ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 768 ความลับของเทพครองดาวมหาตะวัน
ฉินมู่นั้นเหมือนกับราชามารที่กำลังเหาะเหินอยู่บนท้องฟ้าราตรี เขาสำรวจบริเวณรอบๆ และเสาะหาอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่อาจพบเจอตำแหน่งแห่งหนของลู่หลีและพรรคพวก หากว่าเขาต้องการจะค้นหาทุกสถานที่จริงๆ เขาก็คงจะต้องใช้เวลาปีหรือสองปี ยิ่งไปกว่านั้น ลู่หลีและพรรคพวกคงจะไม่หยุดรอตรงที่เดิมเพื่อให้เขามาเจอตัวหรอก
“น้องชาย ข้าเหนื่อยละ ข้าจะกลับไป”
ฉินเฟิงชิงหมดความสนใจ และเขาก็หยุดเคลื่อนไหวหลังจากที่กล่าวเช่นนั้น
ฉินมู่ตกตะลึง เขาพลันรู้สึกได้ว่าพละกำลังของเขาจางหายไปอย่างรวดเร็ว ฉินเฟิงชิงถึงกับหันหลังกลับเข้าไปในแผ่นดินรูปตัวฉิน และย่างเท้าเข้าไปในเวทปิดผนึกด้วยตนเอง
เมื่อฉินเฟิงชิงกลับเข้าไปในเวทปิดผนึก กระถางนั้นก็ตามเข้าไปในใจกวางหว่างคิ้วไปยังแผ่นดินรูปตัวฉินพร้อมกับฉินเฟิงชิงด้วย!
ฉินมู่รีบหยุดค้นหาลู่หลีและพวกพ้องทันที โดยปราศจากพลังอำนาจของฉินเฟิงชิง เขาก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นชาวสวรรค์ ถ้าเขาไปตามหาลู่หลีตอนนี้ ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ
สิ่งที่เขาให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือ ฉินเฟิงชิงไม่ชอบการถูกปิดผนึกอยู่ชัดๆ แล้วทำไมเขาถึงเริ่มต้นเข้าไปในเวทปิดผนึกด้วยตนเองในคราวนี้ ทั้งยังกลับเข้าไปอย่างเต็มอกเต็มใจอีกด้วย
เขาไม่ได้ใช้ใบหลิวปิดผนึกดวงตาที่สาม กระแสสำนึกรู้เทพอมตะเส้นหนึ่งของเขาไหลเข้าไปข้างในแผ่นดินรูปตัวฉิน และเขาพบว่าทารกยักษ์นั้นกำลังนับชิ้นส่วนของยอดฝีมือที่เขาซ่อนเอาไว้ในแผ่นดินอย่างตื่นเต้น เขากำลังนับและคัดแยกไว้อย่างเป็นระบบระเบียบ
ฉินมู่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร่ำไห้ เห็นได้ชัดว่าการถูกปิดผนึกไม่ใช่ปัญหา ตราบเท่าที่ฉินเฟิงชิงมีของอะไรให้กิน เขาไม่สามารถค้นหา ‘อาหารที่เปี่ยมด้วยสารอาหาร’ เช่นนี้ได้ที่โลกภายนอก
เจ้าตะกละ
ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เขากลับไปที่ด่านกุญแจหยกอีกครั้ง เพื่อที่จะมาเอาเรือกระดาษไป โดยปราศจากความช่วยเหลือของฉินเฟิงชิง เขาก็คงจะต้องใช้เวลาเป็นสิบปีเพื่อเดินทางกลับไปยังดวงตาของภูติบดี ดังนั้นการกลับไปเอาเรือก็จะช่วยให้เขาประหยัดเวลาเป็นสิบปีนั้น
เขามองไปยังกระถางสังหารของภูติบดี กระถางนี้ถึงกับยังคงติดสอยห้อยตามฉินเฟิงชิง ฉินเฟิงชิงกำลังตื่นเต้นกับอาหารมากมายก่ายกอง ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจกระถาง
กระถางนี้กลืนทะเลบาดาลเข้าไปครึ่งหนึ่ง และทะเลนั้นก็ก่อตัวขึ้นมาจากทรายวิญญาณดำ โอรสหยินสวรรค์ใช้ความเพียรพยายามตั้งไม่รู้เท่าไรถึงสามารถสร้างทะเลที่มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลเท่านั้นได้ และบัดนี้ความความพยายามของเขาก็เสียเปล่า
