสุภาพ “พวกเราเป็นผู้คนที่มาจากสถานที่อันต่ำต้อย นามของวิญญูชนสวรรค์อวี้ดุจอสุนีบาตที่กึกก้องไปทั่วหล้า และในเมื่อเจ้าได้จัดชุมนุมสระหยก พวกเราจึงมาเมื่อได้ยินข่าว เพียงแต่ว่านิสัยใจคอของพวกเรามุทะลุไปหน่อย จึงเริ่มต่อสู้กันทันทีที่แตกคอ พวกเรานับว่าเสียมารยาทแล้ว ขอวิญญูชนสวรรค์อวี้โปรดอภัย”
วิญญูชนสวรรค์อวี้แย้มยิ้มและกล่าว “นี่ไม่เป็นปัญหา สถานที่นี้ถูกทำลายไป แต่ข้าก็ได้ให้คนมาซ่อมแซมแล้ว นี่ไม่ใช่ที่เหมาะแก่การสนทนา ทำไมอาคันตุกะทั้งสามจึงไม่มายังตึกเล็กๆ ในสระหยกเสียหน่อยล่ะ นั่นคือราชวังข้างของจักรพรรดินีสวรรค์ มันแข็งแกร่งมั่นคงกว่าสถานที่แห่งนี้”
วิญญูชนสวรรค์หลิงไม่ค่อยเต็มใจนัก และนางกำลังจะอ้าปากคัดค้าน แต่วิญญูชนสวรรค์อวี้ก็กล่าวอย่างนุ่มนวล “วิญญูชนสวรรค์หลิง โถงวังของเจ้าก็ถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นนี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะปักหลักอยู่ได้ พวกเราไปที่วังข้างจักรพรรดินีกันเถอะ”
วิญญูชนสวรรค์หลิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง และก็ได้แต่ผงกหัว
วิญญูชนสวรรค์อวี้นำทางไปข้างหน้า และสายตาของเขาก็เป็นประกาย “พี่ฉิน พี่มู่ ข้าเห็นมรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเจ้าเพริศแพร้วและเหนือธรรมดา วิชาฝึกปรือของพวกเจ้าศักดิ์สิทธิ์และเหนือล้ำกว่าสรรพชีวิตใดๆ ในโลกหล้า ความสำเร็จของพวกเจ้าทั้งสองก็เลิศล้ำจนสุดขีดขั้ว และไปถึงขั้นที่แม้แต่ข้าก็ไม่เข้าใจ ข้าถามได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าทั้งสองร่ำเรียนมาจากใคร”
“พวกเราขบคิดขึ้นมาเองอย่างสะเปะสะปะ” ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงในคอ
จักรพรรดิก่อตั้งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเราใจร้อน ดังนั้นจึงต่อสู้กันทุกครั้งที่พบหน้า เมื่อพวกเราต่อสู้กันไป มรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเราก็ยิ่งดีขึ้นและดีขึ้น วิญญูชนสวรรค์อวี้เป็นยอดอัจฉริยะ เจ้าได้คิดค้นสมบัติเทวะ และอำนวยพรให้แก่ชนรุ่นหลัง เจ้าทำให้ข้าประทับใจอย่างยิ่ง”
โอรสหยินสวรรค์เผยสีหน้าสงสัยและคิดในใจ เมื่อตอนที่อยู่บนหลังปลาคุนยักษ์ พวกเขาดูเหมือนจะเพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก ไม่รู้จักซึ่งกันและกัน ทำไมฉินไคจึงกล่าวว่ายิ่งได้ต่อสู้กัน มรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเขาก็ยิ่งพัฒนารุดหน้า ประโยคนี้ดูเหมือนไม่ใช่ความจริง
แม้ว่าเขาจะขบคิดประเด็นนี้ แต่เขาก็ไม่เปิดโปง
วิญญูชนสวรรค์อวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากว่าพวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องการลงลึกถึงรายละเอียด ข้าก็จะไม่บีบให้บอกกล่าวแม้ว่าจะมีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายที่เข้าร่วมงานชุมนุมนี้ แต่ผู้ที่ควรแก่การพบเจอมากที่สุดก็คือพวกเจ้าทั้งหมด หลังจากที่ข้ามสะพานเหินหาวแห่งนี้แล้ว มันก็จะเป็นตึกหลังเล็กๆ ในสระหยก มันยังคงไม่ถูกทำลาย”
ตรงหน้าพวกเขา สะพานเหินหาวเหยียดยาวข้ามท้องฟ้า และไม่มีอะไรค้ำยันรองรับเอาไว้ สะพานยืดยาวต่อไปอย่างต่อเนื่องและลอยอยู่เหนือมหาสมุทร ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายเดินบนสะพานเพื่อมุ่งหน้าไปยังเกาะอื่น
