ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 744 หนุ่มชุดเขียวผู้สัตย์ซื่อกำลังจร
“การบุกเบิกปราสาทสวรรค์นั้นจะต้องอาศัยการขับเคลื่อนพลานุภาพของเทพเจ้าในกายเนื้อ”
บนแท่นบูชา ฉินมู่ใช้ปราณชีวิตของเขาเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นภาพปรากฏการณ์ภายในสมบัติเทวะ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จุดแสงสว่างขึ้นมาในสมบัติเทวะทารกวิญญาณของเขา และเสียงของเขาก็ดังก้องไปทั่วทั้งโถงหลักแห่งราชวังข้าง เขานั้นกล่าวไปด้วยความเยือกเย็นและสงบนิ่ง “สมบัติทารกเทวะวิญญาณ เทพครองดาวมหาตะวัน และเทพครองดาวมหาจันทรา”
ในภาพปรากฏการณ์ของสมบัติเทวะเหล่านี้ ดาวห้าธาตุจุดสว่างขึ้นมาติดๆ และเทพครองดาวธาตุทั้งห้าก็ยืนอยู่บนดวงดาวแต่ละดวงของตน
“สมบัติเทวะห้าธาตุ! เทพครองดาวเสาร์ เทพครองดาวอังคาร เทพครองดาวพฤหัสบดี เทพครองดาวศุกร์!”
“สมบัติเทวะหกทิศ! พระแม่ธรณี แผ่นปฐพีที่โอบอุ้มทุกสรรพสิ่ง!”
“สมบัติเทวะเจ็ดดาว! ดาวทั้งเจ็ดมาเรียงร้อย ผสานพลังอำนาจของเทพเจ้าทั้งเจ็ด!”
“สมบัติเทวะชาวสวรรค์! ดวงดาราบนฟากฟ้า เทพครองดาวแห่งดาวทั้งหลาย หยิบยืมพลังจากเทพสรรพชีวิต!”
“สมบัติเทวะเป็นตาย! อันก็เป็นแดนใต้พิภพ เทพผู้ควบคุมดวงวิญญาณ หยิบยืมพลังจากภูติบดี!”
“สมบัติเทวะสะพานเทวะ! จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้าในเหล่าทวยเทพ!”
…
ฉินมู่ใช้ปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นภาพปรากฏการณ์ของทักษะเทวะ แสงรัศมีจากเทพเจ้าทั้งหลายส่องสว่าง และนั่นก็คือการที่เขาหยิบยืมพลังอำนาจจากเทพเจ้ามากมาย จิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้ฝึกวิชาเทวะได้เป็นภาพแทนตัวจักรพรรดิฟ้า ผู้ควบคุมพลังอำนาจทั้งหมด
“เมื่อเจ้าบรรลุถึงขั้นนี้ หยิบยืมพลังแห่งสภาสวรรค์เพื่อให้ทวยเทพกลับคืนสู่ตำแหน่ง โน้มนำพลังอำนาจแห่งสภาสวรรค์ เพื่อประทับรอยปราสาทสวรรค์ของเจ้า!”
ฉินมู่กู่ร้องด้วยเสียงอันดัง ในภาพเงาของสมบัติเทวะทั้งหลาย เทพเจ้าเหล่านั้นให้ยืมพลังอำนาจ และพลังอำนาจดังกล่าวก็ยิ่งเติบโตมากขึ้นทุกที ประตูสวรรค์ทักษิณ สระหยก แท่นประหารเทพ อัครนครหยก ตำหนักชิดฟ้า และบัลลังก์จักรพรรดิแห่งสภาสวรรค์โบราณ ล้วนแต่หลอมสร้างขึ้นมาด้วยพลังอำนาจแห่งเทพบรรพกาลทั้งหลาย พวกเขาเหนี่ยวนำพลังอำนาจขึ้นไป และมันก็ค่อยๆ ก่อรูปขึ้นมาเป็นปราสาทสวรรค์ตรงหน้าสะพานเทวะ
ทุกคนมองไปยังภาพนี้ด้วยความตะลึงงัน รอบข้างเงียบกริบ ไม่มีผู้ใดพูดจา
ปราสาทสวรรค์ถูกบุกเบิกออกมาเช่นนั้น เขตขั้นอันยิ่งใหญ่และไพศาลอีกเขตขั้นหนึ่ง อันเต็มไปด้วยทิวทัศน์อัศจรรย์ตระการก็ได้คลี่คลายออกมาต่อหน้าต่อตาทุกผู้คนเช่นนี้
นี่คือวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ วีรกรรมอันจะทำให้มนุษย์และเทพเจ้าขึ้นไปทัดเทียมกัน
เขตขั้นวรยุทธที่ทำให้พวกเขาสามารถย่างกรายสู่ยุคสมัยอันเป็นตำนาน
ผ่านไปนาน ใครบางคนก็โห่ร้องขึ้นมา “วิญญูชนสวรรค์อวี้!”
