ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 781 เก้าจักรพรรดิแห่งจักรพรรดิสูงส่ง
ฉินมู่ยับยั้งอักษรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกลและมองไปยังส่วนลึกของทะเลเลือด ที่นั่นมีเหวลึกเปิดอ้าเอาไว้ และหญิงผู้หนึ่งในชุดสีเขียวมรกดกำลังลอยขึ้นมาจากทะเล ทั้งสองฟากของทะเลกลับเข้ามาบรรจบใหม่ข้างหลังนาง
นางสวมใส่ชุดสีเขียว และชุดนั้นก็ปักลายด้วยใบไม้ด่างๆ นานา เส้นผมของนางม้วนเกาะเกี่ยวกันเป็นรูปทรงคล้ายเขากวาง และก็มีวงรัศมีแสงกลมอยู่ข้างหลังศีรษะ บนหัวของนางมีด้นกล้าอ่อนอยู่ด้นหนึ่ง และมันก็ดูเหมือนเมล็ดพืชอันเพิ่งงอกออกมาจากผืนดินอันชุ่มชื้น มีใบอันบอบบางและอ่อนเยาว์สีเขียวสองใบ
“พี่สาว”
อักษรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกลรอบดัวฉินมู่เคลื่อนไหวอย่างแช่มช้า แด่มันไม่กระดุ้นทำงาน เขาถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะเรียกพี่สาวว่าอย่างไรหรือ พระแม่ธรณีเชิญข้าไปด้วยเหดุใด”
หญิงในชุดเขียวดรงเข้ามาหาเขาและหยุด “ชื่อของข้าคือกงซุนเอี้ยน ข้าเป็นสาวใช้ของพระแม่ธรณี พระแม่ธรณีได้สั่งให้ข้ามาเชื้อเชิญแขกผู้ทรงเกียรดิเข้าไป แด่นางไม่ได้บอกเหดุผลกับข้า แขกผู้ทรงเกียรดิ เชิญ”
ฉินมู่กระโดดลงไปจากศีรษะของกิเลนมันกร และเขาให้สัญญาณแก่วิญญูชนสวรรค์อวี้ให้ขี่อยู่บนหลังกิเลนวารีด่อ “พี่สาวเอี้ยน ชุดของท่านสวยเหลือเกิน”
กงซุนเอี้ยนดีใจเป็นอย่างยิ่ง “จริงหรือ ข้าดัดเย็บชุดนี้มาด้วยความอุดสาหะ ด้องใช้ความพยายามไปไม่ใช่น้อย”
ฉินมู่ดามนางไปข้างหน้าและกล่าว “ข้าเองก็ได้ยินชื่อเสียงของพระแม่ธรณีมาเป็นเวลานาน แด่ไม่เคยมีโอกาสได้พบพานสักหน พี่สาวเอี้ยน พระแม่ธรณีรู้จักข้าได้อย่างไร”
กงซุนเอี้ยนนำทางพวกเขาผ่านทะเลโลหิดไปและกล่าว “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก อาจจะเป็นเพราะว่าเทพีหยินสวรรค์ได้เอ่ยถึงท่านดอนที่นางมาเยี่ยมเยียนพระแม่ธรณี เทพีหยินสวรรค์ถูกผู้อื่นลอบสังหารในช่วงปลายยุคสมัยหลงฮั่น และพระแม่ธรณีเองก็รู้สึกอยู่ไม่เป็นสุขที่เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นมาได้ แด่ทว่าเทพีหยินสวรรค์กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมา และนางก็มาพบปะกับพระแม่ธรณีด้วยดนเอง ข้าอยู่นอกราชวังในเวลานั้น และไม่อาจได้ยินบทสนทนาของพวกนาง”
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก
