ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 786 จริงหรือเท็จ สงสัยและจับพิรุธ
ตำหนักชิดฟ้ามีบรรยากาศอันเคร่งเครียด
สถานที่แห่งนี้เดิมทีเป็นสภาสวรรค์ฝ่ายเหนือแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง และตำหนักชิดฟ้าก็เป็นสถานที่อันขุนนางทั้งหลายเข้ามาหารือกิจการบ้านเมืองในระหว่างมหาสมาคมสภาราชสำนัก ดังนั้นพื้นที่ในโถงหลักจึงกว้างใหญ่ไพศาล
บัดนี้โถงหลักมีเทพเจ้าหลายพันตนทุกขนาด และพวกเขาต่างก็มองด้วยความกระวนกระวายไปยัง ‘ชายและหญิง’ ที่กำลังต่อสู้ประชันกันด้วยวิชาขิมอยู่ในโถงวัง พวกเขากลัวว่าจะพลอยได้รับเคราะห์จากลูกหลง
เสียงขิมดังก้องอยู่ในโถง และผู้ที่เล่นขิมอยู่ก็คือบัณฑิตคนหนึ่งผู้ซึ่งมีลาอยู่ข้างหลังเขากับจักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋ ผู้ซึ่งมีเมฆอันย้อมไปด้วยแสงอาทิตย์อัสดงอยู่ข้างหลังนาง อันดูคล้ายกับขนนกหงส์เพลิง
หนึ่งนั้นอยู่ทิศตะวันออก และอีกหนึ่งอยู่ทิศตะวันตก ไม่มีใครเลยที่อยู่ในบริเวณรอบๆ พวกนาง แม้แต่ครึ่งเทพที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ยังยืนห่างออกไป
คนทั้งสองเล่นขิม และหนอนหนังสือก็ได้ละทิ้งพันธนาการทั้งหมด เรือนขิมหมุนวนรอบๆ ตัวนาง และนางก็เหมือนกับมีแขนงอกออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน เคลื่อนไหวนิ้วขึ้นๆ ลงๆ นางแสดงวิชาอันน่าตื่นตระหนก ทั้งดนตรีและดรรชนีก็ล้วนแต่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!
อีกฟากหนึ่ง ฉีเสียอวี๋ดูสงบนิ่งและเยือกเย็น นางไม่มีลูกไม้แพรวพราวอย่างที่หนอนหนังสือใช้ แต่ในทางตรงข้าม นางมีอารมณ์อันเรียบง่ายและสามัญ กระนั้นดนตรีของนางก็เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันไร้ประมาณ!
ความสำเร็จของหนอนหนังสือในด้านกลเม็ดวิชานั้นไร้เทียมทาน และแม้แต่ฉีเสียอวี๋ก็ไม่อาจทัดเทียมกับนางได้ หนอนหนังสือนับได้ว่าเป็นตัวอย่างอันสมบูรณ์แบบของวิชาดนตรี แต่ในด้านอารมณ์ความรู้สึกแล้ว นางด้อยกว่าฉีเสียอวี๋ไปหลายขุม แม้ว่าดนตรีขิมของนางจะมีอารมณ์ความรู้สึก แต่พวกมันก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงนับพันหมื่นเช่นเดียวกับของฉีเสียอวี๋
เพลงขิมของทั้งคู่โจมตีซึ่งกันและกัน มิติอวกาศรอบๆ พวกนางบิดเบี้ยวไปมาอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งมันก็ยืดออก และบางครั้งมัดก็หดเข้าไปจนเป็นเยื่อบางเฉียบ มิติอวกาศดูจะกลายเป็นตัวโน้ตที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและเริงระบำไปมารอบๆ พวกนาง