ฉินมู่จดจำได้ถึงไฟผีโขมดอีกครึ่งหนึ่งที่กระถางสังหารกลืนเข้าไป และมันก็เป็นสมบัติวิเศษที่โอรสหยินสวรรค์สร้างขึ้นมาเช่นกัน ดังนั้นมันก็คงจะต้องไม่ธรรมดา แต่ทว่า กระถางสังหารนี้ตามลงมากับฉินเฟิงชิง และดูเหมือนว่ามันจะจดจำนับถือฉินเฟิงชิงเป็นภูติบดี ไม่ใช่ฉินมู่เป็นภูติบดี
ถ้าอย่างนี้ ใบหน้าพวกที่อยู่ในกระถางคงจะไม่ได้เรียกข้าว่าอาโฉ่ว แต่พวกเขาน่าจะเรียกพี่ชายว่าอาโฉ่ว…
ขณะที่เขาคิดมาถึงตรงนี้ ปราณมารในกระถางยักษ์ก็ไหลออกมา และปราณมารพวกนั้นก็เข้ามาห้อมล้อมฉินเฟิงชิงราวกับความมืด
ใบหน้าหนึ่งปรากฏในปราณมาร และมันก็จ้องมองตรงไปยังทารกหัวตัวพลางพูดด้วยน้ำเสียงพิลึกกึกกือ “อาโฉ่ว”
ฉินเฟิงชิงมองไปที่ใบหน้านั้นและส่ายศีรษะ “น้องชายของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าจะนับว่าเป็นเขาได้อย่างไร”
“อาโฉ่ว” ใบหน้านั้นกล่าวอีกครั้ง
ใบหน้าโผล่ขึ้นมาปรากฏในปราณมารจากกระถางมากขึ้นทุกที และส่งเสียงร้องเรียกเขา “อาโฉ่ว”
ฉินเฟิงชิงโมโห และเขาตะคอกไป “ข้าบอกแล้วว่าน้องชายข้าไม่อยู่…ช้าก่อน เจ้ากำลังเรียกข้าอยู่หรือ”
ใบหน้าเหล่านั้นเผยรอยยิ้มและผงกหัวอย่างแช่มช้า “อาโฉ่ว”
“ข้าไม่ได้หน้าตาน่าเกลียดสักหน่อย น้องชายข้าต่างหากที่น่าเกลียด” ฉินเฟิงชิงกล่าว
ฉินมู่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหยัน “เป็นพี่ชายแท้ๆ แต่ไม่สำเหนียกสารรูปตนเอง ข้าว่าแล้วว่าใบหน้าพวกนั้นไม่ได้เรียกข้า”
ผู้เฒ่าหนวดขาวที่แปลงร่างมาจากเทพสรรพชีวิตก็โผล่ขึ้นมาจากอากาศธาตุ และกล่าว “ใบหน้าพวกนั้นกำลังเรียกเจ้า เจ้าตัวจ้อย สำนึกรู้ของเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน”
เขายื่นนิ้วออกไป และเส้นสายสำนึกรู้ของฉินมู่ก็ร่อนลงมาอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ และแปลงกลับเป็นร่างเดิม
ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นสำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉานซ่อนตัวอยู่ในแผ่นดินรูปตัวฉินพร้อมกับเทพเจ้าหัวนกตนหนึ่ง พวกเขาทั้งสองกำลังมองมาที่นี่
“เทพเจ้าหัวนกนั่นดูคุ้นตาจริงๆ…”
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย และเขาตกในภวังค์คิด ข้าเหมือนจะเคยเห็นเขาในสภาสวรรค์หลงฮั่น เขาดูเหมือนจะเป็นเทพครองดาวมหาตะวันตกนั้นที่ถูกศิษย์พี่หนิวซานตัวอัดจนยับ…
ร่างแยกเทพสรรพชีวิตกล่าว “เขานั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากเทพครองดาวมหาตะวัน เขาได้ตายไปเป็นเวลานานแล้ว นกน้อย สหายเต๋าจักรพรรดิแดงฉาน ออกมานี่สิ เขามีอาหารแล้ว เขาไม่กินพวกเจ้าหรอก!”