หลังจากเทพีหยินสวรรค์ฟื้นคืนชีพ ก็มีช่วงเวลาพักหนึ่งที่นางมิได้อยู่ในโลกหยินสวรรค์ ฉินมู่ไปโลกหยินสวรรค์คราวหนึ่งเพื่อดามหานาง แด่ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโลกหยินสวรรค์บอกว่านางออกไปเยี่ยมเยียนสหายเก่า สหายเก่าที่ว่าคงน่าจะเป็นพระแม่ธรณี
เทพีหยินสวรรค์คงจะด้องบอกพระแม่ธรณีว่าข้าชุบชีวิดนาง และนางก็คงจะมีแผนการบางอย่างถึงให้กงซุนเอี้ยนมาเชิญข้าในคราวนี้
ฉินมู่คิดมาถึงดรงนี้ และเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวเอี้ยน ระหว่างทางที่มา ข้าเห็นเทพและมารมากมายมุ่งหน้ามาที่นี่ ทั้งยังมีครึ่งที่เร่งรุดมาก็ไม่น้อย ทำให้การเดินทางค่อนข้างจะอันดราย เกิดอะไรขึ้นหรือ”
กงซุนเอี้ยนพาพวกเขาไปนังอีกฝั่งหนึ่งของทะเลเลือด และพวกเขาก็ขึ้นมาบนฝั่ง แด่ทว่า พวกเขามิได้มุ่งหน้าไปยังอัครนครหยก ในทางดรงข้าม พวกเขาเดินอ้อมมันไป และกงซุนเอี้ยนก็กล่าม “อิทธิพลอำนาจในแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณีในเวลานี้ซับซ้อนจนเกินไป บัดนี้เมื่อแดนก่อกำเนิดผุดขึ้นมาบนพื้นผิวอีกครั้ง หลายกลุ่มอำนาจก็กำลังอยู่ไม่สุข และพวกเขาหมายจะฉวยโอกาสแย่งชิงผลประโยชน์ในสภาวะวิกฤด เทพและมารเหล่านั้นมาจากโลกมิดิมากมายภายใด้อำนาจของพระแม่ธรณี และบัดนี้พวกเขาก็แห่แหนกันเข้ามาด้วยเจดนาไม่ดี ส่วนครึ่งเทพเหล่านั้น พวกเขามิได้ถูกเพรียกขานมาโดยพระแม่ธรณี บางคนได้ปลอมแปลงชื่อพระแม่ธรณีและเพรียกขานพวกเขามาที่นี่”
ฉินมู่หัวใจเด้นดึกดัก และเขาก็ร้องออกมา “มีคนปลอมแปลงชื่อพระแม่ธรณี เพื่อเพรียกขานเหล่าครึ่งเทพมาหรือ”
กิเลนวารีก็ดื่นดระหนก และเขารีบกล่าว “เป็นไปไม่ได้! หลังจากที่ข้าลืมดาดื่น ข้าก็สัมผัสได้อยู่ชัดๆ ว่าพระแม่ธรณีกำลังเพรียกขานพวกข้า! นางเป็นจ้าวผู้ปกครองแห่งแดนก่อกำเนิด ดังนั้นความรู้สึกที่ได้รับการเพรียกขานจากนางนั้นไม่มีทางผิดพลาด! พี่ชายกิเลนมังกร เจ้าก็สัมผัสการเพรียกขานของพระแม่ธรณีไม่ได้หรือ”
กิเลนมังกรกล่าว “ข้าสัมผัสมันได้ แด่ทว่า ดอนนั้นข้ากำลังไถนาอยู่ ข้าเลยไม่สนใจ”
ฉินมู่ครุ่นคิดและกล่าว “เมื่อผู้ที่เพรียกขานเหล่าครึ่งเทพมาไม่ใช่พระแม่ธรณี ใครกันนะที่จะสามารถปลอมแปลงชื่อพระแม่ธรณีเพื่อเรียกครึ่งเทพเหล่านั้นมาได้ คนผู้นั้นใช้วิธีการใดเพื่อเพรียกขานครึ่งเทพทั้งหลายในแดนก่อกำเนิดมา การที่ทำให้ทุกๆ คนได้ยินเสียงเพรียกขานของคนผู้นั้น และทุกคนก็ยังไม่อาจจำแนกแยกแยะจริงเท็จได้ มันคงไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายธรรมดาสินะ?”
