ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 771 นักถ้ำมอง
ฉินมู่ถามด้วยความตื่นตระหนก “น้องชายที่นับถืออวี้เถียน เจ้ารู้จักถ้อยคำพวกนี้หรือ”
วิญญูชนสวรรค์อวี้ยังคงเหม่อลอย และเขาก็กล่าว “ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับการอ่านถ้อยคำเหล่านี้ และรู้สึกว่ามันควรจะอ่านเช่นนี้”
คนอื่นๆ ก็ตื่นตะลึงไม่รู้จบ ทุกคนรู้ว่าฉินมู่รอบรู้เป็นอย่างยิ่ง และเชี่ยวชาญภาษาทุกชนิด เขานั้นได้เรียนทั้งภาษาเทพ ภาษามาร ภาษาใต้พิภพ และถึงกับได้แตะภาษาบรรพกาลในอดีต
พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่า หนุ่มรุ่นน้องข้างๆ เขาจะรู้จักถ้อยคำที่แม้แต่ฉินมู่ก็ยังไม่รู้ได้
แต่ทว่า ทุกคนไม่ขบคิดลึกมากนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาถูกดึงดูดความสนใจโดยสิ้นเชิงจากภาพที่ปรากฏให้เห็นต่อหน้าพวกเขา
แดนโบราณวินาศยังคงขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง ภูเขามากมายในแดนโบราณวินาศได้ถูกส่งออกไปยังสถานที่อันไกลลิบลับแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีภูเขาเทือกใหม่ก่อตัวขึ้นมาในแดนโบราณวินาศ
หากว่าภูเขาจะก่อตัวขึ้นมา แผ่นดินก็จะต้องสะท้านหวั่นไหวอย่างแน่นอน ภูเขาไฟก็จะระเบิดและปกคลุมทุกหนทุกแห่งด้วยหินหลอมเหลว
แม้ว่าแดนโบราณวินาศจะขยายตัว มันก็ยังค่อนข้างเงียบสงัด แผ่นดินและภูเขาเหล่านั้นดูราวจะโผล่ขึ้นมาจากอวกาศอันว่างเปล่า
ดังนั้นการขยายตัวของแดนโบราณวินาศจึงไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ที่นี่
และกระนั้น แผ่นดินที่ยืดขยายออกมาก็กว้างขวางจนเกินไป มันไกลเหนือกว่าแดนโบราณวินาศเดิมไปหลายเท่าตัว ฉินมู่มองหาเทือกเขาที่ใกล้ที่สุด และเทือกเขาที่ใกล้กับพวกเขาที่สุดก็อยู่ห่างจากพวกเขาไปกว่าเดิมสี่สิบเท่า!
นี่หมายความว่าแดนโบราณวินาศทั้งกว้างและยาวกว่าเดิมอย่างน้อยก็สี่สิบเท่า!
พื้นที่พื้นผิวของแดนโบราณวินาศอาจจะเพิ่มขึ้นมาถึงหนึ่งพันหกร้อยเท่า!
สวรรค์ไท่หวงอันถูกปักอยู่ในแดนโบราณวินาศ และยืดยาวจากเหนือไปใต้ และดูเหมือนกับกำแพงสูงตระหง่านที่ตั้งอยู่ในแดนโบราณวินาศขณะนี้ มันดูไม่น่าตระหนกตกใจเท่าที่เคยเป็นก่อนหน้า
การที่มองเห็นสวรรค์ไท่หวงตกลงมาปักตั้งฉากอยู่ใจกลางแดนโบราณวินาศนั้นน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ แต่เมื่อแดนโบราณวินาศขยายตัวออกไป ความรู้สึกแตกตื่นนั้นก็จืดจางลง
ฉินมู่มองไปรอบๆ ถนนที่ราชครูสันตินิรันดร์ได้ปูลาดก็กลายเป็นเศษกระจัดกระจายไปในบัดนี้ พวกมันแยกออกจากกันเป็นหลายช่วง
ที่น่าตื่นตระหนกยิ่งกว่านี้คือหมู่ภูเขาลูกใหม่อันงอกออกมามีหมอกหลากสีห้อมล้อมพวกมัน บางแห่งก็ถึงกับพ่นแสงตะวันหลากสี พวกเขาสามารถมองเห็นเมืองโบราณและซากโบราณสถาน เช่นเดียวกับรูปปั้นอันเก่าคร่ำคร่าของยักษ์อันยืนตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าและดิน!
