ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 750 เรื่องอดีตไม่น่าจดจำ
รอยประทับเดิมบนป้ายประกาศิตที่บรรพจารย์ก่อตั้งทิ้งเอาไว้ค่อยๆ จางหายไป ป้ายประกาศิตเริ่มต้นที่จะเปล่งประกายและโปร่งแสงราวกับว่ามันเพิ่งจะหลอมสร้างขึ้นมาใหม่ๆ
ฉินมู่ตรวจดูอักขระและอักษรรูนด้วยสีหน้าพิลึกประหลาด พวกมันเป็นนิพนธ์จากยุคสมัยหลงฮั่นจริงๆ และถ้อยคำบนป้ายประกาศิตทองคำของวัวแก่กับบนป้ายประกาศิตนี้ก็ต่างกันเพียงแค่นิดเดียว
ฉินมู่ได้ย้อนเวลากลับไปยังปีศักราชแรกแห่งยุคสมัยหลงฮั่น และเขาก็ได้สัมผัสกับนิพนธ์และอักขระในยุคสมัยนั้น แม้ว่ามันจะมีความแตกต่างจากนิพนธ์ในอนาคตอยู่บ้าง เขาก็ยังคงอ่านออกเกือบทั้งหมด
นิพนธ์บนป้ายประกาศิตนี้เป็นอักษรผนึกแห่งนิพนธ์เทพ มันเป็นประเภทอักขระปักษา
นิพนธ์นี้บรรจุเอาไว้ด้วยแง่อัศจรรย์แห่งโลกหล้า และยังคงมีบางสำนักที่ฝึกปรือมรรคาอักษรรูนโดยใช้อักขระปักษา แต่ทว่า เมื่อเทียบกับนิพนธ์เทพที่แท้จริงแล้ว มันก็ยังแตกต่างกันอยู่บ้าง
เพราะถึงอย่างไร ยุคนี้ก็ห่างไกลจากปีศักราชแรกแห่งหลงฮั่นอยู่มาก นิพนธ์เทพพวกนี้จึงสูญหายไปนานแล้ว
ป้ายประกาศิตทั้งสองนั้นไม่เหมือนกัน ป้ายประกาศิตทองคำนั้นเป็นแม่ทัพที่พิทักษ์คุ้มกันอัครนครหยกแห่งปราสาทสวรรค์ สองคำนั้นถูกจารึกเอาไว้ด้วยหยางบนป้ายประกาศิต และพวกมันคือ “แม่ทัพทองคำ”
อีกด้านหนึ่งป้ายประกาศิตนี้ถูกจารึกเอาไว้ด้วยหยิน และเขียนไว้สองคำ “ขนนกไพร”
หน่วยองครักษ์ขนนกไพรแห่งสภาสวรรค์อย่างนั้นหรือ
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ หน่วยองครักษ์ขนนกไพรแห่งสภาสวรรค์แห่งไหน
มีสามสภาสวรรค์ในยุคสมัยหลงฮั่น และทุกๆ สภาสวรรค์ต่างก็มีหน่วยองครักษ์ขนนกไพรเป็นของตนเอง เพียงแค่ดูจากป้ายประกาศิตบัญชาทัพที่บรรพจารย์ก่อตั้งทิ้งเอาไว้ ก็ยากที่จะระบุได้แน่ชัดว่ามันมาจากสภาสวรรค์แห่งไหน
อักษรรูนข้างในป้ายประกาศิตบัญชาทัพนั้นเป็นวิชาบัญชาทัพที่ใช้บัญชาเทพเจ้า
วิชาบัญชาทัพนั้นเป็นวิชาพยุหะชนิดหนึ่งที่ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนที่ยังคงเชี่ยวชาญในวิชาบัญชาทัพเช่นนี้ หาได้ยากนักในปัจจุบัน
การปฏิรูปสันตินิรันดร์ของยุคสมัยนี้ ราชครูสันตินิรันดร์ก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิชาบัญชาทัพ โชคยังดีว่ามีเฒ่าบอดอยู่ ผู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเชิงพยุหะ และเขาก็ได้สะสางเรียบเรียงวิชาบัญชาทัพจำนวนหนึ่งให้แก่จักรวรรดิสันตินิรันดร์
ทำไมศิษย์พี่ใหญ่ถึงหมายที่จะทิ้งป้ายประกาศิตนี้เอาไว้ เขาได้มันมาจากที่ไหน มันจะต้องมีเหตุผลอันลึกล้ำอยู่เป็นแน่! บางทีนี่อาจจะเป็นป้ายประกาศิตบัญชาทัพจากสภาสวรรค์นอกโลก! ตราบเท่าที่ข้ารู้ว่ามันมาจากสภาสวรรค์แห่งไหน ข้าก็จะรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของสภาสวรรค์นอกโลก!
ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในหัวของฉินมู่ หรือว่าศิษย์พี่ก็ได้ย้อนเวลากลับไปยังยุคสมัยหลงฮั่นด้วยเหมือนกัน
เขาจึงส่ายศีรษะ ประกาศิตบัญชาทัพนี้โบราณเป็นอย่างยิ่ง หากว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้เดินทางย้อนเวลาไปยังยุคหลงฮั่นจริงๆและนำป้ายประกาศิตแห่งขนนกไพรกลับมา ป้ายนี้ก็จะต้องใหม่เอี่ยมอ่องเหมือนกับของวัวแก่
ป้ายประกาศิตได้กลับมาเป็นของใหม่ในตอนนี้ก็เพราะว่าป้ายของวัวแก่ได้กระตุ้นการทำงานของวิชาบัญชาทัพข้างใน ดังนั้นจึงลบริ้วรอยแห่งกาลเวลาออกไป แต่ถึงอย่างไร ป้ายประกาศิตก็คงจะต้องผ่านวันปีอันยาวนานถึงครำคร่าอย่างที่เห็นได้
เว้นก็แต่ว่า เขาได้เดินทางย้อนเวลาไปยังยุคสมัยหลงฮั่นและมิได้กลับมาอีก
ฉินมู่มีความรู้สึกประหลาดพิสดารในหัวใจ แต่เขาก็รีบปฏิเสธความคิดนั้นเสีย การอนุมานเช่นนี้มันเกินจริงจนเกินไป หากว่าบรรพจารย์ก่อตั้งมิได้กลับมา นี่ไม่แปลว่าเขาไปอยู่ในสถานที่ที่เป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนไปชั่วนิรันดร์หรอกหรือ
สถานที่เช่นนี้จะมีอยู่ได้อย่างไร
มันอาจจะมีอยู่บ้าง
สีหน้าของเขาแปลกพิลึก แดนปริศนาเป็นกลางวันตลอดเวลา และสภาสวรรค์เทพบรรพกาลก็เป็นเวลากลางวันตลอดเช่นกัน แดนใต้พิภพเป็นกลางคืนตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่มีการเปลี่ยนผันของทิวาราตรี หากว่าศิษย์พี่ใหญ่อยู่ในแดนปริศนา แดนใต้พิภพ หรือสภาสวรรค์เขาก็จะสามารถอยู่ในอดีตต่อได้ ทำไมข้าต้องคิดอะไรไปถึงขนาดนี้ด้วยล่ะ ศิษย์พี่ใหญ่ไม่รั้งอยู่ในอดีตกาลหรอก
เขาระเบิดหัวเราะออกมา จากนั้นก็เก็บป้ายประกาศิตบัญชาทัพขนนกไพรกลับไป เขาเดินตรงไปยังหน้าผาขาดด้วยกันกับวัวแก่และครุ่นคิดในใจ วิชาบัญชาทัพในอักษรรูนนี้ ใช้เพื่อควบคุมหน่วยองครักษ์ขนนกไพร แต่ทว่า ข้าไม่รู้ว่าหน่วยองครักษ์ขนนกไพรนี้มาจากสภาสวรรค์แห่งไหนกันแน่ บางทีสภาสวรรค์แห่งนั้นอาจจะถูกทำลายล้างไปแล้ว ป้ายประกาศิตอาจจะไม่มีประโยชน์ใดๆ แต่ข้าสามารถมอบวิชาบัญชาทัพให้แก่ท่านปู่บอด เขาสามารถศึกษาค้นคว้ามันได้
วัวแก่หลีกเลี่ยงแม่น้ำหย่งที่อยู่ใต้หน้าผา เขาดูจะหวาดกลัวแม่น้ำหย่งเป็นอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่ซานตัว เดิมทีครูบาสวรรค์วิชาบู๊ต้องการเพียงให้ท่านมาส่งข้าไปยังโลกหยินสวรรค์ และโลกหยินสวรรค์ก็อยู่ข้างใต้หน้าผานี่เอง”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านกลับไปได้แล้วล่ะ ไม่จำเป็นต้องส่งข้าไกลไปกว่านี้ ข้าจะไปยังโลกหยินสวรรค์เพื่อดูๆ ก่อนว่าพี่สาวตี้อี้เยว่ได้ตัดสินใจไปหรือยัง”
