ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 789 สนามแม่เหล็กคลั่ง
เสียงนั้นดังมาจากใต้ดิน และดูเหมือนว่าจะเคลื่อนที่ไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว เสียงนั้นกล่าวอย่างเย้ยหยัน “ตัดพฤกษาก่อกำเนิดของข้า แทงหัวใจของข้าด้วยกระบี่ แย่งชิงกายเนื้อของข้า ใช้มันเพื่อเลี้ยงดวงวิญญาณปลอม น่าสังเวชที่หลังจากพฤกษาก่อกำเนิดโค่นลงไป มันก็กลายเป็นต้นไม้ที่ไร้ราก ถือกำเนิดขึ้นมาจากต้นไม้ไร้ราก เจ้าไม่มีวันกลายเป็นพระแม่ธรณีที่แท้จริง ของปลอมอย่างไรก็คือของปลอม ไม่มีทางเป็นของจริงไปได้!”
เมื่อฉินมู่ได้ยินเสียงนี้ เขาก็ตบหัวกิเลนมังกรทันที และตะโกนกรอกหู “มังกรอ้วน รีบหันหลังแล้ววิ่งหนี…”
ปฏิกิริยาของกิเลนมังกรรวดเร็ว และเขาก็หันตัววิ่งหนีทันที กิเลนวารีคุกเข่าอยู่กับพื้นและถือเชือกจูงเอาไวอยู่ ดังนั้นเขาจึงถูกลากให้กระเด็นกระดอนไปกับพื้น เขาก็ไม่ปล่อยเชือกในมือ
วิญญูชนสวรรค์อวี้รีบกล่าว “อาฉุ่ย วิ่งไปด้วยกันเร็วเข้า”
กิเลนวารีได้สติกลับมาและปล่อยเชือกในมือ เขาสะบัดร่าง และแปลงกายกลับเป็นร่างที่แท้จริงเพื่อวิ่งตะบึงตามกิเลนมังกรไป
เฟิ่งชิวอวิ๋นกล่าวอย่างเร่งรีบ “เสียงจากข้างล่างนั้นเป็นของพระแม่ธรณี ทำไมพวกเราต้องวิ่งหนี หยุดก่อน ข้าจะไปจัดการฉีเสียอวี๋ นังเท้ากีบน้อยนั่น!”
ขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น แผ่นดินก็ขย่มเขย่าอย่างรุนแรง เสียงหัวเราะจากใต้ดินเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและแค้นใจ “เจ้าไม่รู้หรอกว่าทำไมข้าถึงถูกเรียกขานว่าพระแม่ธรณี! มหิทธานุภาพของพระแม่ธรณีมิได้มาจากลำต้นและยอดคาคบอันโผล่พ้นพื้นดิน มหิทธานุภาพของข้ามาจากราก!”
กิเลนมังกรที่วิ่งตะบึงไปอย่างไม่คิดชีวิตพลันเห็นพื้นดินใต้เท้าของเขาปริแยกออก รากไม้ใหญ่มหึมาจำนวนนับไม่ถ้วนมุดซอกซอนไปมาใต้พื้นผิว และพวกมันก็เลื้อยขัดไขว้ราวกับเป็นมังกรสีน้ำตาลเข้มมากมาย
ทั่วทั้งอัครนครหยกพลันพังทลายลงไปในพื้นดิน ครึ่งเทพ เผ่าเทพ และเผ่ามารมากมายที่ยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้นร่วงลงไปในรอยแยกมหึมาเมื่อพวกเขาตอบสนองไม่ทันท่วงที พวกเขาถูกรากอันเลื้อยบิดไปมาจับเอาไว้ และกลืนหายลับลงไปใต้ดิน
เมฆอัคคีผุดขึ้นมาจากใต้เท้าของกิเลนมังกรเมื่อเขาแบกทุกๆ คนเหาะไปข้างหน้าอย่างสุดความสามารถ
“ผู้คนในโลกหล้าเอาแต่คิดว่าพฤกษาก่อกำเนิดสูงใหญ่อลังการ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพฤกษาก่อกำเนิดนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ที่โผล่พ้นดิน ส่วนที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงคือราก รากก่อกำเนิดที่ใหญ่กว่าพฤกษาก่อกำเนิดเป็นร้อยเท่า!”