“วิญญูชนสวรรค์อวี้!”
“วิญญูชนสวรรค์อวี้!”
มีผู้คนโห่ร้องยินดีไปทุกหนแห่ง และเสียงของพวกเขาก็เขย่าสะเทือนท้องฟ้า
วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวมองไปที่ภาพเหล่านี้ด้วยความตะลึงงัน และหัวใจของเขาก็เกิดเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย ข้าไม่มีพลังอันแข็งแกร่งที่จะเรียกหาผู้สนับสนุนได้มากขนาดนี้…หากว่าเขาไม่ใช่วิญญูชนสวรรค์อวี้ เขาจะล่วงรู้วิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้าได้อย่างไร หรือว่า…
ความคิดอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา และเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา วิญญูชนสวรรค์อวี้ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือ นี่มันไม่ถูกต้อง นี่มันไม่ถูกต้อง ข้าสังหารเขาไปแล้วชัดๆ และหยินเฉาจิ่นก็ทำลายดวงวิญญาณของเขา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยังมีชีวิตอยู่? ยิ่งไปกว่านั้นตัวตนผู้นั้นก็ได้ยืนยันเรื่องนี้แล้ว ตัวตนนั้นไม่มีทางผิดพลาดไปได้…
เขารู้สึกขนหัวลุกจนเต็มเหยียด หากว่าวิญญูชนสวรรค์อวี้ยังมีชีวิตอยู่ ทำไมวิญญูชนสวรรค์อวี้ไม่สังหารเขาไปเลยตรงๆ
หรือว่าวิญญูชนสวรรค์อวี้กริ่งเกรงตัวตนที่อยู่เบื้องหลังเขา
หรือว่าวิญญูชนสวรรค์อวี้มีแผนการที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น
ในโลกแห่งนี้ มีไม่กี่คนที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้ และวิญญูชนสวรรค์อวี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตรงหน้าวิญญูชนสวรรค์อวี้ เขารู้สึกตลอดเวลาว่าตัวเขานั้นด้อยกว่า และแม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์อันเหนือธรรมดา แต่เมื่อใดที่เห็นวิญญูชนสวรรค์อวี้ เขาก็รู้สึกเป็นรองอยู่เสมอ
ดังนั้น เขาจึงต้องกำจัดอีกฝ่าย เขาจะต้องกำจัดวิญญูชนสวรรค์อวี้ เพื่อขจัดเทพเจ้าในหัวใจของเขา
และบัดนี้ เทพเจ้าที่ทำให้เขาอึดอัดหายใจไม่ออก ก็ได้กลับมาแล้วงั้นหรือ
เขาต้องตาย! วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวคิดในใจ
ในตอนนั้นเอง เสียงของฉินมู่ก็ดังมา “วิญญูชนสวรรค์ฮ่าว ตาเจ้าแล้ว”
ฉินมู่ร้องเรียกอยู่หลายหน วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวถึงเพิ่งได้สติ และเค้นรอยยิ้มออกมา เขาเริ่มต้นพูดและบรรยายต่อจากวิธีการบุกเบิกปราสาทสวรรค์ของฉินมู่ เพียงแต่ว่าเขาใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และมักจะหยุดชะงักเป็นระยะๆ ระหว่างที่พูด
“หลังจากวิธีการบุกเบิกปราสาทสวรรค์ของพี่อวี้ ผู้ฝึกก็จะสามารถบรรลุการทัดเทียมกับเทพเจ้าได้ พวกเขาสามารถเป็นผู้อมตะ แต่ทว่านี่ยังเป็นเพียงความสำเร็จในชั้นต้นเท่านั้น ยังมีบททดสอบอีกหลายขั้นที่รออยู่ข้างหน้า เพราะว่าพวกเรากำลังหยิบยืมพลังอำนาจจากเทพบรรพกาลและสภาสวรรค์ พวกเราจึงต้องคืนมันกลับไป หรือมิเช่นนั้นก็คือชะตาที่ลิขิตไว้ล่วงหน้า การทดสอบแรกจะเป็นประตูสวรรค์ทักษิณ ก็มีแต่เมื่อข้ามประตูสวรรค์ทักษิณไป ผู้ฝึกจึงจะสร้างความเสถียรภาพให้แก่ปราสาทสวรรค์ของตน”