วัวแก่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและส่ายศีรษะ “ข้าไม่อยากจะกลับไปเลยจริงๆ นายผู้เฒ่าเป็นคนที่น่าเบื่อมาก เขารู้จักแต่จะฝึกวรยุทธอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และข้าก็ได้แต่สูบกล้องยาและดื่มชา เมื่อข้าเบื่อหน่ายขึ้นมา ข้าก็จะไปไถนาในท้องทุ่ง ข้าตามเจ้าไปรู้สึกดีกว่า ตราบเท่าที่เจ้าไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย ก็นับว่าน่าสนใจกว่าคอยอยู่ข้างๆ นายผู้เฒ่า”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากว่าครูบาสวรรค์วิชาบู๊รู้ว่าข้าลักพาตัวท่านไป เขาจะไม่ต่อยข้าจนตายงั้นหรือ”
วัวแก่ระเบิดหัวเราะฮาๆ และลุกขึ้นยืน เขาไขว้กีบเท้า “เขากล้าหรือ แม่ทัพทองคำแห่งสภาสวรรค์โบราณอยู่ที่นี่แล้ว เขาจะกล้าบังอาจทำอะไรได้อีก”
ทั้งสองคนหัวเราะด้วยเสียงอันดัง
ฉินมู่เดินเข้าไปในโลกหยินสวรรค์กับเขา และหนิวซานตัวก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราพบกับเทพีหยินสวรรค์ในสภาสวรรค์หลงฮั่น นางมีกำลังฝีมืออันเหนือธรรมดา ข้าสงสัยจริงว่าเทพีหยินสวรรค์จะยังคงจดจำพวกเราได้หรือไม่”
พวกเขามายังโลกหยินสวรรค์และพบเห็นบัณฑิตมากมายจากสันตินิรันดร์กำลังก่อสร้างเก๋งศาลาและตึกรามราวกับว่าพวกเขาวางแผนจะตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่อย่างถาวร ทั้งยังมีบัณฑิตบางคนที่ฝึกปรือทักษะเทวะแห่งโลกหยินสวรรค์ แต่เทพีหยินสวรรค์มิได้อยู่ที่นี่
ฉินมู่ฉงนฉงายและถามไปรอบๆ บัณฑิตคนหนึ่งตอบ “จ้าวลัทธิ เทพีหยินสวรรค์ได้ออกไปเยี่ยมเยียนสหายเก่าของนาง นางได้ออกไปนานแล้วหลายวัน”
“ราชาสวรรค์เถียนฉู่และราชาสวรรค์ตี้ได้ผ่านทางมาหรือไม่”
“ข้าไม่เห็นพวกเขา”
ฉินมู่จึงได้แต่ออกมาจากโลกหยินสวรรค์ พึมพำกับตนเอง “เทพีหยินสวรรค์ได้ออกไปเยี่ยมเยียนสหายเก่า? นางตายในยุคสมัยหลงฮั่น ดังนั้นสหายเก่าของนางก็น่าจะเป็นเทพบรรพกาล ข้าสงสัยเสียจริงว่านางไปเยี่ยมเยียนเทพบรรพกาลตนใด”
หนิวซานตัวยกร่างเขาขึ้นแบกบนหลัง และวิ่งไปตลอดทาง ไม่นานพวกเขาก็มาถึงอีกฟากหนึ่งของสวรรค์ไท่หวง ฉินมู่หันกลับไปมองและเห็นเรือตะวันและเรือจันทราใหญ่มหึมาหกถึงเจ็ดลำบนสวรรค์ไท่หวง พวกมันกำลังเดินไปในท้องฟ้า
และในสวรรค์หลัวฝู ก็มีเรือตะวันและเรือจันทรา ฉายส่องให้แสงสว่างแก่สวรรค์หลัวฝู ทำให้ทุกสิ่งสามารถเจริญงอกงาม
ในตอนนั้นเอง ก็ถึงกับมีเมืองมากมายอยู่บนทั้งสวรรค์ไท่หวงและสวรรค์หลัวฝู น่าจะเป็นเทพเที่ยงแท้ผางอวี้และฟู่ยื่อลัวที่เป็นคนนำเหล่าผู้รอดชีวิตมาสร้างบ้านแปงมาตุภูมิของพวกเขาขึ้นมาใหม่
“ราชครูจัดการเรื่องเร็วจริงๆ!”
