ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 775 มหาจักรพรรดิมรรคาบู๊
ฉินมู่และชาวนาเฒ่าเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ขณะที่กิเลนมังกรและกิเลนวารีเดินตามไปข้างหลัง กิเลนวารีกวาดสายตามองกิเลนมังกรขึ้นๆ ลงๆ จากด้านข้าง และเขาก็พลันยิ้มหยัน “เจ้านั้นก็เป็นเผ่าพันธุ์กิเลน ครึ่งเทพตนหนึ่ง แต่ทว่าเจ้าน่ะไร้กระดูกสันหลังจนเกินไป เจ้าได้โยนหน้าของเผ่าเทวะกิเลนของพวกเราทิ้งไปหมดแล้ว! ถึงกับพินอบพิเทาไปเป็นสัตว์ขี่ของผู้อื่น ถึงกับไปไถนา แล้วยังร้องไห้หงิงๆ เหมือนกับทารก!”
กิเลนมังกรปรายตามองเขาและกล่าวด้วยเสียงอู้อี้ “อะไรอยู่บนหลังเจ้า”
วิญญูชนสวรรค์อวี้นั่งอยู่บนหลังกิเลนวารี และมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้
กิเลนวารีแทบจะสำลักน้ำลาย และแค่นเสียง “ข้าแตกต่างจากเจ้า ข้าถูกนายของเจ้าคร่ากุมตัวมา และหากว่าข้าไม่ยอมแพ้ ก็จะต้องตาย ดังนั้นข้าจึงประนีประนอมและกลายมาเป็นสัตว์ขี่ของนายท่านหลัน เจ้าสิไม่เหมือนกัน เจ้านั้นถึงกันครางหงิงๆ และร้องไห้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเผ่าเทพกิเลนของพวกเราแข็งแกร่งมากขนาดไหนในอดีต เผ่ามังกร เผ่าหงส์เพลิง พวกเขาล้วนแต่ต้องยอมรับว่าต่ำอาวุโสกว่าเมื่อพบกับพวกเรา…”
กิเลนมังกรกล่าวอย่างใจเย็น “เจ้าเคยกินยาวิญญาณมาก่อนหรือเปล่า”
กิเลนวารีดุด่าไปด้วยความโกรธ “กินยาวิญญาณอะไร กินคน กินครึ่งเทพ กินสัตว์ประหลาด กินมังกร กินหงส์เพลิงสิ ตราบเท่าที่เป็นสิ่งมีชีวิต พวกเราก็กินได้ทั้งนั้น! พวกเราจะต้องการยาวิญญาณไปเพื่ออะไร”
กิเลนมังกรมองไปรอบๆ และพบว่าไม่มีใครเฝ้ามองเขา ตอนนั้นเขาถึงนำถุงผ้าหนึ่งออกมา เขาบีบยาวิญญาณออกมาหนึ่งเม็ดอย่างระมัดระวังและกล่าว “นี่คือยาวิญญาณแห่งธาตุสายฟ้าและไฟ จ้าวลัทธิได้หลอมปรุงมันขึ้นมาเพื่อข้าโดยเฉพาะ ดังนั้นมันน่าจะไม่เหมาะกับเจ้าเท่าไร ข้าไม่มีเก็บไว้มากมาย ดังนั้นหนึ่งเม็ดนี้จึงให้เจ้าชิม”
กิเลนวารีชิมไปหนึ่งเม็ด และเขาก็ตกตะลึงทันที
“เจ้าพูดจาเหลวไหลแล้ว นายของเจ้าให้อาหารเจ้าเต็มอ่างจนแทบจะล้นอยู่ชัดๆ มันถึงกับก่ายกองเป็นภูเขา!”
กิเลนวารียิ้มแฉ่งและกล่าวซ้ำๆ “ให้ข้าอีกสองเม็ด เพียงแค่สองเม็ดเท่านั้น!”