“ขั้นนี้คือการหยิบยืมพลังแห่งสภาสวรรค์เพื่อเปลี่ยนสิ่งเท็จให้กลายเป็นจริง”
…
วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวตั้งสติให้มั่นคงได้อย่างรวดเร็ว และกล่าวถึงวิธีการฝีกปรือแห่งประตูสวรรค์ทักษิณที่วิญญูชนสวรรค์อวี้ได้บอกแก่เขา
วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวมิได้ฝึกปรือไปถึงประตูสวรรค์ทักษิณ และวิญญูชนสวรรค์อวี้ก็ยังไปไม่ถึงเช่นกัน แต่ทว่า ในฐานะผู้ก่อตั้งแห่งระบบปราสาทสวรรค์ เขาก็ได้วิเคราะห์กำหนดบางเขตขั้นได้อย่างแน่นอน ความรู้ของเขาในเขตขั้นนี้บรรลุจุดสูงล้ำอันน่าตื่นตระหนก
วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวได้แต่นำคำพูดของวิญญูชนสวรรค์อวี้มาบอกทวนอีกครั้ง
ฉินมู่สานต่อ และบอกเล่าถึงวิธีการฝึกปรือขั้นสระหยก หลังจากสระหยก วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวก็พูดถึงอันตรายในแท่นประหารเทพ
จากนั้นฉินมู่ก็กล่าวถึงแง่อัศจรรย์ในการฝึกปรือจนถึงขั้นอัครนครหยก แล้ววิญญูชนสวรรค์ฮ่าวก็พูดถึงขั้นตำหนักชิดฟ้า
เมื่อเขากล่าวจบ ฉินมู่ก็พูดถึงขั้นบัลลังก์เทวะ และเสร็จสิ้นเจ็ดขั้นวรยุทธใหญ่
จักรพรรดิก่อตั้งหัวใจตกวูบ ‘หลังจากสิ้นสุดเจ็ดมหาขั้นวรยุทธแห่งปราสาทสวรรค์ มู่ชิงนั้นคงจะลงมือสังหารเขา ใช่ไหม เขานั้นได้ยืนยันตนเองในฐานะวิญญูชนสวรรค์อวี้แล้ว ดังนั้นหากว่าเขาชี้ไปว่าวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวและโอรสหยินสวรรค์เป็นฆาตกรที่สังหารเขา ฝูงชนที่โกรธเกรี้ยวก็จะฉีกทึ้งทั้งคู่ให้เป็นชิ้นๆ! แต่โอรสหยินสวรรค์ไม่ตายในอนาคต งั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครตาย อะไรที่เปลี่ยนแปลง…
ขณะที่เขาคิดถึงตรงนี้นี่เอง เสียงหัวเราะของวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวก็ดังมาจากแท่นบูชา “พี่อวี้ทิ้งเขตขั้นวรยุทธสุดท้ายให้ข้าอธิบาย ดังนั้นข้าจะฝืนเข้ามารับบรรยายแทนท่านสักหน่อย พวกเรามาสนทนาถึงเขตขั้นที่อยู่เหนือบัลลังก์จักรพรรดิ สภาสวรรค์…”
จักรพรรดิก่อตั้งจิตคิดกระเจิดกระเจิงไปหมด เขาเบิกดวงตากว้างด้วยความไม่เชื่อหู!
เขตขั้นที่แปด!
มันมีถึงเขตขั้นที่แปด!
เขาไม่เคยได้ยินเขตขั้นสภาสวรรค์เหนือเขตขั้นบัลลังก์จักรพรรดิมาก่อน!
หนิวซานตัวหัวโล่งว่าง จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่มีบันทึกถึงเขตขั้นวรยุทธนี้เลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งข่าวลือก็ไม่เคยมี!
วิญญูชนสวรรค์อวี้…
บนแท่นสังเวย สีหน้าฉินมู่หมองหม่น เขาคิดในใจ เจ้านั้นสมกับเป็นวิญญูชนสวรรค์อวี้อย่างแท้จริง ข้ายังเทียบไม่ได้กับเขา ความตายของเขานั้นน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง…บุคคลเช่นนี้ไม่ควรถูกกลบฝังไปในประวัติศาสตร์!