“การเปลี่ยนแปลงนี้ดูเหมือนจะเป็นการปลดปล่อยดินแดนที่ถูกปิดผนึกออกมา” เทพเที่ยงแท้ผางอวี้พึมพำ
เทพซังเย่ถาม “หรือว่าแดนโบราณวินาศในอดีตจะเป็นเช่นนี้”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้อายุมากกว่า เขาส่ายศีรษะ “ไม่ แม้ว่าแดนโบราณวินาศแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งจะแตกต่างไปจากแดนโบราณวินาศในปัจจุบัน แต่โดยพื้นฐานแล้วคล้ายคลึงกัน เมื่อสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้งถล่มและตกลงมาผ่านสรวงสวรรค์ยังที่นี้ ซากโบราณแห่งสภาสวรรค์ก็ปรากฏในแดนโบราณวินาศ เมื่อกาลครั้งนั้น ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งยังมิได้สิ้นสุดไปโดยสิ้นเชิง และก็ยังมีเทพเจ้ามากมายหลงเหลือที่นี่”
ยายเฒ่าซีถาม “ถ้าเช่นนั้น แล้วยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งล่ะ? แดนโบราณวินาศของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งเป็นอย่างไร”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้เผยยิ้มขมขื่นและกล่าว “ข้าจะรู้เรื่องราวของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งได้อย่างไร”
ยายเฒ่าซีครุ่นคิดแล้วกล่าว “แผ่นดินที่ยืดขยายออกมาในคราวนี้น่าจะเป็นแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณีที่ถูกแดนโบราณวินาศสะกดข่มเอาไว้ เมื่อข้าขับเคลื่อนทักษะเทวะสนามแม่เหล็กก่อนหน้านี้ มันก็เข้าไปแตะต้องกับเวทปิดผนึกของแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณี ปลดปล่อยมันออกมา ถ้าเช่นนั้น ทำไมแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณีถึงถูกตรึงสะกดเอาไว้ข้างใต้แดนโบราณวินาศล่ะ”
ทุกคนมองไปยังเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ และรอคำตอบจากเขา เทพเที่ยงแท้ผางอวี้จ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง ตาของเขาเดิมทีก็ใหญ่โตอยู่แล้ว และบัดนี้มันก็กว้างกว่าเดิมอีก เขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้และตอบไป “ข้าจะไปรู้เรื่องราวพวกนั้นได้อย่างไร อย่าจ้องข้า ต่อให้เจ้าจ้องข้าจนตาหลุดข้าก็ไม่รู้อยู่ดี! นักบุญคนตัดไม้รู้มากที่สุด ไปถามเขาสิ”
“นักบุญคนตัดไม้อยู่ที่สันตินิรันดร์ เขากำลังผลักดันการปฏิรูปกับราชครูสันตินิรันดร์ หากว่าพวกเขาคิดจะรีบรุดมา ก็คงจะต้องใช้เวลาเป็นสี่สิบเท่าเพื่อมาถึงที่นี่”
ฉินมู่ยังคงจ้องไปยังภูเขาที่อยู่ไกลออกไป และเขาเห็นว่าภูเขานั้นยังคงเคลื่อนที่ออกห่างเรื่อยๆ “ไม่นานก็คงจะต้องใช้เวลาห้าสิบเท่า หรือว่าแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณี คือดินแดนที่ให้กำเนิดแก่เทพบรรพกาลพระแม่ธรณีกันนะ”
ไม่มีใครตอบเขาได้
ทันใดนั้น เสียงของคลื่นก็ดังมา และรอยแยกมหึมาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา มันมีน้ำสีครามอยู่รอบๆ รอยแยก และถัดไปนั้นรอยแยกก็ปริออกเป็นสองฝั่ง มวลน้ำไหลทะลักออกมามากขึ้นทุกที และทะเลสาบอันกว้างใหญ่เป็นร้อยลี้ก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าทะเลสาบนั้นยังคงขยายขนาดออกไป และไม่นานมันก็กลายเป็นทะเล!
