ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 754 ตัวภาระหลันอวี้เถียน
แดนโบราณวินาศ หมู่บ้านพิการชรา
เมื่อรุ่งอรุณมาถึง ฉินมู่และผู้นำทางความตายก็นำวิญญูชนสวรรค์อวี้ไปยังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ นี่คือสถานที่อันฉินมู่เคยอยู่อาศัยมาก่อน และบัดนี้มันก็ถูกแม่ไก่มังกรเข้ายึดครอง
ในหมู่บ้าน ฉินมู่ต้มไก่และประกอบอาหารอื่นๆ อีกหลายจาน จากนั้นเขาก็ไปที่บ้านของคนแล่เนื้อเพื่อขุดเอาไหสุราที่ฝังอยู่ใต้เตียงออกมา
เขาได้ทานงานเลี้ยงภูตผีที่คฤหาสน์ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์ และมันไม่มีรสชาติเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกหิวโหยอดอยาก และยิ่งไปกว่านั้น วิญญูชนสวรรค์อวี้ก็เพิ่งฟื้นคืนชีพมา ดังนั้นเขาก็หิวอยู่หน่อยๆ ด้วยเช่นกัน
หลังจากมื้ออาหาร ฉินมู่และผู้เฒ่านำทางความตายก็มาที่แม่น้ำหย่งและเฝ้ามองแม่น้ำอันไหลรี่
ผู้เฒ่านำทางความตายกำลังปั้นทักษะเทวะและจะโยนมันลงไปในแม่น้ำเชี่ยว แต่ฉินมู่ก็รีบหยุดเขาเอาไว้ เขาส่ายศีรษะและกล่าว “ในแม่น้ำหย่งมีสิ่งมีชีวิตมากมาย และยังมีราชามังกรแม่น้ำหย่งอีกด้วย ดูเจ้าสิว่าตอนนี้แข็งแกร่งขนาดไหน เจ้าจะปลิดชีวิตทุกสิ่งในแม่น้ำไปหมดหรืออย่างไร”
ผู้เฒ่านำทางความตายคิดอยู่หน่อยหนึ่งจึงค่อยสลายทักษะเทวะของตน “สาเหตุที่เขาเป็นเช่นนี้ เพราะว่าเขาขาดหายบางส่วนของดวงวิญญาณ หรือว่าเขาความจำเสื่อม?”
ฉินมู่หันกลับไปมา เห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นเมื่อแม่ไก่มังกรรวมตัวกันไล่กวดวิญญูชนสวรรค์อวี้ วิญญูชนสวรรค์อวี้ถูกจิกจนเลือดโซมไปหมด เขานั้นดูน่าเวทนาเมื่อในที่สุดก็ถูกแม่ไก่มังกรจิกตีลงไปกับพื้น
แม่ไก่มังกรตัวผู้หลายตัวขึ้นไปยืนบนตัวชายหนุ่มและโก่งคอขันรับตะวันเช้า
ผู้เฒ่านำทางความตายถอนหายใจ และปั้นทักษะเทวะอีกก้อน ก่อนที่จะสลายมันไปอีกครั้ง “ดูเขาสิ เขาเหมือนเดิมที่ไหนกัน ในอดีต วิญญูชนสวรรค์อวี้เต็มไปด้วยประกายจรัสและชีวิตชีวา เขานั้นทั้งเสรีและเบาสบาย กระนั้นในตอนนี้ แม้แต่แม่ไก่มังกรก็ยังกล้ารังแกเขา”
ฉินมู่ลุกขึ้นเพื่อไล่ตะเพิดแม่ไก่มังกรไป วิญญูชนสวรรค์อวี้รีบคลานลุกขึ้นมาปัดฝุ่นและขนไก่ที่ติดอยู่ตามเนื้อตัวของเขา
“ข้าเองก็มองไม่เห็นสาเหตุการสูญเสียความทรงจำของเขา ดวงวิญญาณของเขาขาดหายบางอย่าง แต่ส่วนที่หายไปนั้นไม่ถึงหนึ่งในสิบของดวงวิญญาณ แต่อีกด้านหนึ่ง สามวิญญาณและเจ็ดจิตของเขายังคงอยู่ดี”