เสียงจากใต้ดินยิ่งกล่าวก็ยิ่งเดือดดาล อัครนครยกถูกฝังจมลงไปเรียบร้อยแล้ว และไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ปราสาทสวรรค์ทั้งหมดก็จมลงไปใต้ดินจากแผ่นดินไหว
เพลิงไฟพลันพวยพุ่งขึ้นจากใต้พิภพ และแผดเผาไปจนถึงชั้นเมฆ เสาลาวาอันกว้างหนายิ่งกว่าภูเขาก็หมุนวนไปอย่างเกรี้ยวกราด
เฟิ่งชิวอวิ๋นมองไปยังภาพที่เกิดขึ้นด้วยความเหม่อตะลึง และนางก็เห็นแค่ครึ่งเทพ เผ่าเทพ และเผ่ามารจำนวนนับไม่ถ้วนเหาะไประหว่างเสาลาวาเหล่านั้น พวกเขาขับเคลื่อนทักษะเทวะทุกรูปแบบเพื่อตะเกียกตะกายหนีออกไป
ความเร็วของกิเลนมังกรและกิเลนวารีได้เพิ่มพูนถึงสุดขีดขั้ว แต่สนามแม่เหล็กพลันถูกเขย่าให้ปั่นป่วนสับสนไปหมด ร่างกายของพวกเขากลายเป็นหนักอึ้งอย่างไร้ปานเปรียบ และทำให้เหาะด้วยความยากลำบาก!
บนท้องฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเทพ มาร หรือผู้ฝึกวิชาเทวะ ทุกคนก็ร่วงตกลงมา!
การร่วงตกนี้ประหลาดพิสดารเป็นอย่างยิ่ง พวกเขามิได้ร่วงตกลงไปกับพื้นตรงๆ แต่ถูกดึงไปตกยังจุดที่สนามแม่เหล็กผิดปกติ บ้างก็ลอยขึ้นไป บ้างก็ร่วงลงมา และบ้างก็ลอยไปทางขวาง
ทันใดนั้น เทพตนหนึ่งก็ตกลงข้างๆ พวกเขา และร่วงลงไปยังกลางอากาศ เทพตนนั้นฟาดชนเข้ากับทักษะเทวะสนามแม่เหล็กจนมีเสียงฉาดฉาน และเลือดสดๆ ก็พลันระเบิดออกมา กระดูกและเนื้อหนังของเขาฉีกแยกออกจากกัน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกบดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนที่หนักก็ร่วงลงไปข้างล่าง และส่วนที่เบาก็ยังคงลอยอยู่ข้างบน ความตายของเขาน่าสังเวชเกินกว่าจะชมดู!
เทพเจ้านั้นตกลงไปในอากาศว่างเปล่าชัดๆ แต่ดูเหมือนเขาพุ่งชนกับกำแพงเหล็กอันแข็งแกร่งไร้เปรียบปาน!
รอบๆ พวกเขา เทพเจ้าและผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังร่วงไปในทิศทางที่แตกต่างกัน และไม่มีใครร่วงลงไปบนพื้น พวกเขาล้วนแต่ไปพุ่งชนกับทักษะเทวะสนามแม่เหล็กแห่งธาตุทั้งห้า ระเบิดออกไปเป็นบุปผาโลหิตที่แต่งแต้มขึ้นมาจากเลือดเนื้อ ดูทั้งสวยตระการและน่าสลดหดหู่
ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “พี่สาวชิวอวิ๋น ตอนนี้ท่านก็คงรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมพวกเราถึงต้องหนี”
เฟิ่งชิวอวิ๋นเหม่อมอง เสียงจากใต้ดินนั้นเป็นของพระแม่ธรณี ผู้ซึ่งมีเพียงดวงวิญญาณแตกหักและก้อนหัวใจหลงเหลือ แต่ทว่า นางควบคุมส่วนที่สำคัญที่สุดของร่างกายพระแม่ธรณี และนั่นก็คือรากไม้แห่งพฤกษาก่อกำเนิด
รากอันงอกงามอยู่ในแดนก่อกำเนิดหนาใหญ่ไร้ปานเปรียบ และไม่รู้ว่ามันเหยียดยาวและหยั่งลึกลงไปเท่าใด พลังวัตรของนางเข้มข้นจนเกินจินตนาการ
บนพื้นผิวข้างใต้พฤกษาก่อกำเนิด พระแม่ธรณีอีกตนครอบครองกายเนื้อ และเมื่อนางขับเคลื่อนพฤกษาก่อกำเนิด ต้นไม้อันเหยียดยาวไปสู่ท้องฟ้านี้ก็เปล่งแสงเรืองรอง แสงตะวันสาดส่องลงมาพร้อมกับรังสีอันหมุนวนและเต้นระบำอยู่ในสายลม พวกมันโจมตีลงไปยังใต้ดิน
พระแม่ธรณีทั้งสองระเบิดทักษะเทวะใส่กัน และอัครนครหยกก็ล่มสลายไปเรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่พายุอันก่อขึ้นมาจากสนามแม่เหล็ก พายุอันบิดเบี้ยวมิติอวกาศ!