เมื่อเวลาผ่านไป หนอนหนังสือก็ไม่สามารถต่อกรนางได้ ศิลป์ทั้งสี่ได้บรรลุถึงขั้นไร้ผู้ต่อต้านในโลกหล้า แต่ทว่าเนื้อแท้นิสัยของนางที่ขาดอารมณ์ความรู้สึกได้กีดขวางนางเอาไว้จากการบรรลุต่อไปอีกขั้น
สี่มหาครูบาสวรรค์แห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ล้วนแต่มีความสำเร็จและความเชี่ยวชาญของตนเอง แต่ทว่าธรรมชาตินิสัยของหนอนหนังสือมีจุดบกพร่อง และนางก็ด้อยกว่าฉีเสียอวี๋ผู้ที่กล้ารักกล้าชัง เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากมาย
ความอ่อนหัดของนางค่อยๆ เผยออกมา และทันใดนั้น ลาที่อยู่ข้างหลังนางก็ลุกขึ้นยืน และแปลงร่างเป็นราชาปีศาจลา เขาอ้าปากออก ร้องฮวี้ด้วยเสียงอันกัมปนาท และก็บาดแก้วหูอย่างสุดๆ
ดนตรีของหญิงทั้งสองพลันสับสน และพวกนางก็ยั้งขิมของตนเองเอาไว้
เสียงลาร้องดังเสียดแทงมาจนกระทั่งยอดฝีมือทั้งหลายต้องขมวดคิ้วและปิดหูเอาไว้
ในโถงตำหนัก ไม่ว่าจะเป็นครึ่งเทพหรือเทพเจ้า ทั้งหมดก็มองไปยังคนทั้งสองด้วยความกลัว พวกเขาก็กริ่งเกรงลาตัวนี้ด้วยไม่ใช่น้อย
โชคดีว่า การต่อสู้ระหว่างมือขิมทั้งสองได้เล็งเป้าใส่กันและกัน หากว่าเล็งไปยังพวกเขา ยอดฝีมือแกร่งทั้งหลายในโถงตำหนักก็คงจะมีการสูญเสียล้มตายไม่ใช่น้อย
แต่ทว่า ก็ยังมีผู้คนหกเจ็ดคนที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน วรยุทธและกำลังฝีมือของพวกเขาสูงส่ง และก็ไม่เกรงกลัวหนอนหนังสือหรือฉีเสียอวี๋
“ฮ่าๆๆๆ ข้าก็ยังปราชัยอยู่ดี!”
หนอนหนังสือเก็บขิมของนางและโค้งคารวะแก่ฉีเสียอวี๋ “กำลังฝีมือของจักรพรรดิแดงนั้นเหนือธรรมดาอย่างแท้จริง หลังจากผ่านมาหลายปี เจ้าก็ยังคงเก่งกาจไปกว่าข้าได้”
“ครูบาสวรรค์จื่อซีสุภาพไปแล้ว”
ฉีเสียอวี๋ลุกขึ้นและคารวะตอบกลับ สายตาของนางวูบไหวก็ในเมื่อกริ่งเกรงอีกฝ่ายไม่ใช่น้อย นางไม่ต้องการปักหลักสู้จนตัวตายกับหนอนหนังสือ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเรามาสู้กันเสียก่อนที่พระแม่ธรณีจะปรากฏตัว ไม่ใช่ว่าเป็นการแส่หาความขายหน้าให้ตนเองหรอกหรือ”
สายตาหนอนหนังสือกวาดผ่านยอดฝีมือนับพัน และนางก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คณะทูตจากสภาสวรรค์นอกโลก กระบี่เทวะแห่งจักรพรรดิสูงส่ง เช่นเดียวกับจักรพรรดิแดง และครูบาสวรรค์แห่งจักรพรรดิก่อตั้ง พวกเราทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่ และมาถึงสถานที่นี้หลังจากการดั้นด้นเดินทางฝ่าอันตรายอุปสรรค กระนั้นผู้เหย้าก็ไม่อยู่ต้อนรับ นี่มันหลักเหตุผลอะไรกัน”