ฉินมู่ชื่นชมอย่างเต็มปาก พวกเขามาถึงเมืองเขตมังกรในเวลาบ่ายแก่ๆ
ที่นั่นมีผู้ฝึกวิชาเทวะหลายคนกำลังเกี่ยวข้าว หนิวซานตัวมองเห็นแล้วก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว และวิ่งไปกรุยไถนาตั้งหลายทุ่ง ฉินมู่เรียกเขากลับมาตั้งหลายครั้ง กว่าที่วัวแก่จะผละออกมาจากทุ่งนาอย่างอิดออด เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุด ข้าก็ได้สมใจสักที ข้าอดกลั้นไม่ไปไถนามาตลอดช่วงเวลาหลายวันนี้!”
พวกเขาเดินเข้าไปในเมือง และเข้าไปในยมโลกผ่านระหว่างเป็นตาย พวกเขาได้ยินเสียงกึกก้องกัมปนาทดังมา และฉินมู่ก็ยืนอยู่บนสะพานเพื่อมองไป เขาเห็นทั้งยมโลกสะท้านสะเทือนอย่างไม่หยุดหย่อน และแผ่นดินในความมืดก็แผ่ขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง กระผีกชิ้นแห่งฟ้าและดินกำลังถูกบุกเบิกออกไปตามๆ กันไป!
ตี้อี้เยว่ ราชาสวรรค์เถียนฉู่ และท้าวยมราชกำลังขับเคลื่อนวิชาฝีมือของตนเพื่อแผ่ขยายดินแดนแห่งยมโลก เพลิงมารพวยพุ่งออกมาจากพื้นดินอย่างต่อเนื่องและเชื่อมต่อกับแม่น้ำจนปัญญา
พื้นดินสะท้านหวั่นไหว และภูเขามหึมาก็แทงทะลุขึ้นมาจากปฐพี มิติอวกาศแห่งยมโลกกำลังขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง
ฉินมู่จ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง และไม่เข้าใจว่าเขากำลังมองเห็นอะไร
“ยมโลกเป็นเขาของภูติบดี มันเป็นโลกมิติหนึ่ง และยังเป็นสมบัติวิเศษ”
วัวแก่มีความรู้มากกว่า และเขารู้เหตุผลกลใน “หากว่าเขาของภูติบดีถูกหลอมสร้างไปเป็นสมบัติวิเศษ มันก็จะมีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่พิสดาร และมันก็จะกลายเป็นศาสตราวุธอันเหนือธรรมดา ในครั้งกระโน้น นายผู้เฒ่าวางแผนที่จะหักเขาของภูติบดีมาทำดาบ แต่หลังจากที่เขาเข้าไปในแดนใต้พิภพ เขาก็ถูกราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์กระทืบออกมา ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์ไล่ล่าเขามาอย่างกัดไม่ปล่อย แต่โชคดีว่าข้าได้แบกนายผู้เฒ่าวิ่งหนีไปข้างในแดนปริศนา แบบนั้นนายผู้เฒ่าถึงรอดชีวิตมาได้”
ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ ครูบาสวรรค์วิชาบู๊ยังอุตส่าห์มีเรื่องในอดีตที่ไม่น่าจดจำแบบนั้นด้วย?
