ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 741 มรณกรรมของวิญญูชนสวรรค์อวี้
“แค่วิญญูชนสวรรค์อวี้ตายมีอะไรต้องแตกตื่น…”
วัวแก่เดินต่อไปและหัวเราะกับตนเอง “ผู้คนในสมัยโบราณไม่เคยเห็นคนตายมาก่อนหรืออย่างไร หัวของข้าแทบระเบิดจากเสียงเอะอะ…วิญญูชนสวรรค์อวี้ตายแล้ว? วิญญูชนสวรรค์อวี้ตายแล้ว!”
เขาร้องดังลั่นอย่างระงับไม่อยู่ และไม่สนใจที่จะไปเรียกฉินมู่กับจักรพรรดิก่อตั้งอีกต่อไป และความวุ่นวายข้างนอกก็ยังไม่ทันสงบดี บางคนกำลังตีอกชกหัวตนเองด้วยเสียงอันดัง ขณะที่บางคนยืนนิ่งขึงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก บางคนก็ไปไต่ถามผู้อื่น และเมื่อพวกเขายืนยันข่าว พวกเขาก็ล้มพับไปกับพื้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า
วัวแก่หัวใจว้าวุ่นไปหมด และเขารู้สึกว่าผู้มาก่อนในยุคโบราณทั้งหลายที่มาที่มาร่วมงานชุมนุมขาดเสาหลักของพวกเขาไป
เขามองไปที่ทุกๆ คนอันกำลังโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างนอก เมื่อวิญญูชนสวรรค์อวี้มีชีวิตอยู่ สถานที่นี้คือยุคทองที่อยู่ในระหว่างการปฏิรูป และเมื่อมรณกรรมของวิญญูชนอวี้เปิดเผยออกมา ทุกคนก็เหมือนแมลงวันที่ถูกเด็ดหัว
ยุคทองที่กำลังจะแย้มแสงอรุณสู่พวกเขากลับมืดหม่นลงไป
ความตายของผู้นำยิ่งใหญ่นั้นได้ซัดเซผู้คนแห่งยุคสมัยนี้อย่างมากมายเกินไป
หัวใจของวัวแก่ก็ว่างเปล่า เขาจะตายไปทั้งๆ แบบนี้ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้หรอกใช่ไหม นี่มันเรื่องล้อเล่นกันใช่ไหม เรื่องล้อเล่นแบบนี้มันเลยเถิดเกินไปแล้ว…
เสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลังเมื่อฉินมู่ จักรพรรดิก่อตั้ง และวิญญูชนสวรรค์หลิงเดินเข้ามา สีหน้าของพวกเขาก็ว่างเปล่า พวกเขาได้ยินเสียงเอะอะจากข้างนอกตั้งแต่อยู่ในเรือนตึก ข่าวมรณกรรมของวิญญูชนสวรรค์อวี้ได้ฟาดตีพวกเขาด้วยความหนักหน่วงอันเกินจินตนาการ
ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งได้เดินทางข้ามเวลามายังยุคสมัยนี้ และพวกเขามิได้มีปฏิสัมพันธ์กับวิญญูชนสวรรค์อวี้มากมายนัก แม้ว่าพวกเขาจะได้สนทนากันเพียงหนเดียว แต่พวกเขาก็มีความประทับใจที่ดีต่อเขา
พวกเขาเองก็เคารพนับถือวิญญูชนสวรรค์อวี้เป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกว่าเขาคือผู้นำแห่งยุคบรรพกาลที่จะสามารถควบคุมสวรรค์และพิภพ นำสรรพชีวิตหลังฟ้าดินทั้งหลายมาสร้างสรรค์ยุคสมัยใหม่
พวกเขาประเมินวิญญูชนสวรรค์อวี้ไว้อย่างสูงล้ำ กระนั้นผู้นำหนุ่มที่กำลังรอให้เวลาที่จะเปิดเผยผลงานชั่วชีวิตของเขาออกมา จู่ๆ ก็ตายลงไปอย่างกะทันหันแบบนี้ ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งยอมรับไม่ได้
วิญญูชนสวรรค์หลิงเองก็ยิ่งยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้
ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งมิได้มีปฏิสัมพันธ์มากมายกับเขา แต่วิญญูชนสวรรค์หลิงเติบโตขึ้นมากับตำนานเล่าขานของวิญญูชนสวรรค์อวี้ เมื่อนางได้พบกับเขาหลังจากนั้น วิญญูชนสวรรค์อวี้ก็เหมือนกับพี่ชายที่คอยดูแลและให้กำลังใจนางมาตลอด
หลังจากที่นางเปิดสมบัติเทวะหกทิศและเปลี่ยนไปศึกษาค้นคว้าการไม่มีอยู่ของเวลา หมายที่จะพิสูจน์มันด้วยทักษะเทวะ วิญญูชนสวรรค์อวี้รู้สึกว่างานวิจัยของนางคงไม่ประสบความสำเร็จ และเชื่อว่านางเลือกหนทางผิด แต่กระนั้น เขาก็ปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง
มรณกรรมของวิญญูชนสวรรค์อวี้เป็นการซัดนางอย่างหนักหน่วง
สีหน้าของนางซีดเผือด และนางเดินโผเผไปข้างหน้า ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงเบา “ตามนางไป และดูว่าเกิดอะไรขึ้น!”