ฉินมู่เล็งเห็นสถานการณ์แต่เนิ่นๆ ดังนั้นเขาจึงนับได้ว่าค่อนข้างปลอดภัย แต่ทว่า เขาเองก็ยังไม่สามารถรับมือกับสนามแม่เหล็กอันผิดปกติเช่นนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะกระตุ้นการทำงานทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของตนโดยทันที เขากวาดรวบทุกคนและพาเคลื่อนย้ายออกไปด้วยกัน
ในจังหวะถัดมา พวกเขาก็ปรากฏขึ้นยังจุดที่ห่างไปอีกพันลี้
ทันใดนั้น พลังสนามแม่เหล็กระเบิดออกมาข้างใต้เท้าของพวกเขา และรังสีเทวะสนามแม่เหล็กอันดุดันก็ไขว้ขัดสานกันบนท้องฟ้าราวกับแสงตะวันอันเจิดจ้า ไม่ว่าแสงนี้จะผ่านไปที่ใด เทพ มาร และผู้ฝึกวิชาเทวะอันแข็งแกร่งทั้งหลายก็จะร่วงตกลงไปยังรังสีเทวะนั้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้ร่างกายของพวกเขาแหลกเหลวเป็นชิ้นๆ!
เมื่อมองจากที่ไกลๆ มันราวกับว่าตัวตนอันแข็งแกร่งเหล่านี้เสนอตัวเข้าไปปะทะกับรังสีเทวะด้วยตนเอง!
นี่มันฆ่าล้างผลาญชัดๆ!
กระนั้นนี่ก็เป็นเพียงแค่ลูกหลงจากการปะทะกับของพระแม่ธรณีเหนือผิวดินกับพระแม่ธรณีใต้ดิน อันพวกเขาเข้าไปพัวพันด้วย
พระแม่ธรณีทั้งสองมิได้ลงมือโจมตีเทพเจ้าเหล่านั้นไปตรงๆ เพราะพลังอำนาจของพวกนางน่าสะพรึงกลัวจนเกินไป แต่ละตนครอบครองพลานุภาพแห่งสนามแม่เหล็ก และเมื่อพวกนางปะทะกัน พลังสนามแม่เหล็กก็เกรี้ยวกราดรุนแรงจนกระทั่งนำหายนะมาสู่ผู้คนรอบข้าง
เทวานุภาพสนามแม่เหล็ก เป็นพลังพื้นฐานที่สุดในโลกหล้า มันคือพลังอันดึกดำบรรพ์ที่สุด และยังเป็นที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดอีกด้วย ในฐานะร่างสถิตของพลังอำนาจนี้ พละกำลังของพระแม่ธรณีจึงไม่อาจวัดได้ด้วยเขตขั้นวรยุทธอย่างเช่นตำหนักชิดฟ้าหรือบัลลังก์จักรพรรดิได้อีกต่อไป
เทพบรรพกาลไม่มีเขตขั้นวรยุทธ มีก็แต่ว่าพวกเขาควบคุมเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้แข็งแกร่งหรืออ่อนแอมากแค่ไหน เขตขั้นวรยุทธไม่อาจใช้วัดประมาณพลังอำนาจของพวกเขา