สำนึกรู้จักรพรรดิแดงฉานเดินเข้ามา แต่เทพครองดาวมหาตะวันยังคงไม่กล้าออกมา ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “มหาตะวัน ไม่ต้องกังวล ความเร็วของเจ้าไร้เทียมทานในโลกหล้า พี่ชายของข้าจับเจ้าไม่ทันหรอก”
ทารกหัวโตปรายตามองเทพครองดาวมหาตะวันแวบหนึ่งและกล่าว “ข้าจับเขาได้ ก็แค่ไปคว้าปีกของเขาเอาไว้ แล้วเขาก็หนีไปไหนไม่รอด”
เทพครองดาวมหาตะวันลังเลอยู่ครู่หนึ่งและค่อยๆ เดินออกมาอย่างระมัดระวัง เขามีท่าทางเหมือนกับพร้อมที่จะหลบหนีไปได้ทุกเมื่อ “ปีกของข้าถูกจับได้ก็เพราะข้าเผลอไผลไปแวบหนึ่ง หากว่าข้าเตรียมตัวพร้อม ก็ไม่มีใครจับข้าได้”
“มหาตะวันตายได้อย่างไร”
เทพสรรพชีวิตยิ่งหยันและกล่าว “ตายจากความปัญญาอ่อน เขารู้มากเกินไปทั้งยังพูดมากอีก เขาตายด้วยความปัญญาอ่อนของตนเอง”
ฉินมู่พลันสนใจขึ้นมา และสงสัยใคร่รู้มากขึ้น “เทพครองดาวมหาตะวันไปรู้อะไรมา ทำไมเจ้าถึงตายเพราะรู้มากเกินไป มหาตะวันจะสามารถขยายความสักหน่อยได้หรือไม่”
เทพครองดาวมหาตะวันแค่นเสียงเฮอะและกล่าว “ข้าตายเพราะข้าพูดมากเกินไป หากว่าข้าบอกเจ้า ไม่ใช่ว่าดวงวิญญาณของข้าก็จะตายไปอีกหนงั้นหรือ”
ฉินมู่กล่าวอย่างนุ่มนวล “มหาตะวัน หากว่าเจ้าไม่พูด ดวงวิญญาณของเจ้าก็จะตายอีกรอบแน่นอน ในท้องของพี่ชายข้า”
เทพครองดาวมหาตะวันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และเขามองไปยังเทพสรรพชีวิตและจักรพรรดิแดงฉาน ผู้เฒ่าหนวดขาวกระแอมไออย่างไม่หยุดหย่อน และเสตามองท้องฟ้า
“เทพสรรพชีวิต...”