ทั้งสามคนรีบติดตามวิญญูชนสวรรค์หลิงผ่านทะเลผู้คนตรงหน้า มีผู้คนอยู่ทุกหนทุกแห่งในราชวังข้าง และพวกเขาก็ล้วนแต่จมในความเศร้า ครึ่งเทพบางคนก็กำลังมองไปรอบๆ บนท้องฟ้า
“ทำไมจู่ๆ วิญญูชนสวรรค์อวี้ก็ตาย”
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ผู้ฝึกวิชาเทวะไม่อาจสังหารตัวตนแบบเขาได้ จะสังหารเขานั้นก็มีแต่ครึ่งเทพหรือเทพบรรพกาลลงมือ ข้าพูดถูกไหม”
ฉินมู่คิดถึงอีกเรื่อง และเขาใคร่ครวญ ทำไมวิญญูชนสวรรค์อวี้ถึงถูกสังหารเสียก่อนที่เขาจะประกาศวิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้า นอกเสียจากว่าการกำจัดเขาก็คือการกำจัดวิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้า!
วัวแก่กระซิบ “หรือว่าวิญญูชนสวรรค์อวี้จะแสร้งตาย หากว่าเขาแสร้งตาย เขาก็จะจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างครึ่งเทพ มนุษย์ และสภาสวรรค์…”
ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งส่ายหัว
วัวแก่ฉงน
ฉินมู่อธิบาย “การแสร้งตายต่อหน้าสภาสวรรค์นั้นไร้ความหมาย มีภูติบดีและเทพสรรพชีวิตอยู่ เขาไม่มีทางแสร้งตายได้อย่างแน่นอน ดวงวิญญาณของเขาไม่มีทางหลบหนีไปจากการควบคุมของแดนใต้พิภพ และเขาก็จะไม่สามารถหลบซ่อนจากสายตาของเทพสรรพชีวิต เขานั้น…ตายไปแล้วจริงๆ”
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเขาต้องการจุดชนวนความขัดแย้ง เขาก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งตาย มีเหตุผลมากกว่าที่เขาจะเผยแพร่วิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้าออกไป และนั่นก็เพราะว่าหลังจากที่มันถูกเผยแพร่ออกไป มันก็จะเกิดความขัดแย้งระหว่างเทพใหม่และเทพบรรพกาลอย่างแน่นอน ความขัดแย้งนี้จะยิ่งสั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป นี่คือปัญหาของการแบ่งผลประโยชน์ เทพเจ้าใหม่ต้องการผลประโยชน์มากขึ้น และเทพบรรพกาลก็อิดออดที่จะปล่อยผลประโยชน์ในมือออกไป ความขัดแย้งจะทวีขึ้นมาโดยธรรมชาติ เขานั้นเป็นผู้ฉลาดหลักแหลมขนาดนี้ ดังนั้นเขาจะต้องไม่ใช้วิธีการแสร้งตายอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการแสร้งตาย…”
เขาไม่กล่าวต่อ เหมือนจะมีสิ่งตะขิดตะขวงใจบางอย่าง
แต่ทว่า ฉินมู่ไม่สนใจและเสริมความให้ครบถ้วนแทน “ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการแสร้งตาย เขาก็จะไม่ต่างจากการส่งตำแหน่งผู้นำออกไป เขาจะไม่ทำเรื่องที่เกิดผลประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยการเสียสละผลงานอันเหนื่อยยากของตนไปหรอก”
จักรพรรดิก่อตั้งส่งสายตาอันเต็มไปด้วยความกังวลให้แก่เขา เขากล่าวด้วยเสียงเบา “ถึงอย่างไร พวกเราก็เป็นคนนอก พวกเราไม่ควรพัวพันกับยุคสมัยนี้ พวกเราเพียงแค่มายังยุคสมัยนี้ได้ไม่กี่วัน แต่ข้าสัมผัสได้แล้วว่ามีความมืดมิดที่โถมทะลักมาและอันตรายก็ห้อมล้อมอยู่ทุกซอกมุม”