ฉินมู่รีบขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของตนซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อหลบหนี ภายในเสี้ยวพริบตา เขาก็หลบหนีไปไกลกว่าหมื่นลี้
พลังวัตรของเขาถูกเผาผลาญไปอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงต้องหยุดการเคลื่อนย้ายระยะไกลอย่างไม่มีทางเลือกอื่น เขาปล่อยให้กิเลนมังกรวิ่งตะบึงตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มพิกัดแทน
สนามแม่เหล็กที่นี่ยังคงเคลื่อนไหวอย่างเชี่ยวกราก แต่ภัยคุกคามของมันที่มีต่อพวกเขาลดทอนลงไปมาก วรยุทธของกิเลนมังกรยังถึงกับเหนือกว่าฉินมู่เสียอีก ดังนั้นเขาจึงรับมือได้ไม่ยาก
เขาหันหลังกลับไปมองเห็นพระแม่ธรณีทั้งสองปะทะกัน เขาไม่อาจมองเห็นตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวทั้งสองอีกต่อไป และเห็นก็เพียงแต่รังสีเทวะอันสาดส่องจากพฤกษาก่อกำเนิด และที่สาดส่องออกมาจากรากไม้จำนวนนับไม่ถ้วนอันชอนไชออกมาจากใต้ดิน
นอกจากนั้น ก็ยังมียอดยุทธฝีมือแกร่งเหาะเหินอยู่ท่ามกลางกิ่งและรากของเทพบรรพกาลทั้งสอง และกำลังพยายามหลบหนีออกมา และชั่วระยะเป็นพักๆ ก็จะมีผู้คนถูกลูกหลงและระเบิดในอากาศ กลายเป็นกลุ่มหมอกโลหิตที่กระจายตัวออกไป
พวกที่หลบหนีออกมาได้จากที่นั่นล้วนแต่เป็นยอดยุทธผู้มีกำลังฝีมืออันเหนือธรรมดา
ทันใดนั้น ดวงตาของเฟิ่งชิวอวิ๋นก็ลุกวาบเมื่อนางเห็นนกหงส์เพลิงเก้าหัวเหินตัดผ่ากิ่งก้านและรากอันหนาใหญ่ ด้วยการดึงดีดสายขิมของนาง โน้ตขิมก็จะเฉือนตัดรังสีเทวะสนามแม่เหล็ก ทำให้นางสามารถหลุดพ้นออกมาจากสนามรบ
“นังเท้ากีบน้อยฉีเสียอวี๋!”
เฟิ่งชิวอวิ๋นเดือดดาลและกระโจนทะยานขึ้นไปจากศีรษะของกิเลนมังกร นางแปลงร่างเป็นหงส์เพลิงและกระพือปีกออกไป
“พี่สาวชิวอวิ๋น อย่าไป!”
ฉินมู่ตะโกน “รีบกลับมาคุ้มกันข้าเร็วเข้า วรยุทธของข้าเกือบจะถึงขั้นเป็นตายแล้ว!”