“อย่ามองมาที่ข้า ข้าเองก็สงสัยว่าทำไมเจ้าถึงตาย”
เทพสรรพชีวิตส่ายหัวของเขาและกล่าว “ในช่วงกลางยุคสมัยหลงฮั่น สภาสวรรค์ถูกปกคลุมด้วยตาข่าย ดังนั้นข้าไม่อาจมองเห็นอะไรได้ที่นั่น เจ้านั้นเป็นผู้นำแห่งดวงดาวทั้งหลาย และเจ้าก็ควบคุมเทพเจ้าส่วนใหญ่ในสภาสวรรค์ ความเข้าใจของเจ้าที่มีต่อสภาสวรรค์นั้นสูงล้ำไปกว่าข้า แม้กระทั่งบัดนี้ ข้าเองก็ยังคงมองไม่เห็นอะไรสักอย่างในสภาสวรรค์”
เทพครองดาวมหาตะวันลังเล และเขาก็เหลือบมองดูทารกหัวตัวที่กำลังนับชิ้นส่วนอวัยวะ เขากัดฟันกล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าความลับไหนที่ทำให้ข้าต้องตาย แต่ข้าถูกสังหารด้วยลูกศรที่ยิงมาจากข้างหลัง ในระหว่างสงครามเข้าโจมตีสภาสวรรค์ที่วิญญูชนสวรรค์อวิ๋นก่อตั้งขึ้นมา ข้านั้นอยู่ในหน่วยทะลวงฟัน และข้าไม่รู้ว่าใครยิงธนูเข้ามาข้างหลังข้า จังหวะถัดไปที่ข้ารู้ตัวอีกที ข้าก็ตายไปแล้ว”
ทุกคนเงียบงัน
ฉินมู่กระแอมไอและกล่าว “มหาตะวัน ถ้าเช่นนั้น เหตุการณ์ไหนที่เจ้ารู้ อันน่าจะเป็นสาเหตุของความตายเจ้า”
เทพครองดาวมหาตะวันขบคิดและกล่าว “มันต้องไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความตายของวิญญูชนสวรรค์อวี้เป็นแน่ แม้ว่ามรณกรรมของวิญญูชนสวรรค์อวี้จะสร้างความโกลาหลอันใหญ่หลวง และก็มีข่าวลือต่างๆ แพร่ไปมากมาย ข้าพูดแค่นิดหน่อย และแต่ละคนก็พูดกันคนละนิดหน่อยเหมือนกัน มันไม่น่าจะใช่เหตุการณ์เรื่องรัชทายาแห่งราชวังบูรพา แม้ว่าข้าจะรู้ข่าววงในมากมายเกี่ยวกับการก่อกบฏของรัชทายาทอู๋ฉี ข้าก็ไม่ได้บอกเล่าผู้คนหลายคนนัก หรือว่าจะเป็นเหตุการณ์การลอบสังหารจักรพรรดินีฟ้า หรือว่าจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงอันพลิกฟ้าคว่ำดินของสระหยก หรือว่าจะเป็นการเข่นฆ่าสังหารของภูติบดี มันอาจจะเป็นการเข่นฆ่าสังหารของภูติบดี ข้ารู้ข่าววงในมากมายในนั้น แต่มันก็อาจจะเป็นความลับเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาของหน่วยองครักษ์ขนนกไพร จริงสิ ยังมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการกลับชาติลงมาเกิดของเทพสรรพชีวิตอีกด้วย มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับการกลับชาติลงมาเกิดของเทพสรรพชีวิต…”
ฉินมู่อ้าปากค้าง มีเรื่องราวมากมายขนาดนี้เกิดขึ้นในสภาสวรรค์หลงฮั่นเชียวหรือ
ตอนที่เขาเดินทางย้อนเวลาไปยังปีศักราชแรกแห่งยุคสมัยหลงฮั่น เขาไม่ได้รั้งอยู่นาน เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะมีเรื่องราวน่าสนใจมากมายขนาดนี้เกิดขึ้นหลังจากนั้น!