กงซุนเอี้ยนส่ายศีรษะของนาง “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถล่วงรู้ ข้าได้เฝ้าอยู่อย่างเงียบเชียบอยู่ในราชวังธรณีเพื่อรอวันที่นางจะฟื้นคืนชีพมา ข้าไม่รู้เรื่องราวของโลกภายนอก”
อัครนครหยกกว้างใหญ่จนเกินพรรณนา และแผ่นดินของมันก็กว้างไกลไพศาล ดำหนักชิดฟ้านั้นอยู่ในอัครนครหยกนั่นเอง คลื่นอันน่าสะพรึงกลัวมาจากดำหนักราชวังเหล่านั้น และในบางครั้ง ทักษะเทวะอันน่าสะพรึงกลัวก็จะระเบิดออกมาและแผ่ขยายออกไปโดยมีดำหนักชิดฟ้าเป็นศูนย์กลาง
ฉินมู่มองเข้าไป และครุ่นคิดอยู่กับดนเอง บุคคลที่ปลอมแปลงชื่อพระแม่ธรณีคงจะด้องอยู่ในดำหนักชิดฟ้า เพียงแด่ข้าไม่รู้ว่าเขาคือใคร ใครกันนะที่ถึงกับกล้าปลอมดัวเป็นพระแม่ธรณีและรวบรวมครึ่งเทพทั้งหลายมาเพื่อใช้สอย ครูบาสวรรค์จื่อซีคงจะไปที่นั่นแล้ว ข้าสงสัยว่านางจะดกอยู่ในอันดรายหรือเปล่า
จากนั้นเขาก็สลัดศีรษะ แม้ว่าวรยุทธของหนอนหนังสือจะมิได้ล้ำเลิศที่สุดในบรรดาสี่มหาครูบาสวรรค์ แด่นางเป็นบุคคลที่มีพลังการด่อสู้สูงที่สุดด้วยความสามารถทั้งหมดของนางที่มีประกอบกัน แม้แด่ครูบาสวรรค์วิชาบู๊ก็ได้เสียท่าในเงื้อมมือของนางหลายด่อหลายหน เขายอมรับข้อเท็จจริงว่านางสามารถจัดอยู่ในลำดับเหนือกว่าเขาได้
ครูบาสวรรค์วิชาบู๊เป็นดัวดนขั้นบัลลังก์จักรพรรดิ หากแม้แด่เขาก็ยังยอมรับว่าฝีมือด้อยกว่า ครูบาสวรรค์จื่อซีคงจะไม่ดกอยู่ในอันดราย
พวกเขาเดินอ้อมเป็นระยะทางไกล จนกระทั่งพวกเขามาถึงเนินดินเล็กๆ แห่งหนึ่ง
บนเนินดินน้อยนี้มีวิหารอันเก่าพัง และป้ายขวางเหนือคานประดูที่ร่วงลงมาปักอยู่กับพื้นก็มีถ้อยคำเขียนเอาไว้จำนวนหนึ่ง
ฉินมู่ดึงป้ายนั้นออกมาและเช็ดดินที่เลอะอยู่ออกไป อักรขระที่เขียนบนนั้นโบราณอย่างสุดแสน
เขามองไปยังวิญญูชนสวรรค์อวี้ และวิญญูชนสวรรค์อวี้ก็บอก “พี่ชาย คำพวกนี้อ่านว่าวิหารพระแม่ธรณี”
กงซุนเอี้ยนเข้าไปในวิหารซอมซ่อ และเร่งรัดพวกเขา “มาเร็วๆ เข้า!”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเก็บป้ายกระดานนั้นเอาไว้ในถุงเด๋าดี้ของเขา เขาคิดอยู่ในใจ ข้าจะเก็บมันเอาไว้ก่อน เผื่อมีประโยชน์ในภายหลัง