ความเร็วของเฟิ่งชิวอวิ๋นเร็วอย่างสุดกู่ และนางก็หายวับไปในพริบตา มีก็แต่รอยทางแสงสองเส้นที่หลงเหลืออยู่บนท้องฟ้า หนึ่งนั้นเป็นรอยแสงของฉีเสียอวี๋ และอีกหนึ่งนั้นเป็นรอยแสงของเฟิ่งชิวอวิ๋น
ทั้งสองคนเป็นยอดฝีมือแห่งเผ่าหงส์เพลิง วรยุทธของเฟิ่งชิวอวิ๋นอยู่ที่ระดับสุดยอดของขั้นตำหนักชิดฟ้าแล้ว ในขณะที่ฉีเสียอวี๋บรรลุขั้นบัลลังก์จักรพรรดิมานาน นางรู้ว่านางมิใช่คู่ต่อสู้ของฉีเสียอวี๋ จึงได้นำกระบี่ธรณีดั้งเดิมไปด้วย
เหงื่อเย็นเยียบผุดที่หน้าผากของฉินมู่ และเขาก็ร้องด้วยเสียงอ่อย “พระแม่ธรณีให้ท่านมาคอยปกป้องข้า…”
คลื่นพลังสนามแม่เหล็กซัดกลิ้งมา และพลานุภาพอันแปลกพิสดารนี้ก็ได้ทำให้พื้นดินและห้วงมิติบิดเบี้ยว ทำให้ภูเขากระเพื่อมขึ้นๆ ลงๆ ราวกับคลื่นยักษ์ เมื่อพวกมันถูกบดอัดไป
ฉินมู่ขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะทันทีเพื่อปกป้องร่างกายของเขา เทพเจ้าและครึ่งเทพมากมายตามพวกเขามาทัน และหนีกระเจิดกระเจิงไปทุกทิศทาง บางครั้งบางคราก็จะมีคนถูกยิงด้วยรังสีเทวะสนามแม่เหล็กแบบสุ่มๆ และก็จะถูกบีบหดเป็นก้อนเนื้อภายในพริบตา จากนั้นพวกเขาก็จะระเบิดดังปัง กลายเป็นละอองโลหิต
ฉินมู่มองไปข้างหลังและจ้องอย่างกระวนกระวายที่แสงเหล่านั้น พากิเลนมังกรหลบหลีกพวกมัน
ในตอนนั้นเอง คลื่นอันน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดแสนก็ส่งมาจากจุดที่พระแม่ธรณีทั้งสองกำลังต่อสู้กันอยู่ พื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับผืนผ้าอันสะบัดไหว และภูเขาก็ยกตัวโยกขึ้นๆ ลงๆ
ที่จุดศูนย์กลางของแสง รังสีเทวะสนามแม่เหล็กเหมือนกับลูกบอลแสงที่แผ่ขยายตัวออกมาอย่างเร็วจี๋ ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ภูเขาก็ดูเหมือนจะกลายเป็นภาพนูนสูงที่แปะอยู่บนลูกบอล
ลูกบอลแสงอันน่าสะพรึงกลัวขยายตัวออกไปด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัว และรุกคืบเข้าใกล้พวกเขา!
ความเร็วเช่นนี้เร็วกว่าการเหาะเหินของกิเลนมังกรมากมายหลายเท่า!
ฉินมู่ขนหัวลุกจนเต็มเหยียด “พวกเราวิ่งหนีต่อไปไม่ได้แล้ว…กำลังฝีมือของพระแม่ธรณีที่ตายไปแล้ว กับพระแม่ธรณีกำเนิดใหม่จากร่างอันพิการนั่นน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้เชียวหรือ พี่ชาย ให้ข้ายืมพลังหน่อย!”
เขาปลดใบหลิวออกและตะโกน ร่างของเขาขยายใหญ่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในขณะที่เทวานุภาพแห่งแดนใต้พิภพถั่งโถมออกมา ภาษาใต้พิภพอันซ่อนเงื่อนกึกก้องไปทั่วกายของเขา และมันก็พิลึกกึกกือจนเกินจะคิดฝัน
ไม่ไกลกันนัก ราชามังกรบรรพชนและคนอื่นๆ ที่กำลังปกป้องครึ่งเทพจำนวนหนึ่งก็ตะโกนออกมาเมื่อพวกเขาเห็นว่าไม่อาจหลบหนีได้อีกต่อไป “ร่วมมือกันต้านทานแรงกระแทก!”
รัศมีของทุกๆ คนเข้ามาชนกันและกัน เมื่อต่างก็ขับเคลื่อนทักษะเทวะ ราชามังกรบรรพชนแปลงร่างเป็นมังกรเฒ่าที่มีกายเนื้ออันใหญ่มหึมาไร้ปานเปรียบ ร่างมังกรของเขากระหวัดพันรอบสหายร่วมเผ่าของตนอย่างแน่นหนา และเขาก็อ้าปากออกมาเพื่อพ่นลูกแก้วมังกร ลูกแก้วมังกรพุ่งเข้าไปฟาดใส่รังสีเทวะสนามแม่เหล็ก พลางตะโกนไป “ทุกคนโจมตีจุดนี้พร้อมๆ กัน หากว่าพวกเราสร้างรูโหว่ขนาดใหญ่ในทักษะเทวะ ก็จะมีโอกาสเอาชีวิตรอด ไม่อย่างนั้นก็มีแต่ตายด้วยกันทั้งหมดที่นี่!”