ฉินมู่พึมพำกับตนเอง “ข้าคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าพวกเขากลับไปที่แดนใต้พิภพและถามภูติบดีว่าดวงวิญญาณที่หายไปของเขานั้นอยู่ที่ไหน หากว่าค้นพบดวงวิญญาณส่วนนั้น แต่ความทรงจำของเขาก็ยังคงไม่กลับมา นั่นคงเป็นปัญหาที่หัวของเขาแล้วล่ะ”
ผู้เฒ่านำทางความตายพยักหน้า เขาเห็นวิญญูชนสวรรค์อวี้ถูกแม่ไก่มังกรไล่ต้อนไปที่มุม และนั่งคู้ตัวกุมหัวเอาไว้
“หากว่าเขาไม่ฟื้นคืนความทรงจำกลับมา เขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไรในโลกอันโหดร้ายนี้” ผู้เฒ่านำทางความตายส่ายศีรษะ
ฉินมู่เดินเข้าไป และเขาก็ยกมือขึ้นเพื่อแปรเปลี่ยนริ้วทางเพลิงให้เป็นมังกรอัคคีอันกระโจนขย้ำและขับไล่แม่ไก่มังกรกระเจิงไป
วิญญูชนสวรรค์อวี้เห็นสถานการณ์ และดวงตาของเขาก็เป็นประกาย เขากล่าวด้วยความปีติยินดี “วิธีนี้เยี่ยมจริงๆ!” หลังจากที่กล่าวเช่นนั้น เขาก็สะบัดมือ
แม่ไก่มังกรรอบๆ เขาที่กำลังย่องเข้ามาใกล้ เมื่อพวกมันเห็นท่าทางมือของเขาก็รีบหลบ แต่เมื่อพวกมันเห็นว่าไม่เกิดอะไรขึ้น ก็โมโหขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าจิกตีอีกครั้ง
วิญญูชนสวรรค์อวี้รีบสะบัดมืออีกหน และริ้วทางไฟก็พุ่งทะยานออกไปราวกับมังกร
แม่ไก่มังกรมากมายแตกกระเจิงไปทั่วทิศทาง และมีตัวหนึ่งที่หลบหนีไปได้ไม่ทันกาล มันถูกเผาจนเกรียม และกลิ่นหอมเนื้อสุกก็ลอยออกมา
วิญญูชนสวรรค์อวี้ตกตะลึง และเขามองไปที่มือของตนเองด้วยความไม่เชื่อสายตา จากนั้นเขาก็วิ่งไปยังแม่ไก่มังกรที่ถูกเผาตาย และเริ่มร่ำไห้เพื่อไว้อาลัยแก่มรณกรรมของแม่ไก่มังกร
เขาอยากที่จะฝังศพแม่ไก่มังกร ดังนั้นเขาจึงขุดหลุมศพไปร่ำไห้ไป แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกว่ากลิ่นหอมนั้นยั่วยวนใจเหลือเกิน เขาจึงแอบกัดดูคำหนึ่ง เขาทั้งปาดน้ำตาและกินเนื้อไก่ไปในเวลาเดียวกัน ปล่อยหลุมที่เขาเพิ่งขุดทิ้งไว้อย่างนั้น จากนั้นก็โยนกระดูกไก่ลงไปในหลุม
ฉินมู่และผู้เฒ่านำทางความตายหันมามองกันและกัน เห็นความตื่นตระหนกที่ฉายในแววตาของแต่ละฝ่าย
“นั่นคือทักษะเทวะอักษรรูนอัคคีของเทพครองดาวอังคารหรือ” ผู้เฒ่านำทางความตายถาม
ฉินมู่ผงกศีรษะ “แม้ว่าโครงสร้างอักษรรูนอัคคีของเทพครองดาวอังคารจะไม่ซับซ้อน แต่ความสำเร็จเชี่ยวชาญของข้าสูงล้ำ อักษรรูนถูกข้าย่อขนาดลงไปอย่างสุดขีดขั้ว และก็ยากที่ผู้อื่นจะมองเห็นแง่อัศจรรย์ภายในนั้นได้”
ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าว “แต่ทว่า เขามองเห็นมัน และเรียนรู้มันได้”
ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงเบา “วรยุทธของเขามิได้สาบสูญไปอย่างสิ้นเชิง มันยังมีเหลืออยู่บ้าง แต่ใจความสำคัญที่สุดก็คือว่าปฏิภาณและพรสวรรค์ของเขานั้นล้ำเลิศท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง ข้าสงสัยว่า…”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าพิลึกประหลาด “วิญญูชนสวรรค์อวี้ก็เป็นกายาจ้าวแดนดิน”
ผู้เฒ่านำทางความตายพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าว “เขาไม่มีความทรงจำก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่า… สติของเขาดูเหมือนจะไม่ดีเท่าใดนัก เจ้าเคยเห็นใครร้องไห้ให้แก่ไก่ตายมาก่อนหรือเปล่า ร่ำไห้และกินมันไปพร้อมๆ กันด้วยเนี่ยนะ?”
ฉินมู่เด็ดหนวดหร็อมแหร็มของเขาออกมาเส้นหนึ่ง “ดูเหมือนจะไม่ดีจริงๆ…พวกเราไปหาภูติบดีก่อนเถอะ!”
ผู้เฒ่านำทางความตายผงกหัวและเรียกวิญญูชนสวรรค์อวี้มา เขาเพิ่งกินไก่ไปได้ครึ่งตัว และหิ้วอีกครึ่งหนึ่งมาด้วยสีหน้าละอายใจ
ฉินมู่และผู้เฒ่านำทางความตายจนปัญญา ทั้งสามคนขึ้นเรือน้อย และผู้เฒ่านำทางความตายก็โบกมือ วังน้ำวนสีดำปรากฏ และเรือก็แล่นเข้าไปในวังวนนั้น จากนั้นวังวนก็หายวับไป
“วิญญูชนสวรรค์อวี้ ทำไมเจ้าไม่กินแล้วล่ะ”
ผู้เฒ่านำทางความตายมองไปที่เขาและถาม “เจ้ารู้สึกเศร้าเพราะว่าเจ้าเพิ่งเผาเพื่อนเล่นจนตายและกินสหายของเจ้าเข้าไปหรือ”
“ข้าอิ่มแล้ว”
วิญญูชนสวรรค์อวี้กล่าวตอบไปอย่างสัตย์ซื่อ “ข้ากินเข้าไปอีกไม่ได้แล้ว ข้าคิดจะเอาไว้กินตอนที่หิวอีกที”
ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ เขาคิดในใจ ในอดีต วิญญูชนสวรรค์อวี้มากด้วยสติปัญญา แต่ตอนนี้เขากลับโง่เซ่อ วิญญูชนสวรรค์โยวคงจะต้องรับกรรมพาพี่ชายโง่เซ่อคนนี้ตระเวนไปทั่ว เขาอดไม่ได้ที่จะลิงโลดยินดีในความเคราะห์ร้ายของผู้อื่น
“วิญญูชนสวรรค์โยว สภาสวรรค์หลงฮั่นจากเมื่อครั้งนั้น ใครเป็นผู้ชนะ” ฉินมู่ถาม
ผู้เฒ่านำทางความตายลังเลไปครู่หนึ่งและปลดหน้ากากมารออกจากหลังศีรษะ เขาส่ายหัวและกล่าว “ข้าก็ไม่แน่ใจนัก เมื่อปลายยุคสมัยหลงฮั่น สภาสวรรค์ทั้งสามต่างก็อ้างตนว่าเป็นผู้เที่ยงแท้ ส่วนว่าใครได้รับชัยชนะไปในท้ายที่สุด ข้าไม่ทราบ ข้านั้นอยู่แต่ในแดนใต้พิภพ และน้อยนักที่จะออกไปยังโลกภายนอก เมื่อสภาสวรรค์ทั้งสามต่อสู้ช่วงชิงอำนาจนำ ข้าเองก็ต้องมาปวดหัวกับการออกไปเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ แต่ทว่า…”
เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “ครั้งหนึ่งวิญญูชนสวรรค์เยว่ได้มาหาข้าและบอกข้าว่าพันธมิตรสวรรค์พ่ายแพ้ วิญญูชนสวรรค์อวิ๋นเสียชีวิต และนางเองก็เตรียมที่จะซุ่มตัวกบดาน”
“วิญญูชนสวรรค์อวิ๋น?”