ทะเลแห่งนั้นกว้างใหญ่เสียจนมองไม่เห็นขอบฟ้า
ฉินมู่สะท้านหัวใจอย่างรุนแรง และเขารีบพุ่งผ่านอุโมงค์สวรรค์ไท่หวงเพื่อไปยังแดนโบราณวินาศฝั่งตะวันออก
ซวีเซิงฮวาก็หวั่นไหวใจไม่ใช่น้อย และเขาพาวิญญูชนสวรรค์อวี้ไปด้วยกันกับเขา คนอื่นๆ ก็วิ่งมาด้วยเช่นกัน
ฉินมู่มองไปยังฝั่งตะวันออกอันมีเทือกเขาสลับซับซ้อนไร้สิ้นสุด
เขาเหาะไปตามพื้นดินของสวรรค์ไท่หวงเพื่อมุ่งไปข้างบน ยิ่งเขาเหาะสูงมากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งมองเห็นแดนโบราณวินาศได้กว้างไกลมากขึ้นเท่านั้น ฉินมู่เห็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่หลายหมื่นลี้
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ร้องออกมา “นั่นคือทะเลบูรพาจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง! ทะเลบูรพานี้ได้หายสาบสูญไปแล้ว แล้วทำไมมันถึงกลับมาอีกครั้ง”
ทะเลบูรพาเป็นสีฟ้าครามสดใส และคลื่นของมันก็เชี่ยวกรากคลุ้มคลั่ง มวลน้ำมากมายขนาดนี้ไหลออกมาจากอากาศธาตุ และมันก็ได้สรรค์สร้างมหาสมุทรอันกว้างใหญ่หลายหมื่นลี้ออกมา
สถานที่นั้นแต่เดิมเป็นแอ่งทวีปอันไม่ใหญ่ไม่โต ฝั่งตะวันตกของมันคือเขาพระสุเมรุแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำรามและฝั่งตะวันออกคือเทือกเขาเทพทำลาย ทางทิศใต้คือด่านวารีลับ อันแม่น้ำหย่งไหลผ่าน
และบัดนี้ ทางด้านเขาพระสุเมรุก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยมวลเมฆและหมอก นอกจากเสาตั้งตระหง่านอันเหยียดตรงไปยังท้องฟ้าที่พอมองเห็นได้อย่างรางเลือนแล้ว เขาก็มองไม่เห็นยอดเขาอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย
ฉินมู่มองตรงไปยังเทือกเขาเทพทำลาย และเขาก็มองไม่เห็นยอดเขาเรียงร้อยต่อกันเป็นห่วงโซ่ที่ไม่ขาดสะบั้นอีกต่อไป
ส่วนแม่น้ำหย่งนั้น เขาจำหน้ามันไม่ได้แล้ว ที่เขาเห็นก็มีแต่แม่น้ำมหึมาอันมีความกว้างแปดร้อยลี้ไหลไปอย่างโอ่อ่าตระการสู่ทิศตะวันออก ความยาวของมันยิ่งเกินจินตนาการ
“เทพครองแดนเลี้ยงมังกรได้ผลประโยชน์ยิ่งใหญ่แล้ว”
ฉินมู่พึมพำและกล่าว “ข้าไม่น่าแต่งตั้งให้เขาเป็นราชามังกรแม่น้ำหย่งเลย แต่กระนั้นพวกเราก็ถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยสัตยาบันภูติบดี ทำให้ข้าไม่อาจกลับคำพูดได้…”
เขาปลดใบหลิวออกจากใจกลางหว่างคิ้ว และสำนึกรู้ของเขาก็เข้าไปในแผ่นดินรูปตัวฉิน “เทพสรรพชีวิต ภูติบดี พวกท่านสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของแดนโบราณวินาศหรือไม่”
เทพสรรพชีวิตและภูติบดีมองออกไปจากดวงตาที่สามของเขา และร่างของพวกเขาทั้งสองก็สั่นสะท้าน สองตัวตนบรรพกาลนี้หันไปมองกันและกันด้วยความหนักอึ้ง และมีวี่แววความเคร่งเครียดอยู่เกลื่อนใบหน้า
เทพครองดาวมหาตะวันก็มองออกไป และเขาร่ำร้องออกมา “แดนพิภพดึกดำบรรพ์! นั่นคือสถานที่เกิดของพระแม่ธรณี!”