ยอดยุทธฝีมือแกร่งคนอื่นๆ ขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำได้ และเขวี้ยงทักษะเทวะตามติดๆ ไปข้างหลังลูกแก้วมังกรนั้น
ฉินมู่กระโดดเข้าไปยืนตรงหน้ากิเลนมังกรและคนอื่นๆ เพื่อปกป้องพวกเขา ด้วยแขนทั้งหกที่เคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ พวกมันก็เหมือนกันแขนนับพันหมื่นอันแปรเปลี่ยนเป็นกำปั้นหนึ่งที่ต่อยออกไปข้างหน้า!
ลูกบอลอันก่อขึ้นมาจากรังสีเทวะสนามแม่เหล็ก ได้ซัดพาเอาภูเขาทั้งหลายมาปะทะกับทักษะเทวะของพวกเขา และลูกบอลนี้ก็ดูเหมือนจะชะงักไปชั่วเสี้ยววินาที ก่อนที่จะกลืนกินพวกเขาเข้าไป
ฉินมู่ได้ยินเสียงระเบิดของภูเขาถล่มภูผาทลายข้างๆ หูเขา และเขาก็ถูกซัดลอยไปด้วยพลานุภาพอันสุดจะหยั่ง เขากระเด็นไปข้างหลัง
แต่ถึงอย่างไรเขาก็มีสามเศียรหกกร ดังนั้นเขาจึงคว้ากิเลนมังกรด้วยมือหนึ่ง และคว้ากิเลนวารีด้วยอีกมือหนึ่ง แขนอีกข้างคว้าจับวิญญูชนสวรรค์อวี้และกงซุนเอี้ยน ก่อนที่เขาจะถูกซัดกระเด็นไปจากลูกหลงทักษะเทวะของพระแม่ธรณีทั้งสอง
ในท้ายที่สุด หลังจากคลื่นกระแทกระลอกนี้ ภูเขาและแผ่นดินที่ถูกบิดเบี้ยวก็คืนกลับมาเป็นปกติ ฉินมู่ยันมือโค้งตัวเอาไว้เมื่อเขาถูกกดทับไว้ด้วยภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง และคลานตะกายออกมาจากใต้ภูเขา
กงซุนเอี้ยน วิญญูชนสวรรค์อวี้ และคนอื่นๆ เดินออกมาจากใต้ร่างกายเขาด้วยร่างกายอันสั่นเทาเพราะความกลัว ฉินมู่สลายร่างสามเศียรหกกรของเขา และย่อหดร่างกลับไปเป็นขนาดปกติ เขารู้สึกถึงความหวาดกลัวที่ยังคงไม่ปัดเป่าไป พลางมองสำรวจบริเวณโดยรอบ
ไม่ว่าสายตาเขาจะมองไปทางไหน ก็เห็นแต่ภูเขาอันพังทลายลงไปทั้งซ้ายและขวา ราวกับว่ามีพายุอันเกรี้ยวกราดเข้ามาบุกถล่มพงไพร
ส่วนว่าราชามังกรบรรพชนและพรรคพวกที่ร่วมมือกับเขาในชั่วเวลาแห่งความโกลาหลนั้นจะอยู่ที่ใด พวกเขาก็ไม่รู้สักนิด ครึ่งเทพเหล่านั้นเป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ต่างๆ และพวกเขาก็มีกำลังฝีมืออันแข็งแกร่งไม่แพ้เฟิ่งชิวอวิ๋น จึงไม่น่าจะเป็นอะไรมาก
“น้องชายตัวร้าย ทำให้ข้าหมดแรงไปมาก”
ในแผ่นดินรูปตัวฉิน รัศมีของฉินเฟิงชิงซีดเซียวและไร้ชีวิตชีวา เขาเคืองอยู่นิดหน่อย “ข้าจะต้องกินภูตผีเทวะพวกนี้เพื่อฟื้นฟูพลังชีวิต!”