กิเลนมังกรส่ายหัวไปมา “นี่คือยาวิญญาณธาตุไฟและสายฟ้า เจ้าเป็นกิเลนวารีและไม่ใช่กิเลนมังกร เจ้ากินนี่ไม่ได้หรอก หากว่าเจ้ากินมากเกินไป มันจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย เจ้าเองก็มีเจ้านาย ให้นายของเจ้าหลอมปรุงให้เจ้าสิ”
กิเลนวารีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และหัวใจของเขาก็ติดเป็นเงื่อนปม “เกียรติศักดิ์ของเผ่ากิเลนของข้า…”
กิเลนมังกรเมินเขาและติดตามฉินมู่ไป
ฉินมู่เริ่มต้นพูดคุยถึงเจตนาของเขาที่มา และกล่าว “แดนโบราณวินาศในขณะนี้ กว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้เปรียบปาน มีอันตรายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ศิษย์หลานหวังว่าจะหยิบยืมพลังอำนาจของโลกสู้วัวเพื่อปกป้องผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศ”
ใบหน้าอันเหมือนเปลือกไม้ของชาวนาเฒ่ายิ่งมีรอยยับย่นมาขึ้นอีก เมื่อเขาหน้านิ่วคิ้วขมวด “ทุกๆ หมู่บ้านมีรูปสลักหินปกป้องคุ้มกันอยู่แล้ว และแม้แต่เมืองทั้งหลายเหล่านั้นก็มีรูปสลักหินด้วยเช่นกัน ท้าวยมราชแห่งยมโลกได้ถ่ายทอดคำสั่งมาอนุญาตให้รูปสลักหินในแดนโบราณวินาศฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ท้าวยมราชยังได้ส่งเทพปักษาฉือซิ่วมาถามข้าว่าข้าต้องการเทพเจ้าแห่งจักรพรรดิก่อตั้งเข้ามาปกป้องโลกสู้วัวมากกว่านี้หรือไม่ แต่ข้าปฏิเสธความหวังดีของเขาไป แดนก่อกำเนิดผุดขึ้นมาในคราวนี้เป็นเพียงแค่น้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรเท่านั้น อันตรายที่แท้จริงยังไม่เผยโฉมออกมา”
ฉินมู่หัวใจหวั่นไหวและเอ่ยถาม “ถ้าเช่นนั้น อาจารย์ลุงคิดว่าอันตรายจะมาจากที่ไหนหรือ”
“อันตรายที่แท้จริงมิได้อยู่ในแดนโบราณวินาศ มันอยู่ในสันตินิรันดร์”
ชายนาเฒ่าได้ยินคำเรียกหาว่าอาจารย์ลุง ก็รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวอย่างสุดๆ เขาไม่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบอีกต่อไป และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเทียบกับพวกครึ่งเทพแล้ว สันตินิรันดร์ยังคงอ่อนแอเกินไป เจ้าเคยได้ยินแผนพิชัยยุทธ ขับไล่พยัคฆ์ให้ไปกลืนกินหมาป่าหรือไม่”
ฉินมู่อึ้งไป และเขาก็ถามหยั่งลึกกว่าเดิม “อาจารย์ลุงหมายถึงอะไร”
“แดนโบราณวินาศคือแดนก่อกำเนิดที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ การที่แดนก่อกำเนิดทลายฝ่าเวทปิดผนึกมาในคราวนี้ และเผยโฉมปรากฏแก่โลกหล้า นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝันเอาไว้ แม้แต่นักบุญคนตัดไม้ก็ไม่ทันได้ตั้งตัว”