“ความสามารถอีกอย่างของเขาภูติบดีก็คือการเปลี่ยนรูปเป็นโลกมิติอันไพศาล”
วัวแก่กล่าวต่อไป “ถึงอย่างไร ท้าวยมราชก็เป็นรุ่นเยาว์ เขาไม่รู้พลังอำนาจที่แท้จริงของเขาภูติบดี ยมโลกเดิมนั้นคับแคบจนเกินไป หากว่ามันสามารถถูกคลี่คลายออกไปได้โดยสมบูรณ์ มันก็จะกว้างใหญ่เสียยิ่งกว่าสวรรค์ไท่หวงและสวรรค์หลัวฝูรวมกันเสียอีก”
ตี้อี้เยว่ ราชาสวรรค์เถียนฉู่ และท้าวยมราชแปลงร่างเป็นเทพเจ้าผู้น่าเกรงขามอันเดินดุ่มไปในความมืด พวกเขาฟาดมุทราออกไปทุกหนแห่ง และมิติอวกาศก็ขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง พื้นดินเคลื่อนไหว และภูเขาก็สั่นสะท้าน มันน่าตื่นตระหนกอย่างแท้จริง
ฉินมู่ถึงกับรู้สึกว่ามีหลักกฎบางอย่างที่กำลังแข็งแกร่งขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น นั่นคือหลักกฎแห่งแดนใต้พิภพ และแม้ว่ายมโลกจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของเขาภูติบดี แต่หลักกฎแดนใต้พิภพที่บรรจุอยู่ข้างในนั้น น่าแตกตื่นอย่างไร้ปานเปรียบ!
“ในอดีต แดนเป็นของคนตายไม่อาจสะกดข่มเทพเที่ยงแท้และยอดฝีมือขั้นสระหยกได้ แต่ในตอนนี้ แม้แต่เทพเจ้าในขั้นสระหยกก็จะถูกสะกดข่มและกลับกลายเป็นโครงกระดูก”
เขาสำรวจดูอย่างละเอียด และวิชามุทราของผู้คนทั้งสามนั้นก็มาจากแดนใต้พิภพจริงๆ ท่ามกลางพวกเขา ราชาสวรรค์เถียนฉู่ก็ยังเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญที่สุด และไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงได้รับการแต่งตั้งเป็นราชาสวรรค์แดนบาดาลจากภูติบดี ความสำเร็จเชี่ยวชาญของเขาในทักษะเทวะใต้พิภพนั้นลึกล้ำและยากจะคาดคะเนอย่างแท้จริง
ราชาสวรรค์เถียนฉู่แบกดาบเทวะประตูจักรพรรดิมา พลางยกมือขึ้นและเตะขาออกไปด้วยบรรยากาศอันเขื่องโขโอหัง
“เถียนฉู่เมาแล้ว”
ฉินมู่มองดูและกล่าวไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ “ถ้าเขาไม่เมา ไม่มีทางเขื่องโขโอหังขนาดนั้นได้หรอก”
ตี้อี้เยว่และท้าวยมราชนั้นอ่อนหัดกว่าเล็กน้อยเมื่อพวกเขาขับเคลื่อนวิชามุทราไป จึงเห็นได้ชัดว่าเถียนฉู่เพิ่งจะถ่ายทอดวิชามุทราให้แก่พวกเขา พวกเขาเพิ่งจะเรียนมันได้เมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจขับเคลื่อนมันได้ดังใจคิด
“ถึงอย่างไร ท้าวยมราชก็เชี่ยวชาญในมรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งแดนใต้พิภพ ดังนั้นเขาย่อมสามารถเรียนวิชามุทราของราชาสวรรค์เถียนฉู่ได้ แต่ทว่า ทำไมพี่สาวตี้อี้เยว่ก็สามารถเรียนรู้มันได้ด้วยล่ะ”
ฉินมู่ฉงนใจและถาม “ศิษย์พี่ซานตัว ทำไมพี่สาวตี้อี้เยว่ถึงสามารถขับเคลื่อนทักษะเทวะทุกประเภทได้ หรือว่านางก็เป็นกายาจ้าวแดนดินด้วยเหมือนกัน”
วัวแก่ส่ายศีรษะ “นางจะเป็นกายาจ้าวแดนดินได้อย่างไร ราชาสวรรค์อันดับหนึ่งมีกายาพิเศษเฉพาะ มันคือกายาสรรพชีวิตอันไม่มีคุณสมบัติธาตุใดๆ ลือกันว่ากายาสรรพชีวิตนั้นเป็นกายาวิญญาณที่มีสายเลือดของเทพสรรพชีวิต ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นวิชาฝึกปรือใดที่พวกเขาร่ำเรียน พวกเขาก็จะสามารถสำเร็จเชี่ยวชาญมันได้โดยง่าย เมื่อครั้งกระโน้น จักรพรรดิก่อตั้งเต็มไปด้วยความคาดหวังในตัวนาง และลงทุนลงแรงอย่างหนักเพื่อจะทำให้จักรพรรดิทั้งสี่รับนางเข้าไปเป็นศิษย์”
“กายาสรรพชีวิตที่ครอบครองสายเลือดของเทพสรรพชีวิต?”