ฉินมู่ถาม “ใช่วิญญูชนสวรรค์อวิ๋นคนนั้นไหม”
ผู้เฒ่านำทางความตายผงกศีรษะ
ฉินมู่รู้สึกเหมือนถูกกระแทกด้วยความเศร้าสลด และหลังจากครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวด้วยความขมขื่น “หากว่าเขาไม่ได้เข้าร่วมพันธมิตรสวรรค์ บางทีเขาก็อาจจะไม่ตาย เขาถูกทำร้ายก็เพราะคำเพียงคำเดียวของข้า ข้า…”
“มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าว “นั่นคือตัวตนของวิญญูชนสวรรค์อวิ๋นอยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะได้รับการเทิดมงกุฎให้เป็นวิญญูชนสวรรค์ และไม่ค่อยจะพูดจาอะไรมากมาย แต่เขาเป็นคนที่มีหัวใจอบอุ่นมาก ครั้งหนึ่งวิญญูชนสวรรค์เยว่เคยกล่าวว่า ก่อนที่วิญญูชนสวรรค์หลิงจะเสนอแนะให้ก่อตั้งพันธมิตรสวรรค์ วิญญูชนสวรรค์อวิ๋นก็กำลังคิดที่จะรวบรวมผู้คนเที่ยงธรรมทั้งโลกหล้าเพื่ออวยวาสนาให้แก่เผ่าพันธุ์อยู่แล้ว วิญญูชนสวรรค์อวิ๋น…”
เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง และก้มหน้าคอตก “เขาเคยปลอมตัวเป็นวิญญูชนสวรรค์อวี้และยังปลอมตัวเป็นเจ้ากับวิญญูชนสวรรค์ฉิน ใช้ชื่อของเจ้าเพื่อผดุงความเป็นธรรม เขาถนอมรักษาความหวังแม้น้อยนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่นๆ เอาไว้ในโมงยามที่มืดมนที่สุด ในยุคสมัยหลงฮั่น ผู้คนตายไปมากมาย และในขณะเดียวกันนั้น เผ่ามนุษย์และเผ่าอื่นๆ ก็เกือบที่จะไม่อาจอยู่รอดได้อีกต่อไป เขาจึงได้แต่ทำเช่นนั้น…”
ฉินมู่ตะลึงงัน
“ภูติบดีน่าจะรู้ว่าสภาสวรรค์แห่งไหนได้รับชัยชนะ ใช่ไหม” เขาข่มระงับความปั่นป่วนในหัวอกและถาม
“ภูติบดีไม่มีทางพูดเรื่องนี้”
ผู้เฒ่านำทางความตายส่ายศีรษะ “ข้าเคยถามเขาแล้วครั้งหนึ่ง และเขาไม่ปริปาก แต่ทว่า หลังจากโมงยามแห่งความมืดมนนั้น ภูติบดีก็ยิ่งหดหู่กว่าเดิม เขาทำหน้าที่ที่เขาต้องทำและแทบจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของโลกภายนอก ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าฝ่ายไหนที่ผงาดขึ้นมาเป็นผู้ชนะ แต่ว่าข้าไม่เคยเห็นโฉมหน้าของผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์จักรพรรดิ”
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย “ไม่เคยเห็นโฉมหน้าของคนผู้นั้น?”