ฉินมู่ส่ายศีรษะและกล่าว “ด้วยการดำรงอยู่ในอดีต พวกเราได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว ไม่ว่าเราจะทำอะไรลงไป เมื่อพวกเรากลับไปยังสมัยปัจจุบัน พวกเราก็จะตระหนักว่าสิ่งที่พวกเราทำลงไปในอดีตนั้นเป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นผ่านพ้นแล้ว”
เส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหน้าผากของจักรพรรดิก่อตั้ง และเสียงของเขาก็ค่อนข้างแหบพร่า “เจ้าอยากจะก่อเรื่องอีกแล้วหรือ เจ้าจะต้องบังคับให้ข้าลงมือกับเจ้าให้ได้ใช่ไหม”
วัวแก่ไม่รู้ว่าเขากำลังคุยกันเรื่องอะไรและงงงันอย่างถึงที่สุด
แต่ทว่าฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งต่างก็เข้าใจซึ่งกันและกันดี ที่พวกเขาพูดถึงการให้ผลประโยชน์แก่ผู้อื่น และความมืดที่โถมทะลักมานั้นล้วนแต่หมายถึงใครบางคน
ที่พวกเขาหมายถึงก็คือว่า หลังจากวิญญูชนสวรรค์อวี้ตายไปใครจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด
เมื่อการปฏิรูปตายจาก และไม่มีเส้นทางที่จะบรรลุเป็นเทพเจ้า เทพบรรพกาลทั้งหลายคือกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด
วิญญูชนสวรรค์อวี้มุ่งหน้าผลักดันอย่างไม่ลดละ และในเมื่อเขาต้องคอยต้อนรับผู้คนที่มาร่วมงานชุมนุม เขาก็จะต้องคอยประสานงานทั้งกับครึ่งเทพและมนุษย์ และแม้กระทั่งต้องคอยวิ่งเต้นทางสภาสวรรค์ด้วย ดังนั้นเขาจึงยากที่จะมีเวลาพักผ่อน
เขาพักอยู่ในศาลาวายุแผ่วในตึกน้อยสระหยก และในตอนนี้ ศาลาวายุแผ่วก็เต็มไปด้วยผู้คน วิญญูชนสวรรค์หั่วและโอรสหยินสวรรค์กำลังเฝ้าอยู่หน้าประตู และวิญญูชนสวรรค์หั่วก็มีสีหน้าเศร้าโศกและโกรธแค้น เขาถลึงตาจ้องทุกๆ คนและไม่ให้พวกเขาก้าวเข้าไป
วิญญูชนสวรรค์หลิงเบียดเข้าไปข้างหน้าและถามด้วยเสียงแหบพร่า “มันจริงไหม”
วิญญูชนสวรรค์หั่วสะอื้นและผงกหัว “พวกเขาล้วนแต่อยู่ข้างใน วิญญูชนสวรรค์โยวพยายามเรียกดวงวิญญาณมาเพื่อดูว่าจะช่วยชีวิตเขาคืนกลับมาได้ไหม วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวได้ถวายฎีกาแก่จักรพรรดิสวรรค์เพื่อเชื้อเชิญภูติบดีให้คืนดวงวิญญาณของเขา…”
ฉินมู่มองไปที่โอรสหยินสวรรค์ โอรสหยินสวรรค์ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า เหมือนกับว่าเขาไม่รู้หนทางไปต่อและกำลังเหม่อลอย
ม่านตาของเขาหดแคบลงอย่างรวดเร็วเมื่อจ้องมองไปที่มือของตนเอง น้ำตาสองหยดหยาดลงไปบนฝ่ามือ
วิญญูชนสวรรค์หลิงถลันเข้าไปในศาลาวายุแผ่ว ฉินมู่ จักรพรรดิก่อตั้ง และวัวแก่ก็กะจะเข้าไปในข้างในศาลาวายุแผ่ว แต่พวกเขาก็ถูกวิญญูชนสวรรค์หั่วขวางเอาไว้ โอรสหยินสวรรค์ได้สติกลับมาและก็รีบยกมือขึ้นขวางทาง เขากล่าวอย่างขอโทษขอโพย “พี่ฉิน พี่มู่ วิญญูชนสวรรค์อวี้ได้เสียชีวิตอยู่ข้างใน พวกเจ้าเข้าไปไม่ได้…”
“วิญญูชนสวรรค์หั่ว ให้พวกเขาเข้ามา”
เสียงของวิญญูชนสวรรค์หลิงดังมา “ความสำเร็จในมรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเขาสูงล้ำ พวกเขาอาจจะพบเบาะแส!”