ชาวนาเฒ่ากล่าวอย่างเยือกเย็น “ยังคงมีข้าราชบริพารแห่งจักรพรรดิก่อตั้งอยู่ในแดนโบราณวินาศ และมีผู้คนทั่วไปอยู่ไม่มากนักในแดนโบราณวินาศ จำนวนประชาการอย่างมากก็หลักสิบล้านคน ตราบเท่าที่พวกเรารวบรวมผู้คนทั้งหมดแห่งแดนโบราณวินาศเข้ามาไว้ด้วยกัน และสร้างเมืองเทพยดาสักหลายๆ แห่ง ด้วยการปกป้องพิทักษ์ของข้าราชบริพารจักรพรรดิก่อตั้งที่เหลืออยู่ พวกเราก็จะสามารถรับประกันความปลอดภัยของผู้คนเหล่านั้น แต่สันตินิรันดร์? มีประชาการสองสามพันล้านคน ใช่ไหม ผู้คนเหล่านั้นกระจายตัวกันไปตามเมืองต่างๆ และบัดนี้ระยะห่างระหว่างเมืองแต่ละเมืองก็ไกลกว่าเดิมถึงหนึ่งร้อยเท่า”
หัวใจของฉินมู่เริ่มตกวูบ
ชาวนาเฒ่ากล่าวต่อไป “การคมนาคมระหว่างเมืองแต่ละเมืองถูกตัดขาด ป่าดึกดำบรรพ์และแดนก่อกำเนิดผุดขึ้นมาห้องล้อมเมืองทั้งหลายเอาไว้ ทั้งยังมีการปรากฏตัวของครึ่งเทพ เช่นเดียวกับซากโบราณและสมรภูมิรบอันเปี่ยมอันตรายทั้งหลาย สิทธิราชย์ของจักรพรรดิสันตินิรันดร์ที่ปกครองแผ่นดินทั่วทุกหัวระแหงได้ตกลงไปใกล้จุดเยือกแข็ง และแต่ละสถานที่ก็เริ่มจะปกครองตนเอง ไม่นานหลังจากนี้ การปฏิรูปแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็จะถูกทำลายลงไปโดยสิ้นเชิง โดยปราศจากพสกนิกร ก็จะไม่มีการปฏิรูป จักรวรรดิจะล่มสลาย! ต่อให้จักรพรรดิมีแรงทะยานใจอันยิ่งใหญ่ และอพยพผู้คนทั้งหมดมายังบริเวณใกล้เคียงกับเมืองหลวงเพื่อก่อสร้างจักรวรรดิขึ้นมาใหม่ นั่นก็จะต้องอาศัยเวลาหลายร้อยปี!…
…แต่ทว่า ภายในไม่กี่เดือน สถานที่มากมายก็จะประกาศตนเป็นอิสรภาพจากสันตินิรันดร์ พวกเขาจะเป็นจักรพรรดิของตนเอง! กองกำลังกบฏจะมีมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่สถานที่ที่สันตินิรันดร์จะรักษาเอาไว้ได้ ก็มีแค่บริเวณโดยรอบเมืองหลวงเท่านั้น!”
เขายิ้มหยันและกล่าว “และเพื่อต่อสู้โต้กลับกองกำลังใหม่ที่ผุดขึ้นมา อย่าเพิ่งไปคิดว่าสันตินิรันดร์จะมีความสามารถสู้ได้หรือไม่ เพียงแค่การเดินทางยกทัพไปก็ใช้เวลาเป็นร้อยปีแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้น สันตินิรันดร์ยังไม่มีความสามารถสู้รบปรบมือกับพวกครึ่งเทพได้!”
ชาวนาเฒ่าระบายลมหายใจสะท้านและกล่าว “เมื่อข้าพูดถึงการขับพยัคฆ์ให้ไปกลืนกินหมาป่านั้น สันตินิรันดร์คือหมาป่า และพยัคฆ์ก็คือครึ่งเทพทั้งหลายในแดนก่อกำเนิด นอกจากพวกครึ่งเทพ และมีเสือโหยตัวอื่นๆ อีกด้วย เงยศีรษะของเจ้าขึ้นไปและมองดู”
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นมองไปยังท้องฟ้า บนท้องฟ้า โลกมิติมากมายสาดแสงส่องด้วยสีสันทุกชนิด เมฆและหมอกคลี่คลุมแผ่นปฐพีเหล่านั้นเอาไว้ ขณะที่ดวงดาวมากมายก็โคจรไปในนภากาศ โลกเหล่านั้นทั้งแจ่มจรัสและเจิดจ้า
“โลกมิติเหล่านั้นมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่”