ฉินมู่ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “นี่ไม่ใช่แดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณีหรอกหรือ ทำไมมหาตะวันถึงเรียกมันว่าแดนพิภพดึกดำบรรพ์เล่า”
“แดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณีเป็นนามที่เรียกขานขึ้นมาหลังจากการก่อตั้งสภาสวรรค์ แต่เดิมมันถูกเรียกว่าแดนพิภพ นั่นคืออาณาเขตของพระแม่ธรณี หลังจากที่สภาสวรรค์ถูกก่อตั้ง มันก็ได้ก่อสร้างขึ้นมาบนท้องฟ้าเหนือแดนพิภพดึกดำบรรพ์”
เทพครองดาวมหาตะวันกล่าว “เทพเจ้าทั้งหลายไปรวบรวมโลหะเทวะในแดนพิภพมาเพื่อหลอมสร้างเป็นสภาสวรรค์ และนี่ก็ทำให้พระแม่ธรณีไม่พอใจ นางรู้สึกว่าถูกแย่งชิงสมบัติล้ำค่าออกไปมากเกินไป และสภาสวรรค์ก็ได้ช่วงชิงชะตาและวาสนาของแดนพิภพ หลังจากนั้น เมื่อสภาสวรรค์หลอมสร้างสามสิบหกวังสวรรค์และเจ็ดสิบสองท้องพระโรง พวกเขาก็เอาโลหะเทวะมาอีกมาก และพระแม่ธรณีก็ยิ่งไม่เป็นสุข ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนชื่อแดนพิภพให้เป็นแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณี และกล่าวว่านี่คืออาณาเขตของนาง เมื่อวิญญูชนสวรรค์อวิ๋นในบรรดาเก้าวิญญูชนสวรรค์ก่อกบฏ เขาก็มาก่อสร้างสภาสวรรค์เวหาฮั่น เขาก่อสร้างมันขึ้นที่นี่ เมื่อครั้งกระนั้น ตอนที่ข้ากำลังเข้าโจมตีสภาสวรรค์เวหาฮั่น ข้าก็ถูกยิงเข้าจากข้างหลัง…”
ร่างแยกเทพสรรพชีวิตกล่าว “เจ้าควบคุมเทพครองดาวทั้งหลายทั้งมวล และไม่มีความลับใดในสภาสวรรค์หลงฮั่นที่หลุดรอดสายตาเจ้าไปได้ ใครควรจะตายล่ะถ้าไม่ใช่เจ้า”
เทพครองดาวมหาตะวันได้แต่ผงกหัวหงึกๆ และไม่กล้ากล่าวอะไรอื่น
ฉินมู่กล่าว “เทพสรรพชีวิตน่าจะรู้ความลับมากมายของแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณี ใช่ไหม”
ร่างแยกเทพสรรพชีวิตมองไปยังภูติบดีลาวา และภูติบดีลาวาก็กล่าว “สหายเต๋า เจ้าเป็นคนพูดเถอะ”
เทพสรรพชีวิตกล่าว “ข้ารู้มาบ้าง สภาสวรรค์เวหาฮั่นได้ก่อตั้งขึ้นมาในแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณี และหลังจากนั้น สภาสวรรค์แสงฉานก็ได้ก่อตั้งขึ้นที่นี่ด้วยเช่นกัน จักรพรรดิแดงฉาน เจ้าคงจะพอจำได้อยู่ใช่ไหม”