ฉีเสียอวี๋มีท่วงทีเฉื่อยชา พลางมองไปรอบๆ ด้วยยิ้มละไม “ใช่แล้ว ข้าได้ยินข่าวลือว่าพระแม่ธรณีได้สิ้นชีวิตไปเป็นเวลานาน และบัดนี้นางก็โผล่ขึ้นมาอย่างกระทันหันพร้อมๆ กับที่แดนก่อกำเนิดเผยโฉมกลับมาคืนสู่โลกหล้า ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเพรียกขานผู้ใต้บัญชาเก่าก่อน แม้ว่าข้าจะเป็นจักรพรรดิแดงแห่งสภาสวรรค์ แต่เมื่อปีต้นๆ ของข้า ข้าก็ยังคงได้รับใช้พระแม่ธรณีอยู่ เช่นนั้นแล้วข้าจะไม่มาน้อมคารวะได้อย่างไร น่าเสียดายว่าข้าไม่อาจพบเจอพระแม่ธรณี”
ทันใดนั้น สายตาของนางก็ตกไปยังป๋ายฉวีเอ๋อ มองเห็นชุดเรียบง่ายกับกระบี่ที่สะพายหลังอยู่ และก็มองมายังนางด้วยเช่นกัน
ฉีเสียอวี๋รู้สึกละอายใจ และก็รีบหลบสายตา
สายตาของนางไปพบกับชายแขนเดียวคนหนึ่งที่มีดาบเทวะอยู่ข้างหลังเขา และเขาผู้นั้นก็ค้อมศีรษะน้อยๆ
ฉีเสียอวี๋ผงกหัวเบาๆ ด้วยเช่นกัน พลางคิดอยู่ในใจ ดาบเทวะลั่วอยู่ที่นี่ และนี่หมายความว่ายอดยุทธแห่งสภาสวรรค์ก็อยู่ที่ด้วยเช่นกัน พระแม่ธรณีตายไปแล้วจริงๆ งั้นหรือ หรือว่านี่จะเป็นกับดักที่สภาสวรรค์วางเอาไว้เพื่อล่อลวงผู้คนทั้งหลายมาที่นี่ เพื่อรวบแหจับพวกเขาไว้ในคราวเดียว
ในโถงตำหนักมีทั้งมัจฉาและมังกรคลาคล่ำ ทั้งคนดีและคนร้ายปะปนกัน ไม่ว่าจะเป็นพวกครึ่งเทพหรือพวกเทพเจ้า ต่างก็มีจุดมุ่งหมายของตนเอง ไม่มีผู้ใดที่เรียบง่ายสามัญ
ฉีเสียอวี๋ถึงกับพบเห็นตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวในบรรดาครึ่งเทพ แม้ว่ากำลังฝีมือของพวกเขาจะด้อยกว่านาง แต่จำนวนคนนั้นไม่น้อยเลยสักนิด พวกเขาล้วนแต่เป็นกระดูกแข็งเคี้ยวยาก
ที่นอกโถงตำหนัก ยังมีครึ่งเทพจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตั้งแถวจัดกระบวนอย่างเป็นระเบียบ พวกเขารออยู่นอกตำหนักชิดฟ้า ราวกับว่าเป็นไพร่พลที่กำลังรอการตรวจทัพ
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาจากหลังโถงตำหนัก “ขออภัยที่ทำให้ทุกท่านต้องรอนาน พระแม่ธรณีจะมาถึงในไม่ช้า”
ยอดฝีมือนามกระเดื่องทั้งหลายในโถงต่างก็มองไปยังทิศทางเสียง และจากจุดที่เสียงดังมา เด็กสาวจำนวนมากเดินอ้อมฉากกั้น และแห่แหนเด็กสาวอีกคนออกมา
เด็กสาวผู้นี้มีโฉมหน้าอันละเอียดประณีตและริมฝีปากอันแดงดุจกลีบกุหลาบ ตอนแรกเห็นเพียงครึ่งใบหน้าของนางตอนที่นางเดินออกมาจากฉากกั้น แต่เมื่อนางผินหน้ามา หัวใจของทุกคนก็หวั่นไหว และอุทานกันระงม “สวยอะไรอย่างนี้”
รัศมีแสงข้างหลังศีรษะของเด็กสาวกระเพื่อมไหวเล็กน้อยขณะที่นางกล่าวทักทายทุกๆ คน “เมื่อครั้งกระโน้น อาจารย์ของข้า พระแม่ธรณี ได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องปิดผนึกแดนก่อกำเนิด บัดนี้เมื่อแดนก่อกำเนิดผุดโผล่ขึ้นมายังพื้นผิวอีกครั้ง อาจารย์ของข้าก็ได้เพรียกขานทุกๆ คนมา เพื่อที่อิทธิพลอำนาจเก่าแก่ของพวกเราจะได้มารวมตัวใหม่และย้อนคืนมาอีกครั้ง”
“อาจารย์ของนาง? เด็กสาวคนนี้เป็นศิษย์ของพระแม่ธรณีหรือ” หัวใจของทุกคนสะท้านสะเทือน