ชาวนาเฒ่ากล่าว “เมื่อถึงเวลากลางคืนในแดนโบราณวินาศ มารเทวะมากมายก็มักจะปรากฏตัวออกมา และมารเทวะเหล่านั้นก็มาจากโลกมิติพวกนี้ เมื่อแดนก่อกำเนิดถูกปิดผนึก พวกเขาก็จะต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเพื่อที่จะล่วงล้ำเข้ามา พวกเขาจะต้องคิดหาวิธีการอย่างเช่นบูชายัญโลหิต แต่ทว่า ตอนพวกเขาเข้ามาได้ง่ายมากกว่าเดิมยิ่งนัก สันตินิรันดร์จะต้องเผชิญกับครึ่งเทพในเวลากลางวันและเทพเจ้าจากโลกอื่นในเวลากลางคืน พวกเขาจะรอดชีวิตอยู่ได้อย่างไรภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น”
ฉินมู่รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
เขาเคยได้พบกับมารเทวะต่างโลกในแดนโบราณวินาศหลายครั้ง อย่างเช่นตอนที่เขากับผู้ใหญ่บ้านออกไปเสาะหาหมู่บ้านไร้กังวลในเวลากลางคืน พวกเขาเผชิญกับมารเทวะนารี และฝูงมารฟ้า
ครั้งแรกที่พวกเขาไปยังบ่อตะวันเพื่อเยี่ยมเยียนเอี๋ยนจิงจิง เขาก็ได้ปะทะกับเผ่าขนนกสวรรค์ที่ถูกมารเทวะตนหนึ่งควบคุมบงการให้พวกเขามาโจมตีบ่อตะวัน
และที่บ่อจันทรา เขาเห็นมารเทวะมากมายโจมตีบ่อจันทราและทำลายล้างเผ่านักต้อนจันทราจนเหี้ยนเตียน
ในอดีต แดนโบราณวินาศมีม่านคุ้มกันตามธรรมชาตินี้ และสันตินิรันดร์ก็ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้เมื่อโลกทั้งโลกหลุดออกมาจากเวทปิดผนึก สันตินิรันดร์จะยังคงปลอดภัยอยู่หรือไม่หลังจากที่แดนโบราณวินาศได้แปรเปลี่ยนไปเป็นแดนก่อกำเนิด
“การล่มสลายของจักรวรรดิสันตินิรันดร์เป็นเรื่องที่แน่นอน อันดับแรกสันตินิรันดร์จะพังทลายไปทีละชิ้นๆ ในเมื่อภูมิภาคต่างๆ ก็จะแยกตัวออกไปจากสันตินิรันดร์เพื่อก่อตั้งจักรพรรดิของพวกเขาขึ้นมา ซากทัพแห่งแสงฉานก็จะไม่เจียมตัวอีกต่อไป ทั้งยังมีฟู่ยื่อลัว ชายแดนเหนือ ทุ่งหญ้า แผ่นดินตะวันตก ทุกๆ ภูมิภาคจะแยกออกจากกัน”
ชาวนาเฒ่ามองไปที่เขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักอึ้ง “อาณาเขตและผู้คนที่สันตินิรันดร์จะปกครองได้ จะมีไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ครึ่งเทพทั้งหลายก็จะลงมือต่อจักรวรรดิสันตินิรันดร์ คิดถึงพสกนิกรแห่งแดนโบราณวินาศจะดีกว่า ข้าจะไปแจ้งแก่ท้าวยมราชให้ฟื้นคืนชีพรูปสลักหินและให้พวกเขาพาผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศมาที่นี่ โดยมีสถานที่แห่งนี้เป็นจุดศูนย์กลาง พวกเราก็จะก่อสร้างประเทศ เจ้าเป็นเชื้อสายของจักรพรรดิก่อตั้ง เจ้าก็จงเป็นจักรพรรดิของประเทศแห่งนี้ สันตินิรันดร์นั้นเกินเยียวยาแล้ว”
ฉินมู่ตั้งสติตนเอง
ครูบาสวรรค์วิชาบู๊มีความคิดอันยาวไกล และเขาก็แม่นยำเป็นอย่างยิ่ง
บัดนี้เมื่อแดนก่อกำเนิดถูกคลายผนึก สันตินิรันดร์ก็จะต้องเผชิญกันอันตรายอันยิ่งใหญ่ที่สุด มันถึงกับอันตรายเสียยิ่งกว่าภัยพิบัติหิมะเมื่อครั้งกระโน้น
การปฏิรูปสันตินิรันดร์ก็จะขาดสะบั้นไป และแม้กระทั่งถดถอยกลับไปสู่สถานการณ์ที่ประเทศต่างๆ ปกครองตนเองและมีค่ายสำนักก่อเกิดขึ้นทุกหนแห่ง!