ฉินมู่เหลียวกลับไปมองและเห็นว่าเกาะวิเศษแห่งสระหยกถูกพวกเขาสร้างความเสียหายอย่างหนัก ครึ่งเทพมากมายเหาะเข้ามาและซ่อมแซมปราสาทราชวังที่ถูกพังลงไป
วิญญูชนสวรรค์อวี้มองลงไปยังพื้นผิวทะเลอันสะท้อนแสงระยิบระยับระหว่างที่เดิน เทพบรรพกาลสองตนช่วยฉุดเทพบรรพกาลที่ถูกอัดลงไปปักกับทะเลขึ้นมา เทพบรรพกาลนั้นถูกวัวแก่กระทืบจนสลบเหมือด และหัวของเขาก็ปักลงไปใต้ทะเล
และยังมีเต่าเฒ่าจำนวนหนึ่งที่ลอยขึ้นมาบนผิวมหาสมุทร น้ำทะเลไหลลงจากภูเขาบนหลังเต่ากลายเป็นน้ำตก
นี่คือการทำลายล้างที่เกิดขึ้นจากโทสะของวัวแก่
“จักรพรรดิฟ้ามีจิตใจกว้างขวาง เขาไม่เอามาคิดใส่ใจ”
วิญญูชนสวรรค์อวี้กล่าวด้วยรอยยิ้มอันไม่เชิงยิ้ม “แต่ทว่า จักรพรรดินีฟ้าอาจจะโมโหสักหน่อย พวกเจ้าทั้งสองก็ระวังสักนิด…วิญญูชนสวรรค์โยว!”
เขาหยุดชายหนุ่มคนหนึ่งเอาไว้ และชายหนุ่มคนนั้นก็กำลังเดินตรงไปยังตึกหลังเล็กแห่งสระหยก ขณะที่เขาเดินไปนั้น เขาก็โยนอักษรรูนตัวแล้วตัวเล่าลงไปบนผิวทะเลด้วยความเบื่อหน่าย
ฉินมู่สะท้านหัวใจ อักษรรูนที่วิญญูชนสวรรค์โยวโยนลงไปนั้นดูคล้ายกับอักขระใต้พิภพอย่างยิ่ง เมื่ออักษรรูนเหล่านั้นถูกโยนเข้าไปในทะเล เขาก็เป่าปลายักษ์หลายตัวให้พองขึ้นมา
วิญญูชนสวรรค์โยวได้เปิดสมบัติเทวะเป็นตายใช่ไหม ทำไมเขาถึงมีนิสัยใจคอเหมือนเด็กๆ เขาฉงนฉงาย
วิญญูชนสวรรค์โยวมัดผมเป็นหางหมูที่ชี้ขึ้นไปข้างบน และเขามีฟองน้ำมูกที่โป่งออกมาจากจมูก ที่ข้างหลังศีรษะของเขาคือหน้ากากมาร และหน้ากากนั้นเป็นใบหน้ายิ้ม แต่ทว่าใต้ดวงตาแต่ละข้างของหน้ากาก มีรอยน้ำตาอยู่
วิญญูชนสวรรค์ผู้นี้ดูจะแตกต่างจากวิญญูชนสวรรค์คนอื่นๆ เขาดูเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร และแม้ว่าวิญญูชนสวรรค์อวี้จะสนทนากับเขา เขาก็ดูเหมือนไม่อยากจะให้ความสนใจด้วย เขามองไปที่วิญญูชนสวรรค์อวี้ ก่อนที่จะหันไปมองฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้ง จากนั้นเขาก็หันกลับไปโยนอักษรรูนใต้พิภพเล่นแก้เบื่อ
ฉินมู่มองไปยังวิญญูชนสวรรค์โยวด้วยความสนอกสนใจ เขาได้เปิดสมบัติเทวะเป็นตาย ดังนั้นก็ไม่แปลกที่เขาจะเชี่ยวชาญอักษรรูนใต้พิภพ เขานั้นคงจะต้องเชี่ยวชาญในทักษะเทวะใต้พิภพด้วยเช่นกัน
ในยุคสมัยโบราณกาลเช่นนี้ การที่เชี่ยวชาญในทักษะเทวะใต้พิภพ หมายความว่าเขาเข้าใจความเป็นและความตาย นี่นับได้ว่าเป็นความสำเร็จอันเลิศล้ำแล้ว
“วิญญูชนสวรรค์โยว…”
ฉินมู่นำเอาสมุดน้อยออกมาและถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอลายเซ็นเจ้าสักหน่อยได้ไหม”
วิญญูชนสวรรค์โยวปรายตามองเขา และพลันตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อมองไปที่หว่างคิ้วฉินมู่ “ดวงตาที่หว่างคิ้วของเจ้าพิสดารเป็นอย่างยิ่ง”
ฉินมู่ตื่นตะลึง จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามองข้าทะลุเสียแล้ว กำลังฝีมือของข้าแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นข้าต้องปิดผนึกดวงตาเอาไว้ นี่เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าก่อเรื่องวุ่นวาย”
วิญญูชนสวรรค์โยวยกมือขึ้นหมายที่จะแกะใบหลิวออกมา แต่ฉินมู่รีบป้องกันเอาไว้
วิญญูชนสวรรค์โยวไม่สบอารมณ์ทันที และเขาก็กระโดดลงไปจากสะพานเหินหาว “งั้นข้าไม่ดูแล้วก็ได้ ใครจะไปสนล่ะ!”