สำนึกรู้จักรพรรดิแดงฉานกล่าว “ใช่แล้ว แต่ในตอนนั้น แดนพิภพมิได้กว้างใหญ่ไพศาลเท่าที่มันเคยเป็นมา ข้าได้ยินว่าเพราะการล่มสลายของสภาสวรรค์เวหาฮั่น แดนพิภพส่วนหนึ่งจึงถูกทวยเทพลบล้างไป สิ่งที่ข้าเห็นในตอนนั้นคือแดนโบราณวินาศ แต่ในเวลานั้น แดนโบราณวินาศหลงฮั่นก็กว้างใหญ่ไพศาลอย่างลิบลับ กว้างกว่าแม้กระทั่งในบัดนี้”
“หลังจากที่เจ้าตายไป จักรพรรดิแสงก็สืบทอดรากฐานของเจ้าและต่อชะตาให้กับยุคสมัยแสงฉาน จักรพรรดิแสงก็ได้ขึ้นสู่อำนาจในแดนพิภพด้วยเช่นกัน”
เทพสรรพชีวิตกล่าวต่อ “หลังจากสภาสวรรค์จักรพรรดิแสงถูกทำลายล้าง และซากทัพที่เหลือได้อพยพไปยังโลกลอยเลื่อนแสงฉาน แดนพิภพก็มีขนาดหดตัวลงไปอีกครั้ง ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งก่อตั้งขึ้นมาบนซากอารยธรรมแห่งแดนโบราณวินาศแสงฉาน และพวกเขาก็ปกครองโลกหล้าจนถึงจุดสิ้นสุดของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เมื่อสี่หมื่นปีก่อน จักรพรรดิก่อตั้งได้เริ่มต้นขึ้นจากแดนโบราณวินาศจักรพรรดิสูงส่ง อันได้กลายมาเป็นแดนโบราณวินาศจักรพรรดิก่อตั้งในทุกวันนี้ สี่ยุคสมัยกล่าวได้ว่าล้วนแต่ก่อสร้างอยู่บนแดนพิภพ”
ฉินมู่ตกตะลึง สภาสวรรค์แห่งสี่ยุคสมัยล้วนแต่เริ่มต้นขึ้นมาจากสถานที่แห่งนี้ กลายไปเป็นสภาสวรรค์อันลอยเลื่อนอยู่เหนือที่นี่อย่างนั้นหรือ
แดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณีเป็นสถานที่แบบไหนกัน ถึงมีชะตาวาสนาอันเจริญรุ่งโรจน์เช่นนี้
“เทพสรรพชีวิตนิ่งงำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขณะที่พูดถึงการเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ท่านยังคงไม่ได้กล่าวว่าทำไมแดนพิภพดึกดำบรรพ์จึงกลายมาเป็นแดนโบราณวินาศในปัจจุบันนี้ ท่านยังคงไม่ได้กล่าวว่าพระแม่ธรณีอยู่ที่ใด และท่านก็ยังไม่ได้กล่าวด้วยซ้ำว่าไฉนแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณีถึงผุดโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง”
ฉินมู่คร่ำครวญอย่างขมขื่น “แม้ว่าเทพสรรพชีวิตเหมือนจะพูดมามากมาย แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ท่านไม่ได้พูดเนื้อหามากไปกว่าที่เทพครองดาวมหาตะวันบอกไปก่อนนี้เลย!”
ผู้เฒ่าหนวดขาวเป่าหนวดของเขาและถลึงตาจ้องเขาพลางกล่าวอย่างโมโห “เขาพูดมากเกินไป นั่นแหละเขาถึงตายเร็วนัก!”