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง ราชครูสันตินิรันดร์ และแม้แต่นักบุญคนตัดไม้ก็คงจะกังวลจนแทบป่วยไข้ และคงจับต้นชนปลายไม่ออกอยู่ในขณะนี้
“อาจารย์ลุง ข้าไม่มีปณิธานเช่นเดียวกับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง และไม่มีทั้งความสามารถที่จะผลักดันและขับเคลื่อนการปฏิรูปเหมือนราชครูสันตินิรันดร์ หากว่าข้าขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งแดนโบราณวินาศ ข้าก็จะถูกรุมเร้าด้วยกิจการโลกวิสัยในแต่ละวัน และก็จะเครียดจนเกินกว่าที่จะผลักดันการปฏิรูปใดๆ เมื่อเทียบกับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแล้ว ข้าไม่คิดว่าข้าจะสามารถทำได้”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีผู้คนไม่มากนักที่มีปณิธานทะยานฟ้าเช่นเดียวกับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง และมีผู้คนเพียงไม่กี่คนที่มีความสามารถในการขับเคลื่อนเรื่องราวได้เท่ากับราชครูสันตินิรันดร์ ข้าถึงกับรู้สึกว่าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและราชครูสันตินิรันดร์ทำได้ดีเสียยิ่งกว่าจักรพรรดิก่อตั้งและนักบุญคนตัดไม้ ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็ยังเป็นบททดสอบแก่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง เพื่อดูว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์จะสามารถบุกบั่นต่อไปได้หรือไม่ หากว่าพวกเขากัดฟันบุกฝ่าต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นไปได้ทั้งนั้น”
ชาวนาเฒ่าจ้องไปที่เขาและยิ้มหยัน “สันตินิรันดร์จะหาอะไรมาต่อกรกับครึ่งเทพพวกนั้นได้ พวกเขาจะต่อสู้กับโลกมิติเหล่านั้นได้อย่างไร การล่มสลายของจักรวรรดิสันตินิรันดร์เป็นเรื่องของเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น!”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปัญหาย่อมมีหนทางแก้ไขเสมอ อาจารย์ลุง ในบัดนี้เมื่อแดนก่อกำเนิดถูกคลายผนึกออกมาอย่างกะทันหัน และครึ่งเทพทั้งหลายก็มุ่งหน้าไปน้อมสักการะพระแม่ธรณี ท่านมองเห็นอะไรจากเรื่องนี้”
ชาวนาเฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้าจะเห็นอะไร ข้าจะนอนคว่ำมองดู ข้าจะนอนหงายมองดู! ข้าจะมองดูพวกเจ้าทุกคนส่งตัวเองไปตายทีละคนสองคน!”
ฉินมู่หัวเราะอย่างขี้เล่น “อาจารย์ลุง ท่านโมโหโยเยอีกแล้ว พวกเรากำลังพูดเรื่องสำคัญกันอยู่นะ”
ชาวนาเฒ่าถลึงตาจ้องเขาและหุบปากสนิท
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินมู่ไม่หดหายไป และเขากล่าว “ข้าได้คิดถึงวิธีการที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องที่ผู้คนแห่งโลกสู้วัวไม่มีสะพานเทวะได้อย่างหมดจดสิ้นเชิง ข้าวางแผนที่จะทำลายสะพานเทวะของข้าหลังจากที่ปลุกเปิดสมบัติเทวะเป็นตายขึ้นมา เพื่อบุกเบิกสมบัติเทวะสะพานเทวะขึ้นใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ข้าสำเร็จเชี่ยวชาญวิธีการนี้แล้ว ไม่เพียงแต่ผู้คนแห่งโลกสู้วัว แต่กระทั่งผู้คนที่ถูกตัดสะพานเทวะให้หักในแดนโบราณวินาศและสันตินิรันดร์ พวกเขาก็จะมีความหวังที่จะบุกเบิกสมบัติเทวะสะพานเทวะขึ้นมาใหม่ได้ และสามารถฝึกปรือจนบรรลุเป็นเทพเจ้า! อาจารย์ลุง โปรดช่วยสนับสนุนข้าด้วยการออกหน้าไปยังสันตินิรันดร์ เพื่อช่วยเหลือจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและราชครูสันตินิรันดร์ในการบุกบั่นฝ่าอุปสรรคนี้!”