ฉินมู่มองลงไปจากสะพาน และเห็นวิญญูชนสวรรค์โยวมิได้ตกลงไปบนผิวน้ำ ในทางตรงข้าม เขานำเรือกระดาษออกมาลำหนึ่ง และมันก็ขยายขนาดออกมา เขาลงไปเหยียบบนเรือ และเรือก็แล่นไปยังเกาะอันมีตึกน้อยตั้งอยู่
“เรือกระดาษนี้…”
ฉินมู่ตกตะลึง หน้ากากมารข้างหลังวิญญูชนสวรรค์โยวพลันอ้าปากออกมาและแลบลิ้นใส่เขา
ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ และหน้ากากนั้นก็กลับไปเป็นปกติ
“อย่าคิดมาก วิญญูชนสวรรค์โยวมีนิสัยใจคอเหมือนเด็กคนหนึ่ง”
วิญญูชนสวรรค์อวี้กล่าว “เขาสูญเสียบิดาไปเมื่อยังเล็กๆ และมารดาของเขาก็เลี้ยงดูเขามา แต่ทว่ามารดาของเขาอ่อนแอและป่วย นางถูกรุมเร้าด้วยโรคภัยไข้เจ็บอยู่เสมอ เมื่อข้าพบกับเขา เขาก็ไม่ชอบพูดคุยอยู่แล้ว ตอนนั้นเขาอายุเพียงแค่สิบขวบและต้องคอยดูแลมารดา ผู้ซึ่งนอนอัมพาตอยู่บนเตียง เขาบอกข้าว่าเขาอยากจะคิดค้นวิธีการที่ทำให้มารดาของเขาไม่ต้องตาย หลังจากผ่านมาหลายปี เขาก็ได้เปิดสมบัติเทวะเป็นตาย”
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าว “เขาเป็นเด็กกตัญญู แต่ทว่าการเปิดสมบัติเทวะเป็นตายไม่อาจช่วยชีวิตมารดาของเขาได้”
โอรสหยินสวรรค์ที่อยู่ข้างๆ กล่าว “ข้าได้ยินว่ามารดาของเขาเสียชีวิตไปก่อนที่เขาจะเปิดสมบัติเทวะเป็นตายได้ และทำให้เขายิ่งเก็บตัวยิ่งกว่าเดิม เขาถึงกับกล่าวว่าเขาจะบุกไปหาภูติบดีเพื่อแย่งชิงดวงวิญญาณของมารดากลับคืนมา เขานั้นใจกล้าเหลือเกินจริงๆ”
เขาส่ายหัว
วิญญูชนสวรรค์อวี้กล่าว “อันที่จริง เขาได้พบกับภูติบดีแล้ว”
โอรสหยินสวรรค์อึ้งไปเล็กน้อย วิญญูชนสวรรค์อวี้กล่าวต่อ “เมื่อเขาเปิดสมบัติเทวะเป็นตาย ภูติบดีได้มาพบเขา เขาวิงวอนต่อภูติบดีให้เอาศักดิ์ฐานะวิญญูชนสวรรค์กลับไป เขาไม่ต้องการความเป็นอมตะจากภูติบดีด้วยเช่นกัน เขาเพียงแต่ร้องขอให้มารดาของเขาไม่มีวันตาย แต่ในตอนนั้น มารดาของเขาตายไปแล้ว และดวงวิญญาณของนางก็ลงไปในแดนใต้พิภพ ภูติบดีนั้นยุติธรรมไม่ลำเอียง และเขาจะไม่เปลี่ยนกฎเกณฑ์ของแดนใต้พิภพเพื่อเขา นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาออกปากว่าจะบุกเข้าไปในแดนใต้พิภพเพื่อชิงดวงวิญญาณมารดากลับคืนมา”
ฉินมู่มองไปที่เรือกระดาษที่ลอยล่องไป และเงาร่างของอีกคนก็ปรากฏในห้วงคิดของเขา คนผู้นั้นก็นั่งเรือกระดาษน้อยๆ เช่นกัน และนั่นก็คือผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ใต้ตะเกียงที่หัวเรืออยู่เสมอ
หรือว่าเขาจะเป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์
หากว่าใช่ แล้ววิญญูชนสวรรค์โยวกลายไปเป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์ได้อย่างไรในปีที่ผันผ่าน
เขาสามารถช่วยมารดาของเขาออกมาจากภูติบดีได้หรือ
เรือกระดาษลอยตรงไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน และชายหนุ่มผู้นั้นก็มีสีหน้าของการร่ำไห้ในรอยยิ้ม