ผู้เฒ่านำทางความตายผงกศีรษะ และเรือน้อยก็แล่นลอยเข้าไปใกล้ภูติบดีมากขึ้นทุกที วิญญูชนสวรรค์อวี้ ผู้ซึ่งอยู่ที่หัวเรือ ก็อ้าปากหวอด้วยความตื่นตระหนก เขามองไปยังภูติบดีอันใหญ่มหึมาไร้ปานเปรียบซึ่งยืนตระหง่านอยู่ในความมืด และอึ้งไปจนพูดอะไรไม่ออก
“ไม่เคยเห็นมาก่อน”
ผู้เฒ่านำทางความตายมีใบหน้านิ่งสงบและไร้อารมณ์ เขากล่าวอย่างเยือกเย็น “ทุกคนกล่าวว่ายุคสมัยหลงฮั่นจบลงไปได้สี่แสนห้าหมื่นปีแล้ว และถัดจากนั้นก็คือยุคสมัยแสงฉาน ฮี่ๆ ใครจะคาดคิดล่ะว่ายุคสมัยหลงฮั่นไม่เคยจบสิ้น ยุคสมัยหลงฮั่นยังดำรงอยู่ตลอดเวลาจนบัดนี้!”
ฉินมู่หัวใจเต้นตึกๆ
ยุคสมัยหลงฮั่นดำรงอยู่ตลอดเวลาจนบัดนี้!
แม้ว่าสภาสวรรค์หลงฮั่นอันภูติบดีไม่ยินดีที่จะเอ่ยถึงและไม่ปริปากเกี่ยวกับมันเลยสักคำจะยังคงมีอยู่ มันก็เหมือนกับเงื้อมเงามหึมาที่คลี่คลุมมาตลอดอสงไขย ทั้งแสงฉาน จักรพรรดิสูงส่ง จักรพรรดิก่อตั้ง จนกระทั่งถึงสันตินิรันดร์ในปัจจุบัน!
“สภาสวรรค์นั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้คนไม่อาจเข้าใจ”
ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าว “เทพบรรพกาลแห่งสภาสวรรค์เทพบรรพกาลก็อยู่ในสภาสวรรค์นั้นด้วยเช่นกัน เทพเจ้าจากเผ่าหลังฟ้าดินและครึ่งเทพมากมายก็อยู่ในสภาสวรรค์แห่งนั้น ข้าเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าใครคือผู้ชนะคนสุดท้าย…พวกเราไปพบภูติบดีเถอะ”
เรือกระดาษลอยไปยังดวงตาที่สามของภูติบดี และผู้เฒ่านำทางความตายก็จอดเรือ พวกเขาเข้าไปในโถงศักดิ์สิทธิ์ข้างในดวงตา
ข้าฝนโถงศักดิ์สิทธิ์นั้น ภูติบดีอันมีขนาดเล็กจิ๋วกว่าร่างจริงนับเท่าไม่ถ้วนก็กำลังก้มศีรษะลงมาและมองไปยังวิญญูชนสวรรค์อวี้ผู้ซึ่งกำลังหิ้วไก่ครึ่งตัว วิญญูชนสวรรค์อวี้ถูกมองดูจนกระสับกระส่าย และเขาจึงได้แต่รวบรวมความกล้าและยกไก่ครึ่งตัวชูขึ้นเหนือหัว “เจ้าก็อยากกินหรือ ข้าเห็นว่าเจ้าก็ดูหิวเหมือนกัน…”
สายตาของภูติบดีวูบไหว และเขาส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “น่าเวทนา วิญญูชนสวรรค์เมื่ออดีตกาลได้กลายมาเป็นสภาพเช่นนี้ เจ้าได้นำเขามาที่นี่เพื่อค้นหาดวงวิญญาณส่วนที่ขาดหายไป ใช่หรือไม่”
ฉินมู่ค้อมศีรษะคารวะ “ขอภูติบดีโปรดร่ายเวทมนตร์ของท่านเพื่อเสาะหาตำแหน่งแห่งหนของดวงวิญญาณที่หายไปด้วยเถิด!”