สายตาของชาวนาเฒ่าดุร้าย และเขาก็ยิ้มหยัน “เจ้ารู้ว่าผู้คนเหล่านี้คือลูกหลานของทหารหาญแห่งวังสู้วัวของข้าที่ตกตายไปในสนามรบ ดังนั้นเจ้าจึงใช้ข้อตกลงนี้มาล่อลวงข้า แต่ถ้าหากว่าเจ้าไม่สามารถบุกเบิกสมบัติเทวะสะพานเทวะได้ล่ะ?”
ฉินมู่ยิ้มอย่างมั่นใจและกล่าว “ข้าคือกายาจ้าวแดนดิน ไม่มีผู้ใดที่เหมือนกับข้าไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน”
ชาวนาเฒ่าสูดลมหายใจลึก
ข้อตกลงของฉินมู่ให้เขาหวั่นไหวใจจริงๆ
ผู้คนในโลกสู้วัวเป็นบ่วงพันธนาการเขาเอาไว้ตลอดทั้งชีวิต หลังจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งถูกทำลายล้าง เขาก็กลบฝังทหารเหล่านั้นที่ได้ตายไปในการต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ และในฐานะผู้นำและผู้บัญชาการแห่งวีรบุรุษเหล่านี้ เขาก็มีความรู้สึกผิดต่อคนเหล่านั้น ดังนั้นเขาจึงได้ปกป้องพิทักษ์ทายาทของเหล่าทหารผู้พลีชีพมาเป็นเวลาสองหมื่นปี
เมื่อเขาเห็นทายาททหารเหล่านั้นตายไปจากความชรา และเขาก็ได้เห็นผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ ก็ตายไปจากความชราด้วยเช่นกัน ก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถกระทำได้
ไม่มีใครที่จะเหมือนเช่นเขา อาศัยมรรคาบู๊เพื่อเหาะเหินไปยังปราสาทสวรรค์ภายในสถานการณ์อันปราศจากสมบัติเทวะสะพานเทวะ
แม้แต่ฉินมู่และหูปู้กุยก็พบว่าเป็นเรื่องยากลำบากที่จะบรรลุถึงขั้นนั้น เมื่อพวกเขาย่างกรายเข้าสู่มรรคาบู๊
เขานั้นเป็นปรมาจารย์เพียงหนึ่งเดียวแห่งมรรคาบู๊นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบันและไปถึงอนาคต เขาคือมหาจักรพรรดิมรรคาบู๊!
หากว่าฉินมู่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้จริงๆ เขาก็จะต้องลงจากภูเขาเพื่อไปช่วยเหลือฉินมู่ให้จงได้ เพื่อช่วยสนับสนุนจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง และราชครูสันตินิรันดร์!
ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยสายตาอันเร่าร้อน และรอคำตอบของเขาอย่างเงียบกริบ
ชาวนาเฒ่าสงบใจลง และใบหน้าที่เหมือนกับดินอันแห้งผากของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา เขาต่อยลงไปยังตำแหน่งเหนือใจกลางหว่างคิ้วของฉินมู่ขึ้นไปเล็กน้อย
ฉินมู่ครางเสียงหนัก และเขากระอักเลือดออกมากำใหญ่ เขาทั้งสับสนและตื่นตระหนก
แม้ว่าหมัดของชาวนาเฒ่าจะดูกร้าวแกร่งเขื่องโข แต่มันก็ประหลาดเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่ามันจะกระแทกเข้าไปเหนือใจกลางหว่างคิ้วของเขา แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อกายเนื้อของเขา
พลานุภาพของกำปั้นนี้ไร้ประมาณ และสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทาง เมื่อมันไหลเข้าไปในร่างกายของเขาเขาก็รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างได้แตกทำลายข้างในร่าง!