ฉินมู่ตะลึงไป เขาหวนนึกถึงมารดาของตน
วิญญูชนสวรรค์อวี้กล่าว “พี่มู่ดูเหมือนจะมีเรื่องคิดอยู่เต็มหัว”
ฉินมู่เค้นรอยยิ้ม “เมื่อข้าเห็นวิญญูชนสวรรค์โยว ทำให้ข้านึกถึงตนเอง ผู้ที่ประสบชะตาคล้ายคลึงกันย่อมรู้สึกเห็นอกเห็นใจกัน”
วิญญูชนสวรรค์อวี้ดูจะจมอยู่ในความคิดลึกซึ้ง และเขาก็พลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ด้วยกำลังฝีมือของพี่มู่ในตอนนี้ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่เจ้าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นวิญญูชนสวรรค์ด้วยเช่นกัน ข้าเตรียมที่จะรายงานไปยังจักรพรรดิฟ้า และเขาอาจจะแต่งตั้งพี่ฉินและพี่มู่เป็นวิญญูชนสวรรค์ฉินและวิญญูชนสวรรค์มู่ เมื่อเวลานั้นมาถึง ก็จะมีเก้าวิญญูชนสวรรค์”
เขาหัวเราะด้วยเสียงอันดัง
โอรสหยินสวรรค์สีหน้าไม่ค่อยดีนัก และวี่แววของความผิดหวังและริษยาก็งอกขึ้นมาในหัวใจของเขาอย่างช่วยไม่ได้
จักรพรรดิก่อตั้งส่ายศีรษะและกล่าว “ตำแหน่งวิญญูชนสวรรค์นั้นมอบให้แก่ผู้คนที่มีความสำเร็จอันสูงส่ง ข้านั้นไม่คู่ควรแก่ฉายานามนี้ พี่มู่และข้า…”
ฉินมู่ยิ้มหยันและกล่าว “อย่าเรียกข้าว่าพี่มู่ ข้าไม่คู่ควร!”
จักรพรรดิก่อตั้งเลิกคิ้วและแค่นเสียง ข้างหลังพวกเขา วัวแก่ที่เงียบกริบมาตลอดทางก็กระแอมไอ เผยการข่มขู่กระหนาบเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด
วิญญูชนสวรรค์อวี้เห็นสิ่งเหล่านี้และยิ้มเล็กน้อย ผู้คนพวกนี้แปลกพิลึกเสียจริง
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าวต่อ “แม้ว่ามู่ชิงและข้าจะมีมรรคา วิชา และทักษะเทวะที่เลิศล้ำ แต่พวกเราไม่มีความสำเร็จอันสะท้านโลกใดๆ พวกเราไม่คู่ควรแก่ฉายานามนี้”
วิญญูชนสวรรค์อวี้หัวเราะและกล่าว “ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกเจ้าไม่คู่ควร แล้วใครล่ะจะคู่ควร การต่อสู้ระหว่างพวกเจ้าที่เกาะวิเศษสระหยกนั้นเกินกว่าคำว่าทำให้ลืมหายใจ นี่มันคือการทำให้ทั้งโลกหล้าตะลึงลานชัดๆ! พูดกันตามตรงแล้ว ข้ารู้สึกว่ามรรคา วิชา และทักษะเทวะของข้านั้นไม่แย่ และพวกเดียวที่สามารถเหนือล้ำไปกว่าข้าได้ก็มีเพียงเทพบรรพกาล พวกที่เหลือล้วนแต่สามัญธรรมดา แต่ทว่า หลังจากที่ข้าพบพวกเจ้าทั้งสอง ข้าถึงได้รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ข้าถึงได้รู้ว่ามรรคา วิชา และทักษะเทวะที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร! พวกเจ้าทั้งสองเป็นผู้ก่อตั้งมรรคา วิชา และทักษะเทวะ มีก็แต่พวกเจ้าทั้งสองที่คู่ควรกับศักดิ์ฐานะวิญญูชนสวรรค์”
เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากว่าเจ้าคิดว่าตนเองไม่คู่ควร พวกข้าวิญญูชนสวรรค์ทั้งเจ็ด ก็คงจะต้องปลดฉายานามออกไป และเก็บตัวเร้นกาย!”