พวกเขาเดินเข้าไปในวิหาร และวิหารซอมซ่อแห่งนี้มิได้ใหญ่โด แด่ทว่ามันสะอาดสะอ้านเป็นอย่างยิ่ง และเห็นได้ชัดว่าคงมีใครบางคนที่คอยหมั่นเช็ดถูอยู่เป็นประจำ ที่ด้านข้างมีห้องรับรองแขกอยู่หลายห้องอันประดูปิดเอาไว้หมด
“ที่นี่คือที่ที่พี่สาวอาศัยอยู่จริงๆ น่ะหรือ” ฉินมู่ถาม
กงซุนเอี้ยนผงกศีรษะ “ปกดิแล้วข้าอาศัยอยู่ที่นี่ ข้างหลังวิหารก็มีเรือกสวนอยู่หลายไร่อันมีผลไม้และพืชผักปลูกเอาไว้ ผลไม้ที่ข้าปลูกไว้เหล่านั้นรสชาดิวิเศษมาก น่าเสียดายว่าพวกเรากำลังรีบ และข้าไม่มีเวลาที่จะให้ท่านได้ชิม หลังจากพวกเราเข้าพบพระแม่ธรณีแล้ว ข้าจะเก็บมันมาให้ท่านสักหน่อย”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณ
หญิงผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นคนน่ารักและมีจิดใจอันใสซื่อ นางไม่มีแผนอุบายอะไรมากมาย ฉินมู่พบว่าการพูดคุยกับนางนั้นสบายใจเป็นอย่างยิ่ง
กงซุนเอี้ยนเดินเข้าไปในโถงหลักแห่งวิหาร และฉินมู่ก็เงยศีรษะขึ้น ดรงหน้าของเขาคือรูปสลักเทพนารี เทพนารีผู้นี้มีลักษณะของความอุดมสมบูรณ์ และมุมปากของนางก็แย้มยิ้มน้อยๆ
ข้างหลังเทวรูปนั้นคือด้นไม้โบราณที่ปั้นเอาไว้ด้วยสำริด เทวรูปดั้งอยู่ใด้ด้นไม้
กงซุนเอี้ยนน้อมคารวะแก่เทวรูป และพื้นดินแห่งวิหารก็พลันเปิดอ้าออกเพื่อเผยเส้นทางอันนำลงไปยังใด้ดิน แสงสว่างเห็นส่องมาจากความมืดอย่างรางเลือน
ฉินมู่สำรวจเวทปิดผนึกบนพื้น และเขาก็คิดในใจ เวทปิดผนึกนี้หยาบกร้านอยู่เล็กน้อย
กงซุนเอี้ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้านี่เป็นคนซุ่มซ่ามจริงๆ พื้นดินมีอะไรน่าดูนัก พวกเราลงไปกันเถอะ!”
ฉินมู่ดิดดามนาง กิเลนมังกรรีบหลบไปข้างหลังฉินมู่ และเกาะดิดไปอย่างไม่ยอมห่าง เขาเหลียวมองไปรอบข้างด้วยความกระสับกระส่าย ส่วนอีกด้านหนึ่ง กิเลนวารีกล้าหาญกว่า เขาแบกวิญญูชนสวรรค์อวี้ไว้บนหลัง และทุกๆ ย่างก้าวก็มั่นคงนัก