บนแท่นบูชา การอธิบายของวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวทั้งสะดุดและเต็มไปด้วยความผิดพลาด แต่เขาก็ได้อธิบายภาพรวมของมันอย่างคร่าวๆ ปราสาทสวรรค์นั้นเป็นเพียงแค่ปราสาทหนึ่งในสภาสวรรค์ และสภาสวรรค์ยังคงมีสามสิบหกราชวังสวรรค์ เพื่อเหนือล้ำไปกว่าขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ ก็จะต้องก่อสร้างสภาสวรรค์ และบุกเบิกสามสิบหกราชวังสวรรค์!
เมื่อมาถึงเขตขั้นสภาสวรรค์ มันก็จะเป็นการก้าวหน้าและพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ!
กระนั้นก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับเขตขั้นนี้ในอนาคต และเห็นได้ชัดว่ามันสูญหายไปกับประวัติศาสตร์
วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวอธิบายเสร็จสิ้น และหน้าแดงด้วยความอาย “ทุกท่าน นี่ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะพูดให้คลุมเครือ แต่พี่อวี้ก็บอกข้าว่ายังมิได้บุกเบิกเขตขั้นนี้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน พี่อวี้ ข้าพูดถูกไหม”
ฉินมู่ลุกขึ้นยืน และสีหน้าของเขาไร้อารมณ์ มันเป็นความเยือกเย็นที่น่าสะพรึงกลัว “ถูกต้องแล้ว สภาสวรรค์ ขั้นวรยุทธนั้นลึกล้ำจนเกินไป ข้าเองก็ยังไม่ทันตรึกตรองเข้าใจมันก่อนที่ข้าจะมาตกตาย”
เหงื่อเม็ดเป้งผุดจากหน้าผากของวิญญูชนสวรรค์ฮ่าว เขาลอบก้าวถอยออกไปหนึ่งก้าว และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่อวี้ก็ฟื้นคืนชีพกลับมาแล้วมิใช่หรือ คำพูดว่าก่อนที่เจ้าจะมาตกตายนั้นดูดุดันเกินไป ท่านแม่ของข้านับถือเจ้ามาเสมอ และนางก็จะต้องยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
ความหมายแฝงเร้นของถ้อยคำเขาก็คือว่าให้วิญญูชนสวรรค์อวี้อย่าปากโป้งไปในเรื่องนี้และยังชี้ไปถึงตัวตนที่อยู่เบื้องหลังเขา
แต่ทว่า เขาไม่รู้ว่าฉินมู่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
วิญญูชนสวรรค์อวี้อาจจะใส่ใจกับอรรถประโยชน์อันยิ่งใหญ่ แต่ฉินมู่มิใช่วิญญูชนสวรรค์อวี้!
แม้แต่จักรพรรดิก่อตั้งก็ไม่อาจเปลี่ยนใจฉินมู่ได้ แล้วประสาอะไรกับมารดาของวิญญูชนสวรรค์ฮ่าว
ในขณะนั้นเอง เทพบรรพกาลตนหนึ่งก็เหาะมา และป่าวประกาศด้วยเสียงอันดัง “นามของสภาสวรรค์ถูกกำหนดแล้ว! ฝ่าบาทได้ตัดสินใจเลือกสรรนามสำหรับสภาสวรรค์ด้วยกันกับเทพสรรพชีวิตและภูติบดี!”
ราชวังข้างพลันมีเสียงอึกทึกอึงคะนึง และผู้คนก็กรูกันออกไป พวกเขาได้ยินเสียงของเทพบรรพกาลตนนั้นส่งมาเหนือศีรษะของพวกเขา และลอยจากไปยังที่ไกลๆ “สภาสวรรค์จะขนานนามว่าหลงฮั่น! ปีนี้จะเป็นปีแรกแห่งศักราชหลงฮั่น!”
จักรพรรดิก่อตั้งและวัวแก่ หัวใจสะท้านหวั่นไหวอย่างรุนแรง ยุคสมัยหลงฮั่นได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ
สามสวรรค์หลงฮั่น นี่คือเริ่มจากตอนนี้อย่างนั้นหรือ
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย เพลงกล่อมเด็กจากโลกลอยเลื่อนแสงฉาน สามสวรรค์หลงฮั่น แสงฉานแยกเป็นสอง
วันนี้คือวันที่พวกเขาย่างเข้าสู่ยุคสมัยหลงฮั่นอย่างเป็นทางการ!