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ วิญญูชนสวรรค์อวี้ผู้นี้นับว่าเป็นวีรบุรุษเหนือผู้คนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำหรือผลงานของเขา พวกมันก็ล้วนแต่ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับอาบไล้ด้วยสายลมวสันต์ เขานั้นนุ่มนวลและลื่นไหลอย่างแท้จริง
คนแบบนี้เป็นผู้นำโดยธรรมชาติ และเขาสามารถทำให้ผู้คนมีความรู้สึกที่ดียิ่งต่อเขาได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว!
ตรงหน้า พวกเขามายังตึกน้อยแห่งสระหยก
เมื่อพวกเขามาถึง ฉินมู่จึงเพิ่งรู้ว่าตึกน้อยที่ว่ามันเป็นแบบไหน
แน่นอนว่าสถานที่นี้ต้องวิลิศมาหรา เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นราชวังข้างของจักรพรรดินีฟ้า แต่ทว่าสิ่งที่น่าตื่นตระหนกที่สุดก็คือราชวังแห่งนี้ใหญ่โตมโหฬารจนเกินไป มันกว้างใหญ่จนเหลือเชื่อ!
เพียงแค่เสาข้างหน้าประตูก็สูงเกินกว่าสามร้อยวาเข้าไปแล้ว!
ทุกสิ่งที่นี่ใหญ่กว่าวัตถุธรรมดาเป็นร้อยเท่าพันเท่า!
ใครก็คงนึกภาพออกว่า จักรพรรดินีสวรรค์ที่อาศัยอยู่ที่นี่ คงจะสูงกว่าคนทั่วไปเป็นร้อยเท่า!
วิญญูชนสวรรค์อวี้กล่าว “หลังจากที่มหาสมาคมสภาสวรรค์สิ้นสุดลง และนามของสภาสวรรค์เป็นที่แน่นอนแล้ว ข้าก็จะถวายฎีกาขึ้นไปและร้องขอให้จักรพรรดิฟ้าแต่งตั้งพวกเจ้า”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “หากว่าข้าสามารถได้ฉายานามวิญญูชนสวรรค์มา ข้าก็ย่อมเต็มไปด้วยความสำนึกขอบคุณต่อวิญญูชนสวรรค์อวี้!”
จักรพรรดิก่อตั้งขมวดคิ้ว มู่ชิงผู้นี้รู้จักประจบดีจริงๆ!
วัวแก่ข้างหลังเขากระแอมไอ และจักรพรรดิก่อตั้งก็ได้แต่ยับยั้งชั่งใจเอาไว้เพื่อมิให้เทพเจ้าที่อยู่ข้างหลังเขาอาละวาดอีกครั้ง
วิญญูชนสวรรค์อวี้หัวเราะและกล่าว “นี่เป็นเรื่องเล็ก พวกเจ้าคู่ควรที่จะได้รับมัน ข้าเพียงแต่ช่วยต่อสู้วิ่งเต้นให้เท่านั้น พูดกันตามตรงแล้ว ข้าต้องการทำสองเรื่องในชุมนุมสระหยก อย่างแรกนั้นคือข้าค้นพบหนทางที่จะบรรลุความเป็นอมตะ และผลักดันให้ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหมดในโลกหล้ารุดหน้าไปอีกขั้น เพื่อให้พวกเขาทัดเทียมกับเทพเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น วรยุทธของพวกเขาก็จะสูงล้ำขึ้นไปๆ อย่างที่สองนั้น…”