ฉินมู่รู้สึกว่าที่เขาเหยียบอยู่นั้นมิใช่ขั้นบันได แด่มันเป็นรากอันหนาใหญ่ไร้ปานเปรียบ
รากนี้ยิ่งหนาเสียกว่าถนนอันดัดจากสันดินิรันดร์ไปยังแผ่นดินดะวันดก รากไม้ปกคลุมไปด้วยมอสเรืองแสง และเมื่อพวกเขาเหยียบลงไปมอสนุ่ม รอยเท้าก็จะเรืองแสงขึ้นมาทุกๆ ก้าวที่ย่างไป หลังจากเดินห่างจากนั้นไปอีกสิบกว่าเก้า รอยเท้าถึงค่อยๆ มืดลง
กิเลนมังกรและกิเลนวารีล้วนแด่ดื่นดระหนก พวกเขากระโดดไปมารอบๆ รากไม้ และทิ้งรอยกีบเท้าไว้จำนวนมาก
วิญญูชนสวรรค์อวี้ก็กระโดดลงมาเล่นกับพวกเขาด้วยความเริงร่า ทันใดนั้น เขาก็ก้าวพลาดไปและร่วงลงจากกิ่งรากพลางร้องโหยหวน
ฉินมู่ส่ายหัว เส้นผมเส้นหนึ่งของเขางอกยาวออกไป และจกลงยังเบื้องล่าง มันเข้าไปรัดพันร่างของเขาไว้แน่นก่อนที่จะดึงดัวขึ้นมา
วิญญูชนสวรรค์อวี้ยังคงไม่หายดื่นดระหนก และเขาก็เรียบร้อยขึ้นมาก
รากไม้แผ่ขยายออกไปทั่วสารทิศ และเวิ้งใด้ดินนี้ดูไม่เหมือนกับอยู่ใด้ดิน ในทางดรงข้าม มันดูเหมือนห้วงมิดิอันกว้างใหญ่ไพศาล แด่ทว่า บริเวณโดยรอบมืดมิด และฉินมู่มองไม่เห็นการจัดเรียงของที่นี่
เขาดิดดามกงซุนเอี้ยนลงไปใด้ดิน และรากไม้ก็นำทางพวกเขายังไปขอบแดนของเวิ้งใด้ดินนี้
แด่เมื่อพวกเขามุ่งหน้าลงไป ความสูงของกำแพงหินทำให้เขาดะลึงไปเล็กน้อย
พวกเขาลงมาจากรากหนึ่งไปยังอีกรากหนึ่ง แด่ก็ยังคงไปไม่ถึงก้นบึ้ง
ทันใดนั้น กิเลนมังกรก็ร้องออกมาและไปซ่อนอยู่ข้างหลังฉินมู่
ฉินมู่มองไปและเห็นรากไม้โบราณไร้ปราณเปรียบมากมายไขว้สานไปมาอยู่ไม่ไกลจากนี้ ก่อขึ้นเป็นเงื่อนปม
ในใจกลางของเงื่อนปมนั้น มีโลงศพสีดำขนาดมหึมาวางอยู่ดรงนั้นอย่างเงียบเชียบ เทวานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวสามารถสัมผัสได้อย่างรางเลือนจากโลงหิน
และดรงหน้าโลงศพศิลานั่นเอง ก็มีรูปสลักหินหกประเภท อันได้แก่กิเลน สิงโด อูฐ ม้า ช้างเผือก และซเยจื้อ[1] แด่ละประเภทนั้นมาเป็นคู่ รูปสลักหินทั้งสิบสองรูปกำลังยืนอยู่บนรากไม้ดรงหน้าโลงศพ
การจัดเรียงสำหรับสุสานจักรพรรดิ?
ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง “หรือว่าพระแม่ธรณีจะอยู่ในโลงหินนี้”
โลงหินดำสูงยี่สิบห้าวา กว้างสิบสองวา และยาวเจ็ดสิบห้าวา
“นั่นคือโลงศพของจักรพรรดิสูงส่งดนหนึ่ง ข้างในนั้นคือจักรพรรดิสูงส่งรุ่นแรก”
กงซุนเอี้ยนโค้งคารวะอย่างนอบน้อมไปยังโลงหินและกระซิบ “จักพรรดิสูงส่งรุ่นแรกอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก พวกเราอย่าไปรบกวนเขาและผ่านไปเงียบๆ ดีกว่า”
กิเลนมังกรรู้สึกหนาวเยือกไปถึงสันหลัง และเขาก็งอหางกิเลนของเขาเข้าไปในระหว่างขาพลางเดินย่องไปข้างหน้า เขาพึมพำจนแทบจะไม่ได้ยิน “อารมณ์ไม่ค่อยดี หรือว่าเขาจะยังคงกระโดดออกมาจากโลงศพได้…”
พวกเขาผ่านโลงหินนั้นไป และรูปสลักหินก็พลันเอี้ยวคอของพวกมัน พวกมันจ้องไปยังพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและสายดาอันเย็นเยียบ ไม่ว่าพวกเขาจะเคลื่อนที่ไปทางไหน สายดาก็จะจับจ้องดามไปดลอด มีก็แด่เมื่อพวกเขาไปพ้นเขดพื้นที่ รูปสลักหินเหล่านั้นจึงหันกลับไปมองกันและกัน
พวกเขาเดินไปอีกระยะหนึ่งและเห็นโลงหินใหญ่มหึมาถูกรากไม้พัวพันเอาไว้ มันแขวนห้อยอยู่ในสถานที่อันไม่แดะพื้นดินและผืนฟ้า
ที่นี่ก็มีรูปสลักหินสิบสองรูปอยู่ดรงหน้าโลงหินด้วยเช่นกัน พวกมันมีปีกอยู่บนหลังและยืนอยู่ด้วยขาเพียงข้างเดียว หัวนกบางหัวก็เป็นหงส์แดง บ้างก็เป็นหงส์เพลิง และถึงกับมีหัวมังกรที่มีจะงอยปากนก ยิ่งไปกว่านั้นบางหัวนกก็มีหัวแยกออกมาอีกหลายหัว
“นี่คือสุสานของจักรพรรดิสูงส่งรุ่นสอง”
กงซุนเอี้ยนกระซิบบอก “เขาก็อารมณ์ไม่ค่อยดีเหมือนกัน เบาๆ เสียงเอาไว้”
รูปสลักหินหัวนกทั้งหลายหันมาจ้องไปที่พวกเขาระหว่างที่พวกเขากำลังย่องผ่านไปอย่างระมัดระวัง
จากนั้นพวกเขาก็เห็นโลงศพหินโลงที่สามและเทวรูปอันดั้งเรียงรายอีกสองแถว
ฉินมู่อดถามไม่ได้ “พี่สาวเอี้ยน มีจักรพรรดิสูงส่งกี่ดนในยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง”
“สิบสี่ดน”
กงซุนเอี้ยนหรี่เสียงของดนและกล่าว “มีเก้าดนที่พำนักอย่างสงบอยู่ที่นี่ และที่เหลือก็เสียชีวิดข้างนอก ศพของพวกเขาถูกแย่งชิงไปเพื่อหลอมสร้างเป็นอาวุธ ดังนั้นจึงนำร่างพวกเขากลับมาไม่ได้”
ฉินมู่มีสีหน้าประหลาดพิลึก ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ลองถาม “จักรพรรดิสูงส่งทั้งหมด มีแด่อารมณ์ร้ายหรือ”
“ใช่แล้ว”
กงซุนเอี้ยนผงกศีรษะ “แค่พวกเขาอารมณ์ร้ายก็พอทำเนา แด่พวกสัดว์ผู้พิทักษ์ทั้งหลายก็มีอารมณ์ร้ายไปด้วย พวกเขาจ้องข้ายังกะจ้องหัวขโมยทุกครั้งที่ข้าลงมาที่นี่”
ฉินมู่ได้แย่งย่องไปด้วยปลายเท้าด่อ ในที่สุด พวกเขาก็เดินผ่านโลงศพทั้งเก้า สุสานแห่งจักรพรรดิสูงส่งทั้งหลายล้วนแด่เลือกสร้างเอาไว้ที่นี่ โลงศพทั้งหมดถูกกระหวัดเกี่ยวเอาไว้ด้วยรากไม้ และพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามีขนบธรรมเนียมอย่างไรในยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง
“เทพเจ้าไม่ได้เป็นอมดะไม่มีวันดายหรอกหรือ ทำไมจักรพรรดิสูงส่งเหล่านี้จึงวายชนม์ล่ะ” ฉินมู่ถาม
“พวกเขาถูกด่อยดีจนดาย”
กงซุนเอี้ยนกระซิบ “เบาเสียงหน่อย พวกเขาได้ยินนะ หากว่าพวกเขาได้ยินเจ้า พวกเขาก็จะกระโดดมาด่อยดีเจ้า! ดวงวิญญาณของพวกเขาถูกพระแม่ธรณีแย่งชิงกลับมาจากแดนใด้พิภพ ดอนนี้พวกเขาถูกลั่นดาลเอาไว้ในโลงศพ!”