ฉีเสียอวี๋มองไปที่เด็กสาวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รอสักนิดหน่อยก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่ทว่า ทำไมข้าไม่เห็นจะรู้เลยว่าพระแม่ธรณีได้รับศิษย์เอาไว้ พระแม่ธรณีไม่เคยรับใครให้กราบกรานนางเป็นอาจารย์มาก่อน แม้แต่จักรพรรดิสูงส่งแห่งสภาสวรรค์ฝ่ายเหนือ อย่างมากก็เป็นบุตรและธิดาของนาง เจ้าผู้เป็นศิษย์ ทำให้ข้างงงวยแล้วจริงๆ”
เด็กสาวคลี่ยิ้มออกมาและกล่าว “เดิมทีพระแม่ธรณีไม่รับศิษย์ แต่หลังจากที่นางได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อคราวก่อนนั้น นางก็รับข้ามาเป็นศิษย์ จักรพรรดิแดงเป็นเพียงแค่ผู้ลากราชรถให้กับอาจารย์ของข้าในครั้งกระโน้น เจ้าจะรู้อะไรได้”
ฉีเสียอวี๋สะกดข่มโทสะและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อพระแม่ธรณีออกมา ข้าค่อยคิดบัญชีกับเจ้า”
ป๋ายฉวีเอ๋อถามอย่างนุ่มนวล “น้องสาวผู้นี้ เจ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเจ้าคือศิษย์ของพระแม่ธรณี”
เด็กสาวมองไปที่นางและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นกระบี่เทวะป๋ายแห่งรัชสมัยเทียมเท็จ รัศมีแสงข้างหลังศีรษะข้านี้คือการอวยพรของพระแม่ธรณี เพื่ออวยพรให้ข้าไม่แก่ไม่ตาย และมีความอุดมสมบูรณ์อย่างไร้สิ้นสุด นี่เป็นหลักฐานที่เพียงพอหรือไม่”
ป๋ายฉวีเอ๋อมองไปที่วงแสงข้างหลังศีรษะของนาง และก็แยกแยะจริงเท็จไม่ออก
“เพียงแค่วงรัศมีอย่างเดียวไม่อาจชี้ชัดได้ว่าเจ้าเป็นของจริงหรือของปลอม”
จู่ๆ ดาบเทวะลั่วก็อ้าปากกล่าววาจา “ทักษะเทวะของพระแม่ธรณีนั้นโดดเด่นไม่ธรรมดา และนางเป็นหนึ่งในเทพบรรพกาลที่มีเต๋าและวิชาอันซับซ้อนที่สุด แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังเต็มไปด้วยความเลื่อมใสในตัวพระแม่ธรณี เจ้าได้เรียนทักษะเทวะของพระแม่ธรณีหรือไม่”
เด็กสาวมองไปที่เขาและกล่าวด้วยรอยยิ้มดุจเดิม “ที่แท้ก็เป็นดาบเทวะแขนเดียวลั่วแห่งรัชสมัยเทียมเท็จ จากเต๋าอันยิ่งใหญ่ทั้งสามสิบหกแห่งพระแม่ธรณี ข้านั้นค่อนข้างจะเชี่ยวชาญในเต๋าอันยิ่งทั้งสามสิบหกนั้น”
หนอนหนังสือแย้มยิ้มและกล่าว “แค่ถ้อยคำมิใช่หลักฐาน”
เด็กสาวตอบไป “ครูบาสวรรค์จื่อซีแห่งรัชสมัยเทียมเท็จ อย่าเพิ่งใจร้อนไป ต่อให้ข้าจริงหรือเท็จแล้วจะเป็นอย่างไร รอให้พระแม่ธรณีมาถึงที่นี่ในอีกไม่ช้า เมื่อทุกคนได้เห็นพระแม่ธรณีตัวจริง ไม่ใช่ก็จะแยกแยะจริงเท็จได้ทันทีหรอกหรือ”