ฉินมู่ยืมพลังอำนาจของเขาเพื่อปะทะกับลูกหลงทักษะเทวะของพระแม่ธรณีทั้งสอง แรงกระแทกนี้ร้ายแรงจนเกินไป และแม้แต่ทรราชน้อยแห่งแดนใต้พิภพก็ไม่อาจทานทนไหว
ฉินมู่รีบปิดใบหลิวลงไป และสำรวจร่างกายของเขากับทุกๆ คน เขาระบายลมหายใจโล่งอก “ล้วนแต่เป็นบาดแผลผิวเผิน ไม่มีอะไรร้ายแรง”
กงซุนเอี้ยนรีบกล่าว “พวกเรารีบไปตามหาพระแม่ธรณีกันเถอะ! กำลังฝีมือของพระแม่ธรณีปลอมนั้นแข็งแกร่งจนเกินไป ข้าไม่รู้ว่าพระแม่ธรณีจะเป็นอะไรหรือเปล่า”
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นมาและกล่าว “พวกเรากลับไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ราชวังธรณีน่าจะถูกฝังลึกลงไปใต้ดินของแดนก่อกำเนิด ต่อให้มันไม่ถูกทำลาย พวกเราก็ไม่สามารถค้นหามันเจอได้อยู่ดี พวกเรามีแต่ต้องรอให้พระแม่ธรณีมาตามหาด้วยตัวนางเอง ที่นี่ไม่ใช่สถานที่อันเหมาะจะพักอยู่นาน พวกเราจะต้องรีบจากไปให้เร็วที่สุด มังกรอ้วน เจ้ายังเดินต่อไหวไหม”
มังกรอ้วนรวบรวมเรี่ยวแรงและกำลังจะอ้าปากกล่าวอะไรสักหน่อย แต่ทันใดนั้นเขาก็เงยศีรษะขึ้นไปมองยังยอดเขาอันเอียงกระเท่เร่อยู่บนพื้นข้างหน้า เขาหุบปากฉับ
ฉินมู่มองตามสายตาและเห็นเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนยอดเขาอันเอียงเอน แขนของนางกอดเข่าเอาไว้ และนางกำลังมองมาที่พวกเขาด้วยรอยยิ้ม นางมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากศิษย์อีกคนของพระแม่ธรณี
เสื้อผ้าของนางยังคงสดสวยและไม่ดูยับเยินเลยแม้แต่น้อย นางไม่เหมือนกับฉินมู่และคณะที่ล้วนแต่คลุกฝุ่นติดโคลน ราวกับว่าลูกหลงพวกนั้นไม่มีผลกระทบกับนางเลยสักนิด
ฉินมู่เผยรอยยิ้มและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ศิษย์พี่หญิง พวกเราล้วนแต่เป็นศิษย์ของพระแม่ธรณี แต่กระนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าจะเรียกหาเจ้าว่าอย่างไร”
เด็กสาวลุกขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในฐานะศิษย์ของพระแม่ธรณีด้วยกัน ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของจ้าวลัทธิฉินมานานนม สาเหตุที่ข้าออกมาจากการเก็บตัวฝึกวิชาในคราวนี้ ก็เพื่อมาชมดูว่าเจ้ามีฝีมือความสามารถเช่นใด”
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดังและเขาสะบัดแขนขวาออกไปทางขวาง นิ้วทั้งห้าของเขากางออก ไจกระบี่บินหวือออกมาและแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่บินเล่มหนึ่งในมือของเขา “มาสิ ข้าเองก็อยากจะเห็นฝีมือความสามารถของพันธมิตรสวรรค์ที่ได้สืบทอดกันมานับแต่โบราณกาล”
“พันธมิตรสวรรค์?”
เด็กสาวผู้นั้นระเบิดหัวเราะ “จ้าวลัทธิฉินดูจะเข้าใจอะไรผิด ชื่อของข้าคือเอี้ยนชี่หลิง และข้าไม่ได้มาจากพันธมิตรสวรรค์อันเต็มไปด้วยพวกกบฏและคนทรยศ”