วิญญูชนสวรรค์หั่วลังเล เขาลดมือลง จ้องไปที่ฉินมู่ด้วยดวงตาแดงก่ำและกล่าว “หากเจ้าสามารถหาเบาะแสใดได้ ข้าจะไม่เกลียดเจ้าอีกต่อไป”
ฉินมู่ผงกศีรษะและกล่าว “ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
พวกเขาเดินเข้าไปในศาลาวายุแผ่ว ศาลานั้นสร้างอยู่กลางทะเลสาบบนเกาะ มันลอยอยู่เหนือทะเลสาบ และข้างล่างคือคลื่นใหญ่บนผิวทะเลสาบ สถานที่นี้ดูโอ่อ่าสง่างามเป็นอย่างยิ่ง
นั่นก็เพราะว่านี่คือสถานที่พักอาศัยของจักรพรรดินีฟ้า ดังนั้นศาลาวายุแผ่วจึงใหญ่โตกว่าสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ มากนัก ข้างในยังคงกว้างขวางอย่างยิ่งอีกด้วย
ฉินมู่และพวกเขาทั้งสามเดินเข้าไปในเรือนศาลาแห่งนี้ และพวกเขาเห็นเลือดอยู่บนพื้น หน้าต่างถูกพังออกไป และก็มีร่องรอยทักษะเทวะหลงเหลือไว้บนกำแพง ศพของวิญญูชนสวรรค์อวี้นอนแผ่อยู่ตรงข้ามหน้าต่าง หัวของเขาตกห้อย และแขนขาของเขาก็อ่อนเปลี้ย
วิญญูชนสวรรค์ฮ่าว วิญญูชนสวรรค์อวิ๋น วิญญูชนสวรรค์เยว่ และวิญญูชนสวรรค์โยวล้วนแต่อยู่ที่นี่ วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวกำลังจูงสุนัขสวรรค์ที่กำลังสูดจมูกดมไปรอบๆ
วิญญูชนสวรรค์โยวยกมือของเขาขึ้นมา และปราณชีวิตของเขาก็แผ่พุ่งไป เขายกศพของวิญญูชนสวรรค์อวี้ขึ้นไปบนอากาศสูงจากพื้นดินสามคืบ
หน้ากากมารข้างหลังชายหนุ่มผู้นี้เริ่มต้นร่ำไห้ แต่ใบหน้าของวิญญูชนสวรรค์โยวยังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม
ฉินมู่มองไปยังวิญญูชนสวรรค์อวี้ที่กำลังลอยอยู่ และกระดูกทั่วทั้งร่างของเขาก็หักไปจนหมดสิ้น ไม่มีชิ้นไหนที่ยังคงอยู่ดี บางคนคงจะฟาดทุบกระดูกของเขาด้วยกำลังอันหนักหน่วง เมื่อเขาลอยร่องแร่งในอากาศ ก็ให้ความรู้สึกของความช่วยเหลือตนเองไม่ได้
“จากบาดแผลภายนอก ผู้ที่โจมตีเขามิได้มีเพียงคนเดียว”
ฉินมู่เดินไปรอบๆ วิญญูชนสวรรค์อวี้และตรวจตราบาดแผล เขาไม่ได้เข้าไปใกล้เกินไป แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นอาการบาดเจ็บบนร่างกายของเขาได้ชัด
“แต่ทว่าอาการบาดเจ็บสาหัสที่สุดมิได้มาจากกระดูกหัก แต่มาจากข้างหลังหัวใจของเขา ใครบางคนจู่โจมเขาจากข้างหลังอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว และสร้างบาดแผลสาหัสให้แก่เขา”
ฉินมู่เดินอ้อมไปช้าๆ และภาพก็ค่อยๆ ก่อเป็นรูปร่างในความคิดของเขา คนผู้นั้นจู่โจมจากข้างหลังโดยฉับพลัน และเพราะว่าเขาเกรงว่าจะหลงเหลือร่องรอยเอาไว้ เขาจึงมิได้ใช้ทักษะเทวะที่ดีที่สุดที่เขามี ในทางตรงข้าม เขาใช้กำลังดิบของกายเนื้อ
ด้วยการจู่โจมครั้งแรก เขาได้ใช้พละกำลังอันน่าสะพรึงกลัวเพื่อบดขยี้หัวใจของวิญญูชนสวรรค์อวี้ จากนั้นเขาก็หลบการโจมตีและรีบอ้อมมาข้างหน้าวิญญูชนสวรรค์อวี้!