หนอนหนังสือหัวใจสะท้านอย่างรุนแรง นางถึงกับรู้จักข้า? ข้าเป็นบุคคลจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง และในเวลานั้น พระแม่ธรณีก็น่าจะตายไปนานแล้ว และแดนก่อกำเนิดก็น่าจะถูกปิดผนึกเอาไว้อยู่ มีก็แต่แดนโบราณวินาศที่หลงเหลือ แล้วนางรู้จักข้าได้อย่างไร นางดูอายุไม่มาก และวรยุทธของนางก็ไม่สูงเท่าไร นางมิใช่ตัวประหลาดเฒ่าพันปี ดังนั้นนางไม่น่าจะรู้จักข้าได้ นางกล่าวว่าสภาสวรรค์ฝ่ายใต้ สภาสวรรค์นอกโลก และสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้งล้วนแต่เป็นรัชสมัยเทียมเท็จ หรือว่านางจะมาจากสภาสวรรค์จักรพรรดิสูงส่งแห่งพระแม่ธรณี หรือว่าพระแม่ธรณีจะยังคงมีชีวิตอยู่ และเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นกับยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งจากใต้ดิน
ทันใดนั้นครึ่งเทพหัวมังกรตนหนึ่งก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้เห็นกับตาว่าพระแม่ธรณีถูกสังหาร กายเนื้อของนางถูกฟันขาดและหัวใจของนางก็ถูกแทงทะลุ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะยังมีชีวิตอยู่ อีกอย่าง น้องสาวผู้นี้ ปลอมตัวเป็นพระแม่ธรณีเพื่อเพรียกขานพวกเรามานั้นเป็นความผิดที่ต้องโทษประหาร”
เด็กสาวมองไปที่เขาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ที่แท้ก็เป็นราชามังกรบรรพชน พระแม่ธรณีถูกโจมตีและได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ว่าในฐานะหนึ่งใหเทพบรรพกาลที่โบราณและยิ่งใหญ่ที่สุดหนึ่ง นางจะตายง่ายได้แบบนั้นได้อย่างไร ราชามังกรบรรพชน เจ้าสามารถนึกจินตนาการออกไหมว่าภูติบดีหรือเทพสรรพชีวิตจะถูกสังหารได้น่ะ”
ครึ่งเทพนั้นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ข้าไม่อาจคิดฝันได้ แต่ข้าเห็นมัน พระแม่ธรณีสิ้นชีวิตไปแล้วชัดๆ…”
เด็กสาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่เจ้าเห็นด้วยสายตาอาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง พระแม่ธรณียังคงมีชีวิตอยู่ และหลังจากที่เก็บตัวฝึกบำเพ็ญเป็นเวลาหมื่นๆ ปี ในที่สุดนางก็ฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ และสามารถเพรียกขานพวกเจ้ามาที่นี่ได้ในวันนี้ ทุกท่านสามารถที่จะไม่เชื่อถือข้า ศิษย์แห่งพระแม่ธรณี แต่เมื่อใดที่ร่างแท้ของพระแม่ธรณีมาที่ด้วยตนเอง เจ้าก็มีแต่จะต้องเชื่อ…”
ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะหนึ่งก็ดังมาจากนอกโถง “พี่สาวผู้นี้ เจ้าเป็นศิษย์ของพระแม่ธรณีหรือ ทำไมข้าถึงไม่รู้เลยว่าอาจารย์ของข้าพระแม่ธรณีได้รับศิษย์หญิงเข้ามาไว้ด้วย”
ทุกคนหันไปมอง และหนอนหนังสือก็หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เจ้าเด็กนี่มันมาที่นี่ทำไม เขาไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้วจริงๆ!
ลาข้างหลังนางเผยสีหน้าตื่นตระหนกและถามด้วยเสียงเบา “ฮวี้ ฮวี้?”