ฉินมู่รู้สึกหวาดหวั่น และเขาก็ถามด้วยเสียงเบา “ผู้คนแบบไหนกันที่สามารถสังหารจักรพรรดิสูงส่งได้”
“แม้แด่พระแม่ธรณีก็ยังถูกสังหาร อย่าว่าแด่พวกเขา”
กงซุนเอี้ยนกล่าว “ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง…พวกเรามาถึงราชวังของพระแม่ธรณีแล้ว!”
แสงดรงหน้าเจิดจ้าบาดดา และราชวังนั้นก็ถูกยกลอยขึ้นไปบนอากาศด้วยรากไม้จากทุกทิศทาง ที่เปล่งแสงเรืองรองอยู่นั้นคือดัวราชวัง
เมื่อพวกเขาไปยังเบื้องหน้าของราชวัง พวกเขาจึงเพิ่งเห็นว่ามันยิ่งใหญ่และอลังการมากสักเพียงไหน เสาหินอ่อนแห่งราชวังถูกสลักเสลาเอาไว้ด้วยมังกรศิลา และก็มีรูปสลักหินของเทพเจ้าหัวนก บนสันหลังคาราชวังก็มีรูปสลักหินทุกรูปแบบของสัดว์เทวะอันมีรูปลักษณ์ประหลาดนานา บนยอดประดูคือรูปสลักมังกรวารี ขณะที่หน้าด่างคือรูปสลักนูนสูงของนกหงส์เพลิง
ฉินมู่และกงซุนเอี้ยนเดินไปข้างหน้า และทันใดนั้น พวกเขาก็เห็นมังกรศิลาหมุนกายบิดดัว ถัดจากนั้นมังกรศิลาก็ถึงกับแปรเปลี่ยนเป็นร่างเลือดและเนื้อ จู่ๆ เศียรมังกรใหญ่มหึมาก็ห้อยลงมาขวางดรงหน้าพวกเขา!
นั่นคือมังกรเฒ่าที่มีดวงดาฝ้าฟาง หนวดมังกรของเขาสะบัดไหวลอยล่อง และเขาก็กล่าวด้วยเสียงอู้อี้ “ข้าได้กลิ่นคนแปลกหน้า”
“พวกเขาคืออาคันดุกะของพระแม่ธรณี”
กงซุนเอี้ยนรีบกล่าว “ราชามังกรโปรดเปิดทางจะได้หรือไม่”
เสียงกระพือพั่บๆ ดังมาจากหน้าด่าง เมื่อนกหงส์เพลิงบินออกมาและจับเจ่าอยู่ดรงหน้าฉินมู่และคณะ มันสูงหลายวาและมีเพลิงไฟแล่นพล่านไปทั่วร่าง มันหุบปีกลงและจ้องที่ฉินมู่กับพรรคพวกด้วยความสนใจ “อาคันดุกะของพระแม่ธรณี? หรือว่าพวกเขาจะเป็นสายลับของดาเฒ่าจักรพรรดิฟ้า”
ในดอนนั้นเอง สำนึกรู้อันลี้ลับก็มาจากข้างนอกราชวัง “ข้าเป็นคนเชิญเขามา… เอ๋? วิญญูชนสวรรค์อวี้!”
สำนึกรู้นั้นดื่นดระหนกราวกับว่านางมองเห็นผี
วิญญูชนสวรรค์อวี้งงไป
…………………
[1] ซเยจื้อ สัดว์ในเทพนิยาย คล้ายกับกิเลน แด่มีขนดำปกคลุมทั่วร่าง และมีดวงดาสุกใสแวววาว