ด้วยชุดการโจมตีที่ระดมไปยังกายเนื้อ มันก็เหมือนค้อนใหญ่ที่ฟาดทุบกายเนื้อของวิญญูชนสวรรค์อวี้ และบดขยี้กระดูกเขาเป็นชิ้นๆ!
“ร่องรอยทักษะเทวะบนกำแพงศาลาวายุแผ่วเป็นของวิญญูชนสวรรค์อวี้”
ฉินมู่มองไปที่กำแพง วิญญูชนสวรรค์อวี้คงจะต้องเชื่อใจคนผู้นั้นอย่างถึงที่สุด ดังนั้นอีกฝ่ายจึงมีโอกาสลอบโจมตีเขา
ยิ่งไปกว่านั้น วรยุทธของพวกเขาทั้งสองก็คงไม่แตกต่างกันมากมาย วรยุทธของวิญญูชนสวรรค์อวี้สูงกว่าเล็กน้อย แต่กายเนื้อของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าเขา เขาโจมตีกลับไป แต่เขาสูญเสียความได้เปรียบไปแล้วและถูกบดขยี้หัวใจจนแหลกเหลว ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายตรงข้ามก็เข้ามาประชิดตัวเขา
การที่ถูกยอดฝีมือสำนักวิชาบู๊เข้าประชิดตัวได้ นั่นจะน่าสะพรึงกลัวสักเพียงไหน
ตัวฉินมู่เองก็ฝึกวิชาบู๊ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจประเด็นนี้อย่างชัดแจ้ง
“แต่ทว่าสิ่งที่คร่าชีวิตของวิญญูชนสวรรค์อวี้ไปจริงๆ มิใช่อาการบาดเจ็บบนกายเนื้อ”
ฉินมู่สะท้านใจเล็กน้อย เลือดหยดหนึ่งลอยเข้ามา และชั้นวงจรพยุหะก็หมุนวนในแก้วตาของเขา เขาเปิดเนตรถึงสวรรค์ชั้นแปด และอักษรรูนทักษะเทวะขนาดเล็กจิ๋วข้างในเลือดก็ถูกปัดออกมา
นั่นคือร่องรอยที่หลงเหลือจากทักษะเทวะของฝ่ายตรงข้าม
วิญญูชนสวรรค์อวี้ไม่มีร่องรอยของทักษะเทวะเวทมนตร์ในร่างเนื้อของเขา แต่มีอักษรรูนทักษะเทวะในโลหิต นี่แสดงว่าถึงอย่างไรศัตรูก็ใช้ทักษะเทวะ แต่ทักษะเทวะนี้มิได้พุ่งเป้าจู่โจมที่กายเนื้อ ดังนั้นอะไรกันที่ทักษะเทวะพุ่งเป้าจู่โจม
ทันใดนั้นภาษาใต้พิภพอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนก็ดังออกมา และฉินมู่ก็หัวใจหวั่นไหว เขามองไปยังวิญญูชนสวรรค์โยว
ชายหนุ่มผู้นี้กำลังขับเคลื่อนทักษะเทวะใต้พิภพ และร่ายสวดภาษาใต้พิภพโบราณด้วยพยายามที่จะอัญเชิญดวงวิญญาณของวิญญูชนสวรรค์อวี้มา เรียกดวงวิญญาณเขาคืนกลับจากแดนใต้พิภพ
ภาษาใต้พิภพของเขาไม่แย่ แต่มันก็ยังคงบกพร่องไปบ้างสำหรับหูของฉินมู่ เพราะถึงอย่างไรวิญญูชนสวรรค์โยวก็ยังไม่ทันได้เข้าไปในแดนใต้พิภพและกลายเป็นราชันศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์