หนอนหนังสือผงกศีรษะและสะกดกลั้นโทสะ “ฮวี้! มันคือเสียงของเขา! ไอ้เด็กดื้อ เขากล้าดีอย่างไรถึงปลอมตัวเป็นศิษย์ของพระแม่ธรณี มาผสมโรงในที่แห่งนี้”
และเมื่อป๋ายฉวีเอ๋อได้ยินเสียง ร่างของนางก็แข็งทื่อ นางเผยสีหน้าไม่เชื่อหู และนางก็หันหลังกลับไปมองออกนอกตำหนักด้วยความตะลึงลาน พลางพึมพำด้วยเสียงเบาหวี่ “เสียงของเจ้า…เสียงของเจ้าปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว นี่ไม่ใช่ข้าหูแว่วไป…”
ดาบเทวะในฝักดาบข้างหลังดาบเทวะแขนเดียวลั่วก็ส่งเสียงหึ่งต่ำๆ มันตื่นเต้นอย่างถึงขีดสุด
ลั่วอู๋ชวงก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน และเขามองออกไปนอกโถง เขาหัวเราะเบาๆ กับตนเอง “สี่หมื่นปี ข้าได้รอเจ้าอย่างทรหดมาเป็นเวลาสี่หมื่นปี เสียงของเจ้า ข้าไม่มีวันลืม เมื่อใดที่ข้าเหวี่ยงดาบ เงาร่างของเจ้าก็ปรากฏในห้วงคิดของข้า เสียงของเจ้าก็ดังก้องอยู่ในหูของข้า…”
ตรงหน้าประตูตำหนักชิดฟ้า ครึ่งเทพหัวกิเลนกำลังจูงเชือกอันแวววาวเป็นประกาย และนำพาสัตว์ยักษ์ตนหนึ่งเข้ามาในโถง
สัตว์ยักษ์นั้นเป็นครึ่งมังกรครึ่งกิเลน ดูสง่างามและน่าเกรงขาม
ในขณะเดียวกันนั้นที่ศีรษะใหญ่โตของกิเลนมังกร หญิงสาวผู้หนึ่งถือกระบี่ไม้อยู่ในมือของนาง และมีแสงอาทิตย์อ้อยอิ่งอยู่รอบๆ กายนาง แสงอาทิตย์เหล่านั้นเหมือนกับหงส์เพลิงสีสดสวยและเพลิงไฟอันไหลรี่
และยังมีหญิงสาวอีกคนที่มีวงรัศมีอันกระเพื่อมไหวอยู่หลังศีรษะ ในวงแสงนั้นมีต้นกล้าอ่อน ในมือของนางมีแส้หางม้า นางมีท่วงทีอันไม่เกลือกกลั้วกับโลกียวิสัย และนางก็กำลังแอบอิงอยู่กับบ่าของชายหนุ่มผู้หนึ่ง
ข้างหลังชายหนุ่มผู้นั้นคือเด็กรับใช้ชายที่มีวงรัศมีมากมายเป็นชั้นๆ อยู่หลังศีรษะของเขา และข้างในแสงรัศมีก็มีกระถางยักษ์ที่กำลังลอยขึ้นๆ ลงๆ
ในตอนนั้น เด็กหนุ่มผู้นำดูเหมือนจะเกียจคร้านเล็กน้อย และมองไปยังเด็กสาวตรงหน้าบัลลังก์จักรพรรดิในตำหนักชิดฟ้าด้วยรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม เขาไม่ลุกขึ้นจากศีรษะของกิเลนมังกรและเพียงแต่กล่าวกลั้วยิ้ม “ถ้านับตามศักดิ์ ข้าก็คงต้องเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่หญิง แต่น่าเสียดายที่อาจารย์ของข้ามิได้รับเจ้ามาเป็นศิษย์ เจ้าคือใคร”
ในตำหนักชิดฟ้า ผู้คนพูดจากันเซ็งแซ่ทันที และมีการถกเถียงหารือทั่วไปหมดทุกแห่ง