“เมื่อครั้งกระโน้น ข้าอวยพรให้แก่เขา ดังนั้นต่อให้เจ้าไม่ร้องขอข้า ข้าก็จะช่วยเขา”
ภูติบดีเปิดดวงตาที่หว่างคิ้ว และจอแสงก็ฉายส่องออกมาจากดวงตาที่สาม เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “เมื่อข้าเห็นกายเนื้อของเขา ข้าก็เห็นดวงวิญญาณแตกสลายของเขาพุ่งผ่านโลกมิตินับไม่ถ้วน และโลกหล้าอันไร้ขอบเขตก็วูบผ่านไปในพริบตา”
วิญญูชนสวรรค์อวี้ยืนอยู่ในจอแสงและรู้สึกกระสับกระส่าย ข้างนอกจอแสง โลกมิติมากมายพุ่งผ่านอย่างรวดเร็ว ขุนเขาอันยิ่งใหญ่และทะเลทรายอันไพศาลพุ่งวาบ ดวงดาวมากมายเหลือคณาก็พุ่งผ่านไปอย่างเร็วจี๋
ผ่านไปครู่หนึ่ง จอแสงก็พลันเผยให้เห็นหมู่ปราสาทราชวังสวรรค์อันเกรียงไกร ทวยเทพอันสูงตระหง่าน และสภาสวรรค์ที่เป็นทิวากาลอยู่ชั่วนิรันดร์
หมู่ปราสาทสวรรค์ในจอภาพพุ่งผ่านร่างของวิญญูชนสวรรค์อวี้ และความเร็วก็ยิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ทันใดนั้น ภาพก็ค่อยๆ ช้าลง และในที่สุดก็หยุดลงตรงหน้าประตูของราชวังแห่งหนึ่ง
หลังจากที่ภาพพุ่งผ่านประตูเข้าไป มันก็ผ่านเก๋งศาลาและเรือนตึกมากมาย มาจนถึงพื้นที่อันลี้ลับยากจะเข้าใจหลังจากที่ทะลุผ่านประตูหลายต่อหลายบาน จากนั้นภาพก็ถูกตัดหาย
ภูติบดีกล่าว “ดวงวิญญาณแตกหักของเขาถูกสะกดเอาไว้ในโถงหอมกำจาย และเวทปิดผนึกในโถงนั้นแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นมันจึงตัดสายตาของข้า”
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตราบเท่าที่พวกเรารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ก็มีความหวัง”
ผู้เฒ่านำทางความตายมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าโถงหอมกำจายนั้นมิได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่ฉินมู่คิด
“โถงหอมกำจายเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองท้องพระโรง การจัดเรียงผังของมันคล้ายคลึงกับปราสาทสวรรค์”
ภูติบดีกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “แม้แต่ยอดฝีมือระดับตำหนักชิดฟ้าก็เข้าไปไม่ได้ อย่าว่าแต่เจ้า”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ต้องมีหนทาง”
ภูติบดีถาม “เจ้ารู้วิธีเข้าไปในสภาสวรรค์ไหมล่ะ เจ้ารู้ไหมว่ามันตั้งอยู่ที่ไหน”
ฉินมู่อึ้งไป
เขาไม่รู้จริงๆ นั่นแหละ คนอื่นๆ เรียกมันว่าสภาสวรรค์นอกโลก แต่ทว่าสภาสวรรค์นี้ตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่ แม้แต่นักบุญคนตัดไม้ก็ไม่อาจให้คำตอบได้