ฉินมู่ฉงนฉงาย และพลันเปิดใบหลิวที่หว่างคิ้วของเขาออก สำนึกรู้เทพอมตะของเขาพวยพุ่งเข้าไปในแผ่นดินรูปตัวฉินและถาม “เทพสรรพชีวิต ท่านรู้เกี่ยวกับกายาสรรพชีวิตหรือไม่”
ชายชราคิ้วขาวหนวดขาวพลันแตกตื่น “หนุ่มแซ่ฉิน เจ้าไปรู้อะไรมา”
ฉินมู่รีบรั้งสำนึกรู้เทพอมตะของเขากลับมา และแปะใบหลิวคืนกลับไปที่หว่างคิ้วของเขา เขาแย้มยิ้มและกล่าว “ลือกันว่าเทพสรรพชีวิตก็เที่ยงธรรมไร้ความลำเอียงเหมือนกับภูติบดี แต่ดูเหมือนว่าเขาก็จะมีเรื่องราวในอดีตที่ไม่น่าจดจำเช่นกัน”
“นอกจากกายาสรรพชีวิตแล้ว ก็ยังมีกายาใต้พิภพ”
วัวแก่กล่าวต่อ “กายาใต้พิภพนี้ น่าจะเกี่ยวพันกับภูติบดี ร่ำลือกันว่ามันมีสายเลือดของภูติบดี สายเลือดทั้งสองนี้หายากเป็นอย่างยิ่ง ราชาสวรรค์อันดับหนึ่งนั้นเป็นกายาสรรพชีวิต และจักรพรรดิก่อตั้งก็วางแผนที่จะตามหากายาใต้พิภพ แต่เขาไม่สามารถหามันพบ”
ฉินมู่ร้องออกมา “ภูติบดี? ภูติบดีก็มีอดีตแบบนั้นด้วยหรือ”
วัวแก่ส่ายศีรษะและกล่าว “ส่วนข้อเท็จจริงเป็นอย่างจริง ข้าก็ไม่รู้ ข้าเพียงแค่เคยได้ยินถึงกายาวิญญาณจำพวกนั้น”
ฉินมู่ตั้งสติตนเองและรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างพังทลายลงในหัวใจ
ทันใดนั้น ความมืดในแม่น้ำจนปัญญาข้างใต้สะพานก็กระเพื่อมขึ้น และใบหน้าอันสะคราญโฉมก็ค่อยๆ ปรากฏ นางมองไปยังฉินมู่ผู้ซึ่งอยู่บนสะพาน
ฉินมู่มองลงจากสะพานและเห็นหางงูยาวของหญิงงาม นางนั้นกวัดแกว่งหางไปมาในความมืดและเพลิงไฟ
ฉินมู่หัวใจโลดเต้น แต่ในเสี้ยวพริบตา เขาก็กลับมาสงบนิ่ง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลู่หลี?”
“ฉินเฟิงชิง” สาวงามนั้นก็เผยยิ้ม
“เจ้ามาหาพี่ชายข้าหรือ”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “รอสักเดี๋ยวสิ ให้ข้าเรียกพี่ชายข้าออกมาพบเจ้า”