เขามีความรู้สึกประหลาดพิลึกในหัวใจ อะไรคือประวัติศาสตร์
นี่แหละคือประวัติศาสตร์
เขานั้นกำลังอยู่ในประวัติศาสตร์ และเป็นเงาร่างหนึ่งที่แฝงฝังอยู่ในยุคสมัย
และในเงาร่างนี้ ในสภาสวรรค์อันยิ่งใหญ่ไพศาล มีผู้คนเฉลิมฉลองกันทุกหนทุกแห่ง เทพเจ้าผู้ยิ่งยงยืนอยู่บนสถานที่อันสูงล้ำ และพวกเขาก็แย้มยิ้มเมื่อมองลงมายังผู้คนที่เฉลิมฉลองกันอย่างสุขสันต์เบื้องล่าง
ครึ่งเทพเหาะอยู่บนอากาศด้วยกันกับมังกรและนกหงส์เพลิงอันเป็นสัญลักษณ์แห่งโชควาสนา ทุกคนล้วนแต่วิ่งออกไปและเผยแพร่ข่าวนี้บนแม่น้ำสวรรค์ บนเรือสำราญคู่รักคู่หนึ่งอยู่ในอ้อมกอดซึ่งกันและกันเพื่อมองดูไปที่ทักษะเทวะอันกุก่องตระการบนฟากฟ้า พวกมันคือทักษะเทวะที่ถูกปลดปล่อยออกมาโดยผู้คนซึ่งกำลังตื่นเต้น และพวกเขาก็ได้แต่งแต้มสีสันให้กับสภาสวรรค์
รูปเงาในประวัติศาสตร์นี้ ได้เป็นภาพแสดงถึงการเริ่มต้นของยุคทอง
กระนั้นในขณะนี้ ก็มีผู้คนน้อยเหลือเกินที่จะจดจำวิญญูชนสวรรค์อวี้ พวกเขาล้วนแต่รื่นเริงสำราญ แล้วใครกันจะมานั่งจดจำถึงผู้คนที่ผลักดันยุคสมัยนี้ให้เข้าสู่ยุคทอง บุคคลที่ตายไปแล้วในโลงศพและไม่มีวันได้เห็นยุคทองที่กำลังจะมาถึง
โลกนี้ ไม่มีคุณธรรมความดีอีกต่อไปแล้วหรือ
ในการเฉลิมฉลอง ฉินมู่มองลงไปที่มือทั้งสองของเขาและเริ่มต้นหัวเราะในคอ จักรพรรดิก่อตั้งกล่าวถูกต้อง เรื่องนี้ไม่ต้องการความยุติธรรม ไม่มีคุณธรรมความดี ประวัติศาสตร์ไม่ต้องการให้ข้ามาผดุงความเป็นธรรมให้ แต่ทว่า…
เขาเงยศีรษะขึ้นและมองไปยังท้องฟ้าที่ครึกครื้นไปด้วยสรรพเสียงและความตื่นเต้น เสียงหัวเราะในคอของเขาดังขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นการระเบิดหัวเราะด้วยเสียงอันดัง
แต่วิญญูชนสวรรค์อวี้ต้องการ วิญญูชนสวรรค์ต้องการความเป็นธรรม…
ประวัติศาสตร์ไม่ต้องการความเป็นธรรม แต่ผู้คนในประวัติศาสตร์ต้องการความเป็นธรรม…
เขาคว้าคอเสื้อของตน และโยนเสื้อนอกสีม่วงที่เป็นของวิญญูชนสวรรค์อวี้ลงไป เสื้อม่วงนั้นลอยอยู่ในอากาศ และล่องไปยังผู้คนที่กำลังเฉลิมฉลอง
หัวอกของเขาอัดแน่นไปด้วยเพลิงพิโรธ และเขาเงยหน้าหัวเราะสู่ท้องฟ้า เขาหัวร่อจนสุดจิตสุดใจและระบายความขุ่นข้องทั้งหมดออกไป
ประวัติศาสตร์ไม่มอบความเป็นธรรมให้พวกเขา แต่แม่มันเถอะ ข้าสามารถมอบให้ได้! ข้าแม่งสามารถมอบความเป็นธรรมบัดซบนี้ได้!
ข้าเองก็ต้องการความเป็นธรรมโคตรแม่มัน…
เขาอยากจะร่ำสุรายิ่งนัก เขาอยากที่จะกอดไหสุราและดื่มให้สาแก่ใจเหมือนคนแล่เนื้อ ดื่มจนกระทั่งเมามายเหมือนเถียนฉู่ เพื่อยกมีดออกไปเข่นฆ่า!