ดวงตาของวิญญูชนสวรรค์โยวแดงฉานดุจโลหิต และภาษาใต้พิภพที่ออกมาจากปากของเขาก็ยิ่งสับสนมากขึ้นทุกที แม้ว่าสีหน้าของเขาจะเยือกเย็น แต่หัวใจของเขาก็ปั่นป่วนดุจมรสุม
หัวใจของเขาว้าวุ่นไปหมด และยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จเชี่ยวชาญก็ยังคงตื้นเขิน ต่อให้หัวใจของเขาไม่ปั่นป่วน เขาก็ยังไม่อาจอัญเชิญดวงวิญญาณของวิญญูชนสวรรค์อวี้กลับมาจากแดนใต้พิภพได้อยู่ดี
“ข้ายังคงทำไม่ได้…”
วิญญูชนสวรรค์โยวพลันกระอักเลือดออกมาและคุกเข่าลงไปกับพื้น เขาเริ่มชักกระตุกและส่งเสียงวี้ๆ ออกมาจากในคอ เขากัดฟันข่มมันเอาไว้
“ข้ายังคงไม่สามารถ!”
เขาคู้ตัวและร่างก็สั่นเทิ้ม สะอื้นไปทั้งคอ “ข้ายังทำไม่ได้ ข้าไม่อาจช่วยแม่ของข้าได้ ข้าไม่อาจช่วยพี่ใหญ่ ข้าไม่สามารถทำอะไรได้เลย…”
เขานั้นเฉยชากับทุกคน แม้แต่กับวิญญูชนสวรรค์อวี้ เขาไม่เคยเผยความรู้สึกกับเขาเลยสักนิด แต่กระนั้นก็เป็นวิญญูชนอวี้ที่คอยดูแลเขามาโดยตลอด
เขาได้ถือว่าวิญญูชนอวี้เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ในโลกของเขามาตั้งนานแล้ว
ในตอนนั้นเอง เสียงอันอบอุ่นก็ดังขึ้นในจิตคิดของเขา “ข้าจะพูด ให้เจ้ากล่าวตาม”
วิญญูชนสวรรค์อวี้สะดุ้ง และเขาก็ได้ยินเสียงดังในหัวของเขาอีก นั่นคือภาษามารใต้พิภพที่ทั้งโบราณและบริสุทธิ์อย่างสุดแสน มันลึกล้ำและอัศจรรย์เสียจนเขารู้สึกราวกับว่าภูติบดีได้จุติลงมาด้วยตนเอง
วิญญูชนสวรรค์อวี้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง และสวดท่องไปพร้อมๆ กับเสียงนั้น ปราณมารใต้พิภพไหลกลิ้งออกมาจากบริเวณโดยรอบ และพื้นของศาลาวายุแผ่วก็กลายเป็นความมืด เผยให้เห็นมิติอวกาศอันลึกล้ำ
นั่นคือแดนใต้พิภพ
เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งแดนใต้พิภพ และค้นหาดวงวิญญาณของวิญญูชนสวรรค์อวี้
ในสายตาของทุกๆ คนในศาลาวายุแผ่ว วิญญูชนสวรรค์โยวมิได้ดูเหมือนชายหนุ่มอีกต่อไป ในทางกลับกัน เขาเหมือนกับเทพเจ้าที่ควบคุมหลักกฎแห่งแดนใต้พิภพ และกำลังเรียกคนตายให้ย้อนคืนมา!
จักรพรรดิก่อตั้งหัวใจสะท้าน และเขามองไปยังฉินมู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขารู้สึกได้ว่าสำนึกรู้ของฉินมู่กำลังส่งคลื่นกระเพื่อมออกไป และมันก็เป็นการเชื่อมต่ออันมหัศจรรย์
เขาสัมผัสได้ว่าสำนึกรู้ของฉินมู่กำลังเชื่อมต่อกับวิญญูชนสวรรค์โยว!