กิเลนวารีเห็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์มากมาย และเริ่มที่จะตัวสั่นระริก ขาของเขาอ่อนปวกเปียกเล็กน้อยขณะที่กัดฟันปลุกปลอบตนเองให้จูงกิเลนมังกรมุ่งหน้าไปยังบัลลังก์จักรพรรดิ สภาสวรรค์ ที่นี่คือสภาสวรรค์จักรพรรดิสูงส่ง และบัลลังก์จักรพรรดิก็อยู่ตรงหน้า สถานที่อันเป็นที่ประทับของจักรพรรดิฟ้า! โชควาสนาข้ามาจากไหนกันถึงได้มาเข้าใกล้บัลลังก์จักรพรรดิถึงขนาดนี้…
กิเลนมังกรอ้าปากหาวและมองไปรอบๆ เขาแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากของตนเอง ดูดุร้ายและไร้ปรานี เขาคิดอยู่ในใจ ยอดฝีมือหลายพันอยู่ที่นี่ และแต่ละคนก็สามารถกระทืบข้าให้ตายได้ง่ายๆ แต่ทว่า ต่อให้ท้องฟ้าถล่มลงมา ก็ยังมีจ้าวลัทธิค้ำยัน…
ตรงหน้าบัลลังก์จักรพรรดิ เด็กสาวผู้นั้นตื่นตระหนก และรับมือไม่ถูกไปชั่วขณะ
กิเลนมังกรมายังเบื้องหน้าบัลลังก์จักรพรรดิและหยุดยาตรา
ฉินมู่ลุกขึ้นยืนและมองเด็กสาวจากที่สูง เขากล่าวด้วยรอยยิ้มอันไม่เชิงยิ้ม “ศิษย์พี่หญิง เจ้ามีคำอธิบายให้ข้าสักหน่อยไหม”
ความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเด็กสาวค่อยๆ จางหายไป และนางก็ระเบิดหัวเราะออกมา “จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ฉินมู่แห่งสันตินิรันดร์ ฉินมู่ ฉินเฟิงชิง เจ้าดอดมาเป็นศิษย์ของพระแม่ธรณีตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้านี่ซุกซนไม่ใช่เล่นเลยนะ”
หนอนหนังสือกำหมัดแน่นและปลดเอาถุงเล็กๆ ออกจากหลังลาก นางคิดในใจ ดูท่าข้าคงจะต้องยื่นมือช่วยชีวิตเด็กนี่เสียแล้ว ข้ากล้าดีอย่างไรถึงมาปลอมตัวเป็นใครต่อใคร ถูกเปิดโปงมาตั้งแต่เริ่มต้น! อย่างน้อยก็เปลี่ยนโฉมหน้าเสียหน่อยสิ…
“ข้าคือตัวปลอมหรือ” ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง
“เจ้าคือตัวปลอม”
ข้างหลังเขา เสียงของลั่วอู่ชวงดังมาอย่างเน้นหนักทุกถ้อยคำ “สหายเก่าของข้าจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เจ้ายังจำค่ำคืนที่เจ้าตัดแขนเด็กหนุ่มผู้หนึ่งด้วยกระบี่ของเจ้าได้หรือไม่”
ฉินมู่หันกลับไป และสายตาของเขาก็ตกลงยังลั่วอู่ชวง จากนั้นเขาก็มองค้นหาท่ามกลางผู้คนหนุ่มสาวแห่งทัพหลิงซิ่ว และเขาก็พบว่าล้วนแต่เป็นชายและหญิงที่มีแขนเดียว
กระนั้น เขาก็ยังพบเจอเจ๋อหัวหลี และหัวใจของเขาก็ตกวูบ ฟู่ยื่อลัว เจ้าก็ยังคงทรยศ…
เขาเบือนสายตาออกไปและเมินเฉยลั่วอู่ชวง
ในตอนนั้นเอง เขาเห็นหญิงสาวอีกคนที่ดูโดดเดี่ยวกลางฝูงชน
สายตาของทั้งคู่สบกัน และทุกสิ่งรอบกายฉินมู่ก็เหมือนกับจะหายวับ…ราวกับว่าเขาได้ย้อนกลับไปยังค่ำคืนที่นอนแผ่อยู่ข้างๆ เด็กสาวเพื่อรอให้รุ่งอรุณมาถึง