เขาอยากที่จะรับฟังทุกเรื่องราวที่เทพครองดาวมหาตะวันกล่าวถึง และขุดคุ้ยไปให้ถึงก้นบึ้งของเรื่องเหล่านั้น
“ทำไมเทพครองดาวมหาตะวันไม่อธิบายเรื่องราวครึกโครมเหล่านี้แต่ละเรื่องให้พวกเราได้รู้อย่างละเอียดสักหน่อยล่ะ”
ดวงตาของเขาเป็นประกาย “เล่ามาเลยทีละเรื่อง! อีกอย่าง เจ้าน่าจะรู้ใช่ไหมว่าจักรพรรดิฟ้าแห่งสภาสวรรค์คนปัจจุบันคือใคร”
เทพครองดาวมหาตะวันลังเล และปรายตามองเทพสรรพชีวิต “เกี่ยวกับเรื่องนี้ เทพสรรพชีวิตก็เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าพูด ยิ่งไปกว่านั้น ข้าตายมาแต่เนิ่นๆ ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ชนะ…”
ร่างแยกของเทพสรรพชีวิตกระแอมไอและกล่าว “เจ้าหนุ่มฉิน เทพครองดาวมหาตะวันรู้มากเกินไปก็เลยตกตายหากว่าเจ้ารู้มากเกินไป เจ้าก็จะตายอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน เจ้าออกไปได้แล้ว ภูติบดียังคงต้องการพบตัวเจ้า”
เขาสะบัดแขนเสื้อ และเส้นสายสำนึกรู้ของฉินมู่ก็ถูกส่งออกไป เขาได้ยินเสียงแว่วๆ ของเทพสรรพชีวิตแต่ไกลๆ “จากวันนี้เป็นต้นไป หากว่าเขาถามเกี่ยวกับร่างกลับชาติของข้า หากเจ้ากล้าปริปากสักคำเดียว ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ข้าเพียงแต่จะทรมานเจ้าทีละนิด ทรมานเจ้าจนเจ้าต้องวิงวอนขอความตาย เอาละ ตอนนี้บอกข้าสิถึงเรื่องครึกโครมของรัชทายาทแห่งวังบูรพา…”
ฉินมู่แค่นเสียงและรู้สึกขัดเคืองใจ อย่างมากข้าก็ไม่ถามเรื่องการกลับชาติของเทพสรรพชีวิตก็ได้ ทำไมเขาก็ไล่ข้าออกมาด้วย
เขาไปยังประตูด่านกุญแจหยก และในตอนนั้น ก็มีมารเทวะสองตนยืนอยู่ที่หน้าประตู เมื่อพวกเขาเห็นเขาเดินเข้ามา ทั้งสองตนก็ตัวสั่นเทิ้มและหันกายวิ่งหนี
ฉินมู่รีบกล่าว “พี่ทางเต๋าทั้งสองโปรดหยุดก่อน! ข้าไม่ได้มาเพื่อจับผู้คนกิน แต่ข้ามาเพียงเพื่อรับเรือของข้ากลับ! เรือกระดาษของข้าอยู่ในเมืองด่าน กรุณาอย่าเพิ่งปิดประตู”
“เจ้าจะไม่กินพวกเราแน่นะ?” มารเทวะสองตนแง้มช่องเล็กๆ และประตู และตัวสั่นระริกอยู่เบื้องหลังประตูใหญ่
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยกินใครซะที่ไหนกัน ให้ข้าไปเอาเรือแล้วข้าก็จะไป”
มารเทวะทั้งสองรีบถอยหนีและเผ่นไป ฉินมู่ไปยังประตูเมืองและพบว่ามีรอยแง้มเปิดเอาไว้
เมื่อเขาเข้าไปในเมืองด่าน เขาก็ไปเอาเรือกระดาษที่เขาจอดเอาไว้ตรงประตูเมือง เมื่อมองตรงไปยังค่ายทหาร เขาก็เห็นเทพเจ้ามากมายยืนเรียงกันเป็นแถวกระบวน และรออยู่อย่างเงียบกริบ พวกเขากลัวว่าเขาจะเริ่มต้นฆ่าล้างผลาญอีกครั้ง
แต่ทว่าเทพเจ้าเหล่านั้นตัวสั่นระริก และขาของพวกเขาก็อ่อนปวกเปียก พวกเขาไม่มีรัศมีอันแข็งแกร่งสักเท่าใด
เมื่อมองผ่านค่ายทัพไป ฉินมู่มองไม่เห็นมนุษย์ต้นไม้ที่แปลงเปลี่ยนมาจากบิดาของเขา ฉินหานเจิน เขารู้สึกท้อถอย