มรรคา วิชา และทักษะเทวะของวิญญูชนสวรรค์โยวก่อนหน้านั้นยังคงหยาบกร้าน และเขาไม่สามารถติดต่อกับแดนใต้พิภพได้ แต่ทว่าในบัดนี้ เขาถึงกับสามารถส่งเสียงของเขาให้ก้องสะท้อนไปทั่วแดนใต้พิภพ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพราะตัววิญญูชนสวรรค์โยวเอง แต่เป็นฉินมู่ที่กำลังถ่ายทอดทักษะเทวะใต้พิภพอันลึกซึ้งให้แก่เขาอย่างลับๆ
เขาถึงกับรู้ทักษะเทวะใต้พิภพ เขายังรู้อะไรอีก
ขณะที่จักรพรรดิก่อตั้งคิดมาถึงตรงนี้ ประตูก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากความมืด ประตูน้อมสวรรค์ตั้งตระหง่านอยู่ในเก๋งศาลา และเผยปราณมารอันเยียบเย็น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็ถอนหายใจ และตัดการเชื่อมต่อกับวิญญูชนสวรรค์โยว
ดวงวิญญาณของวิญญูชนสวรรค์โยวมิได้อยู่ในแดนใต้พิภพ ดวงวิญญาณของเขา…แตกสลายไปแล้ว ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทักษะเทวะจากบุคคลที่สังหารเขามีไว้ทำอะไร
หัวใจเขามืดหม่น เพื่อทำลายดวงวิญญาณของเขา
วิญญูชนสวรรค์โยวพลันร้องออกมาเหมือนสัตว์ป่าที่คลุ้มคลั่ง เขาสะกดข่มเสียงของตนเองเอาไว้ และชักกระตุกอยู่กับพื้นด้วยฟองที่ฟอดออกมาจากปาก
ฉินมู่ก้าวออกไป และนิ้วของเขาก็จี้ลงตามจุดต่างๆ อย่างรวดเร็วเพื่อรักษาดวงจิตเขาให้มั่นคง เขาพยุงอีกฝ่ายลุกขึ้นมาและให้นั่งพิงประตูเอาไว้
“ขอบคุณ…” วิญญูชนสวรรค์โยวกล่าวอย่างแผ่วเบาขณะที่กุมมือของฉินมู่เอาไว้ และมองไปยังทะเลสาบนอกประตู
ฉินมู่ตะลึงไป
วิญญูชนสวรรค์โยวเงยศีรษะขึ้นและจ้องมองใบหน้าเขาด้วยสายตาว่างเปล่า “ขอบคุณ”
ในศาลาวายุแผ่ว เสียงของวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวดังมา “ตอนนี้เมื่อวิญญูชนสวรรค์อวี้ตายไปแล้ว ชุมนุมสระหยกจะทำอย่างไรต่อ”
จักรพรรดิก่อตั้งมาที่ข้างหลังฉินมู่และกระซิบ “ใครก็ตามที่ถ่ายทอดวิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้าในงานชุมนุม นั่นคือฆาตกร”
ฉินมู่ค่อยๆ ยืดหลังตรง และเสียงของวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวก็ดังมา “เมื่อหลายวันก่อน วิญญูชนสวรรค์อวี้ได้ถ่ายทอดวิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้าให้แก่ข้า แม้ว่าเขาจะพบกับชะตากรรมอันเคราะห์ร้าย แต่มรดกของเขาก็จะถูกสืบทอดต่อไป และพัฒนาไปสู่จุดสูงส่ง!”
หางตาของฉินมู่กระตุกแล้วกระตุกอีก เขาหันศีรษะกลับไปด้วยความยากลำบาก
มือใหญ่กดลงมาที่บ่าของเขา มันทั้งมั่นคงและแข็งแกร่ง
จักรพรรดิก่อตั้งข่มเสียงของเขาเอาไว้และกล่าว “นี่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา!”
“ในโลกนี้ไม่มีความเที่ยงธรรมอีกต่อไปแล้วหรือ” ฉินมู่เผยยิ้มอันดูไม่เหมือนยิ้ม สีหน้าร่ำไห้ที่ดูไม่เหมือนร่ำไห้