ตั้งแต่ต้นจนจบ ขนาดนักบุญคนตัดไม้ก็ยังไม่รู้ว่าศัตรูของยุคสมัยแสงฉานคือใคร
ภูติบดีมองไปที่เขาและกล่าว “เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องที่จะต้องสนทนากับราชันย์ขุนนาง”
ฉินมู่เดินออกไปจากโถงศักดิ์สิทธิ์และชะโงกหัวเข้ามา ประตูปิดใส่หน้าและกันเขาเอาไว้ข้างนอกทันที
“ใจแคบ ทำตัวลึกลับ!” ฉินมู่ฮึ่มฮั่มด้วยความโมโห แต่สายตาของเขาตกลงไปที่เรือกระดาษของผู้เฒ่านำทางความตายอย่างช่วยไม่ได้
ในโถงศักดิ์สิทธิ์ ภูติบดีมองไปที่ผู้เฒ่านำทางความตาย “ดวงวิญญาณแตกหักของเขาไม่อาจนำกลับมาได้ในตอนนี้ เจ้าวางแผนว่าจะทำอย่างไร”
ผู้เฒ่านำทางความตายเงียบไปครู่หนึ่ง “เขาคือญาติสนิทคนที่สองของข้า ข้าต้องปกป้องเขา”
“ตอนนี้เขาเหมือนกับกระดาษขาว”
ภูติบดีกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นกระดาษขาวที่โง่เซ่อ หากว่าเขาติดตามเจ้า เขาก็จะกลายเป็นคนเก็บตัวเหมือนกับเจ้า และเขาก็จะต้องตายอย่างน่าอนาถทันทีที่เดินออกไปจากแดนใต้พิภพ สาเหตุที่เจ้าสามารถรอดชีวิตมาได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ก็เพราะว่าเจ้าอยู่แต่ในแดนใต้พิภพ หากว่าเจ้าออกไป เจ้าก็คงสิ้นชีวิตไปนานแล้ว หากว่าเขาติดตามเจ้า เขาก็จะลงเอยแบบเจ้า”
ผู้เฒ่านำทางความตายมองอย่างเงียบงันไปยังวิญญูชนสวรรค์อวี้ที่กำลังเลียน้ำมันออกจากนิ้วของตนเอง ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เงยหน้าขึ้นมา “ข้าได้คิดตกแล้ว และข้านั้นไม่เหมาะที่จะพาเขาติดสอยห้อยตามไปจริงๆ ข้ากำลังคิดว่าจะมอบเขาให้วิญญูชนสวรรค์มู่ดูแล”
ภูติบดีกล่าว “ให้เขาหรือ เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะพาวิญญูชนสวรรค์อวี้เข้ารกเข้าพงหรือ”
“แต่อย่างน้อยวิญญูชนสวรรค์อวี้ก็จะไม่ตาย”
ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าว “ที่ข้ากังวลก็กลัวว่าวิญญูชนสวรรค์มู่จะไม่ยินดีที่จะพาเขาติดตามไปด้วย แม้ว่าเขาจะช่วยชีวิตวิญญูชนสวรรค์อวี้ด้วยหัวใจอบอุ่น ทั้งยังล้างแค้นให้แก่เขา แต่เขาไม่มีทางคอยดูแลวิญญูชนสวรรค์อวี้ได้เป็นแน่”
ภูติบดียกยิ้มที่มุมปาก “เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำเช่นนั้น เขากำลังเอาเรือของเจ้าเข้าไปในยังส่วนลึกที่สุดของแดนใต้พิภพ ลอบเร้นไปเยี่ยมพบมารดาของเขา เขานั้นกำลังจะก่อความผิดอันใหญ่หลวง ดังนั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องนำตัวภาระวิญญูชนสวรรค์อวี้ไปด้วย”
ผู้เฒ่านำทางความตายตกตะลึง และเขากล่าวสรรเสริญ “ภูติบดีช่างทรงปัญญา”