แม้ว่าเขาจะไม่เมาสุรา แต่ก็ดื่มด่ำในอารมณ์ขณะที่ก้าวเดินไปยังวิญญูชนสวรรค์ฮ่าว
วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวเบียดแทรกผ่านผู้คน และพยายามที่จะหลบเลี่ยงเขา
จักรพรรดิก่อตั้งและวัวแก่ชมดูความตื่นเต้นของผู้คนอยู่ข้างนอก และในตอนนั้นเอง เสื้อคลุมม่วงก็ลอยไปกับสายลม มันลอยตรงไปยังสระหยกและร่วงลงกับทะเล
“เสื้อม่วงของวิญญูชนสวรรค์อวี้!”
จักรพรรดิก่อตั้งตื่นตระหนก และเขารีบเหลียวหลังกลับไป เขาคว้ามือของวัวแก่และกล่าวอย่างรีบร้อน “มู่ชิงอยู่ที่ไหน มู่ชิงอยู่ที่ไหน”
วัวแก่ก็มองหาเขาด้วยความร้อนรน “เมื่อครู่นี้เขายังอยู่บนแท่นบูชาอยู่เลย เขาน่าจะยังอยู่ในโถงหลักใช่ไหม”
“ตอนที่เทพบรรพกาลประกาศนามหลงฮั่น เขาก็เดินออกไปจากโถงหลักแล้ว!”
จักรพรรดิก่อตั้งลากวัวแก่ไปข้างหน้าและกล่าวอย่างว้าวุ่น “เขาได้ถอดเสื้อออก เพราะหมายที่จะสังหารในระหว่างความโกลาหล! ไป ไปเร็วเข้า! พวกเราจะต้องตามหาตัวเขาก่อนที่เรื่องจะปะทุขึ้นมา!”
วัวแก่ขับเคลื่อนพลังวัตร และจักรพรรดิก่อตั้งก็ลอยตามเขาไปอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ ทั้งสองคนเหาะเหินไปบนอากาศ
“พลังวัตรของเจ้าตื้นเขินเกินไป ให้ข้าพาเจ้าไปด้วยเอง!”
วัวแก่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “คอยมองดูในฝูงชนข้างล่าง พวกเราต้องหาตัวเขาให้พบ!”
จักรพรรดิก่อตั้งสอดส่ายสายตามองไปในบริเวณรอบๆ อย่างรีบร้อน และพยายามที่จะหาตัวฉินมู่
“หนุ่มชุดเขียวสัตย์ซื่อกำลังจร รั้นย้อนว่ามีลมเมียและผู้! ด้วยปราณยิ่งใหญ่หนึ่งหยด สำราญสดชื่นลมกระแสสันต์!”
ฉินมู่รู้สึกแต่ว่าร่างกายของเขาอุ่นร้อนขึ้นและอุ่นร้อนขึ้น โลหิตเขาฉีดพล่านไปด้วยความดุดัน ข้าอยากที่จะเป็นเช่นท่านปู่คนแล่เนื้อ มีดเร็ว สุราดี ตัดศีรษะได้เยี่ยม เหมือนกับเขา นำความห้าวหาญเปลี่ยนเป็นอาขยานในสนามรบ น่าเสียดายที่ข้าไม่มีพรสวรรค์ด้านกลอนกวี! เขานั้นเป็นบัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่ เปิดเปลือยจิตใจด้วยบทกวีและบทกวีของเขาก็เสริมส่งดาบสวรรค์ เพื่อสะบั้นศีรษะสุกรอย่างเร็วรี่! ข้ายังคงเทียบไม่ได้
เขาติดตามวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวไปถึงผิวทะเล สัตว์ใหญ่ และเต่ายักษ์แหวกว่ายไปมาใต้ผิวมหาสมุทร และมีก็แต่ปลายักษ์บางตัวที่เหาะเหินไปมาบนอากาศ
พวกเหล่านั้นคือครึ่งเทพ ทายาทของเทพบรรพกาล
วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวเดินต่อไปข้างหน้า และก็มีครึ่งเทพเข้ามาห้อมล้อมเขามากขึ้นทุกที
ฉินมู่เองก็ก้าวต่อไป
แต่มีดของข้าเร็วดุจเดียวกัน!
หมัดของข้าหนักหน่วงเช่นกัน!
เมื่อมาถึงเรื่องสังหารคนชั่ว ข้าไม่มีทางชักช้าไปกว่าท่านปู่คนแล่เนื้อ!