ฉินมู่กล่าวอย่างเย็นเยียบ “พระแม่ธรณีตายแล้วหรือ หากว่าพระแม่ธรณีก็สิ้นชีวิตได้ ไฉนเทพสรรพชีวิตจะไม่สามารถตาย ไม่ว่าท่านจะบอกเล่าออกมาหรือไม่ ผู้อื่นก็คงจะไม่ปล่อยให้ท่านรอดไปอยู่ดี”
เทพสรรพชีวิตลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และเขาก็มองไปยังภูติบดีลาวา
ภูติบดีมีสายตาอันลึกล้ำและกล่าวไป “ข้าไม่ใช่นักถ้ำมอง ข้าไม่สอดสายตาจากแดนใต้พิภพไปมองเหตุการณ์ในแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณีตลอดเวลาหรอก มีก็แต่เมื่อดวงวิญญาณตกลงไปในแดนใต้พิภพ ข้าถึงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณี”
เทพสรรพชีวิตจึงมองไปยังเทพครองดาวมหาตะวัน และเทพครองดาวมหาตะวันก็หดหัวนกของเขาลงไป “อย่ามองมาที่ข้า ข้าถูกเกาทัณฑ์ลับคร่าชีวิตไปรอบหนึ่งแล้ว ข้าสอดแนมความลับมามากเกินไป ดังนั้นข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณีหลังจากที่ข้าตาย…”
เทพสรรพชีวิตถอนหายใจและกล่าว “ข้าคือนักถ้ำมอง และข้าก็รู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ในแดนพิภพ”
เขาชะงักไปครู่หนึ่งและกล่าวต่อ “อันที่จริงแล้ว ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งนั้นเกี่ยวข้องกับพระแม่ธรณี และยังเกี่ยวข้องกับสภาสวรรค์ ในเวลานั้น ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งแบ่งแยกออกเป็นสองการปกครอง และสองสภาสวรรค์นี้เป็นตัวแทนของอิทธิพลอำนาจที่แตกต่างกัน หลังจากความตายของพระแม่ธรณี ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งก็ถูกทำลายล้าง ข้าสามารถบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ คำตอบที่เหลือเจ้าจะต้องเสาะหาด้วยตนเอง”
หัวใจของฉินมู่สะท้านอย่างรุนแรง และเขาก็รีบกล่าว “เหนือและใต้จักรพรรดิสูงส่งถูกสถาปนา ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งถูกแบ่งออกเป็นฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ดังนั้นใครกันที่สนับสนุนอำนาจฝั่งไหน อีกอย่าง ท่านบอกว่าพระแม่ธรณีตายไปแล้ว ใครสังหารนาง”
เทพสรรพชีวิตเงียบกริบ
ฉินมู่อ้าปากถามต่อ และในที่สุดเทพสรรพชีวิตก็อดรนทนไม่ไหวและโพล่งออกมาอย่างเหลืออด “ข้าบอกเรื่องราวกับเจ้าไปตั้งมากมาย แล้วทำไมเจ้ายังมากวนใจข้าอีก ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพระแม่ธรณีตายไปได้อย่างไร ข้าก็แค่สันนิษฐาน! มีตัวตนมากมายที่สามารถปิดผนึกทัศนวิสัยของข้าได้ ข้าไม่อาจมองเห็นแดนใต้พิภพ ข้าไม่อาจมองเห็นโลกหยินสวรรค์ แม้แต่สภาสวรรค์ข้าก็มองไม่เห็น! ในช่วงปลายยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ข้าก็มองไม่เห็นแดนโบราณวินาศด้วยเช่นกัน! สาเหตุที่ข้าซ่อนตัวอยู่ในดวงตาของเจ้า นั่นก็เพราะว่าข้าอยากจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนปีเหล่านั้น!”
เมื่อเขาพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็กลายเป็นแห้งแล้งชืดชา “ข้าสามารถมองเห็นโลกมิติอื่นๆ แต่ว่าสิ่งที่ข้ามองไม่เห็นกำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ ข้า…ข้าแทบจะกลายเป็นสวรรค์ที่ผู้คนด่าทอกันว่า สวรรค์เจ้าตาบอดหรืออย่างไร ไปทุกวี่วันอยู่แล้ว…”
ภูติบดีลาวากล่าวแก่ฉินมู่ “การผุดโผล่กลับมาของแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณี อาจจะเกี่ยวข้องกับสำนึกรู้ที่ยังหลงเหลืออยู่ของพระแม่ธรณี เจ้าจะต้องระวังตัว”
ฉินมู่ฉงนฉงายและถาม “ทำไมข้าจะต้องระวังตัว”
ภูติบดีลาวากล่าว “เจ้าได้กลืนกินจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้ามากมายที่ด่านกุญแจหยก และท่ามกลางพวกเขาก็มีลูกๆ ของพระแม่ธรณีจากยุคสมัยหลงฮั่น ความผิดตกอยู่กับเจ้า และข้าก็ได้บันทึกบาปกรรมของเจ้าเอาไว้แล้ว แต่ทว่า ด้วยมนุษยธรรมของข้า ข้าก็เลยต้องบอกเตือนเจ้า”