“ข้าได้ทำลายสมบัติเทวะสะพานเทวะของเจ้าที่ยังไม่ทันปลุกเปิดขึ้นมาไปแล้ว”
ชาวนาเฒ่ารั้งกำปั้นอันหนาใหญ่ของเขากลับ ก่อนที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สมบัติเทวะอื่นๆ ของเจ้ายังอยู่ดี ดังนั้นไม่ต้องกังวลอะไร แต่ทว่าสมบัติเทวะสะพานเทวะถูกข้าทำลายลงไป ไม่มีอะไรหลงเหลือ! บาดแผลของเจ้าจะหายดีในไม่ช้า และจะไม่มีอาการบาดเจ็บแฝงเร้นหลงเหลืออยู่ แต่ทว่า แม้เจ้าจะปลุกเปิดสมบัติเทวะเป็นตายขึ้นมา อายุขัยของเจ้าก็จะเหลือเพียงแค่หกร้อยปี เจ้าควรจะภาวนาให้เจ้าสามารถค้นหาวิธีการบุกเบิกสมบัติเทวะสะพานเทวะได้จะดีกว่า ไม่เช่นนั้น ก็อยู่รอวันตายไปซะ!”
ฉินมู่ปาดเลือดที่มุมปากของเขาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อาจารย์ลุง ข้าจะต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน!”
ชาวนาเฒ่าไปยังใจกลางหมู่บ้านและตะโกนออกไป “ทหารทุกคนจงฟัง ข้าจะไปยังสันตินิรันดร์ ส่วนพวกเจ้าจงอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องคุ้มกันโลกสู้วัว! นำเกราะรบมาให้ข้า!”
ชาวบ้านในหมู่บ้านล้วนแต่ประหลาดใจแกมยินดี พวกเขารีบไปนำเกราะครบชุดมาให้ และชาวนาเฒ่าก็ดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรในตอนที่สวมใส่มัน เขามองไปยังกิเลนมังกร และกิเลนมังกรก็ตัวสั่นระริก
ชาวนาเฒ่าส่ายศีรษะ “ร่างกายของข้าหนักเกินไป เจ้าแบกข้าไม่ไหวหรอก ข้าไปตามหาซานตัวก่อน”
กิเลนมังกรรู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก
ทุกคนโค้งคารวะ และรัศมีของพวกเขาก็พวยพุ่งขึ้นไปสู่ฟากฟ้า พลางร้องออกไปเป็นเสียงเดียว “ขอท่านจงรักษาตัว ครูบาสวรรค์วิชาบู๊!”
ฉินมู่โค้งคารวะและกล่าว “ขอท่านจงรักษาตัว มหาจักรพรรดิมรรคาบู๊!”
“มหาจักรพรรดิมรรคาบู๊?”
ชาวนาเฒ่าตะลึงไปเล็กน้อย เขาหัวร่อฮาๆ และแสงสว่างก็สาดส่องจากร่างกายของเขาอย่างเจิดจ้าท่ามกลางเสียงหัวเราะนั้น เขาโจนทะยานขึ้นไป เหยียบอากาศและหายวับโดยไร้ร่องรอย
ฉินมู่ยืดตัวขึ้นยืนตรง และไปยังข้างท้องร่องน้ำครำ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “พุทธเจ้า ท่านขึ้นมาได้แล้ว”
พุทธเจ้าท้าวสักกะเหลือกตาใส่เขาและกล่าว “ชาวนานั่นไปแล้วจริงๆ หรือ เจ้ากำลังจะโกหกข้าอีกแล้วหรือเปล่า”
ฉินมู่ไปยังท้องร่องเหม็นๆ และช่วยพยุงเขาขึ้นมา เขากล่าวอย่างมั่นเหมาะ “เพื่อที่จะช่วยเหลือพุทธเจ้า ข้ารับหมัดจากครูบาสวรรค์วิชาบู๊ และเขาก็ได้ทำลายสมบัติเทวะสะพานเทวะของข้า”
“ข้าเกือบจะเชื่อเจ้าอยู่แล้วเชียว”
พุทธเจ้าท้าวสักกะยิ้มหยันและกล่าว “เจ้าคิดจะหลอกข้าอีกแล้วใช่ไหม ช้าก่อน มันแตกทำลายไปแล้วจริงๆ ด้วย! เจ้า…ทำไมเจ้าถึงต้องทำขนาดนี้”