“ลาก่อน!” เขาโค้งคารวะหัวแทบจรดพื้นตรงหน้าค่ายทัพ และไม่ลุกขึ้นยืนเป็นเวลานาน
กองทัพเทพยดาตกตะลึง เทพเจ้านับไม่ถ้วนรีบคารวะตอบกลับไป และพวกเขาก็คิดในใจ โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพโค้งคารวะให้แก่พวกเรางั้นหรือ หรือว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นในแดนใต้พิภพ
ฉินมู่ลุกขึ้นยืนและมองไปทางป่าอนุสาวรีย์ ก่อนที่จะหันกายจากไป
บิดามารดาเขาอยู่ที่นั่น และเขาก็พลันรู้สึกเบาใจ ในที่สุดเขาก็ได้วางหัวใจอันร่อนเร่ลงไปได้
เขาเดินออกไปจากด่านและนั่งอยู่บนหัวเรือน้อย เรือน้อยลอยขึ้นมา และแล่นตรงไปยังดวงตาของภูติบดี
หลังจากเวลานาน เรือน้อยก็มาถึงดวงตาของภูติบดี และแล่นเข้าไปในดวงตาแสงมหึมา เรือนั้นจอดลงตรงหน้าโถงศักดิ์สิทธิ์
ผู้เฒ่านำทางความตายไม่รอให้เขาลงจากเรือ ก็ดุด่าเขาอย่างดุดัน “วิญญูชนสวรรค์มู่ เจ้าก่อเรื่องอีกแล้ว! เจ้าขโมยเรือของข้า บุกรุกเข้าไปในด่านกุญแจหยก และสังหารเทพเจ้ามากมาย…”
ฉินมู่กล่าว “ข้ารู้ว่าข้าทำผิด ข้าจะนำวิญญูชนสวรรค์อวี้ไปด้วยกับข้า”
ผู้เฒ่านำทางความตายตกตะลึง บทพูดที่เขาเตรียมมากลายเป็นไร้ประโยชน์ และเขารู้สึกหงุดหงิดเหมือนกับหมัดที่ชกไปโดนแต่ลม
ภูติบดีไฟนรกเดินออกมาจากโถงศักดิ์สิทธิ์และยืนอยู่ตรงหน้าโถงวังนั้น “เขาเป็นคนฉลาด เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ฉินมู่กล่าวอย่างหนักแน่น “แม้ว่าข้าจะโง่เซ่อ แต่ข้าก็รู้เจตนาของพวกท่านหลังจากที่ได้ฟังเพียงน้อยนิด ภูติบดีปล่อยให้ข้าไปเยี่ยมเยียนมารดา และยืมมือข้าเพื่อชำระล้างอิทธิพลอำนาจแห่งสภาสวรรค์ออกไปจากแดนใต้พิภพ จากนั้นเขาก็จะใช้ความผิดของข้าเพื่อทำให้ข้าต้องนำวิญญูชนสวรรค์อวี้จากไป กองคำกล่าวโทษสุมหัวข้าไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า ภูติบดี ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ปฏิเสธทั้งหมดนี่”
ภูติบดีไฟนรกมองไปที่เขา และไฟนรกในดวงตาที่สามก็วูบไหว “เจ้าต้องลำบากแล้ว บุพการีของเจ้าจะอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยดี”
ฉินมู่หัวใจหวั่นไหวเล็กน้อย
ภูติบดีผลักไสวิญญูชนสวรรค์อวี้ไปให้เขาและกล่าว “เจ้าไปได้แล้ว หลังจากสังหารผู้มีอิทธิพลในแดนใต้พิภพตั้งมากมาย เจ้าอยู่ที่นี่นานคงไม่ใช่เรื่องดี ราชันย์ขุนนาง ส่งเขาออกไป”
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และพลันแย้มยิ้ม “ภูติบดี ท่านไม่สงสัยใคร่รู้หรือว่า ใครบ้างที่ถูกสะกดข่มเข้าไปในแผ่นดินรูปตัวฉินที่ใจกลางหว่างคิ้วของข้า”
ในแผ่นดินรูปตัวฉิน สีหน้าของเทพสรรพชีวิตแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และเขาก็โมโหเดือดดาล “ไอ้เด็กแสบ! เขาทำให้ข้าเสียหน้าไปหมด! นี่ฉิบหายแล้ว ข้าจะต้องมาอับอายต่อหน้าภูติบดี!”