ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 103 ร่วมงานเลี้ยงเต็มพิธีการ
ตลอดทางที่เดินมาหลินชิงเวยพบเห็นนางกำนัลรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เดินเหินไปมาอย่างแช่มช้อยไม่น้อย แต่ที่พบมากที่สุดยังคงเป็นนางกำนัลผู้ทำหน้าที่ถือโคมไฟ
ดอกกล้วยไม้สวยงามไร้ที่ติประดับประดาตามสองข้างทางดูเหมือนผ้ายาวๆ ผืนหนึ่ง รูปร่างของมันมีหลากหลายสีสันตามสายพันธุ์ของดอกกล้วยไม้นานาชนิดที่ได้รับการเลี้ยงดูและตัดแต่งมาอย่างพิถีพิถัน ดูแล้วงดงามและมีชีวิตชีวาอย่างที่สุด
ภายในตำหนักหยางชุนมีคนอยู่ไม่น้อยแล้ว ก่อนหน้าที่เซียวจิ่นจะมาถึงพวกเขาดูผ่อนคลาย สนทนายิ้มหัวด้วยท่าทีสงบและมีความสุข หลินชิงเวยติดตามอยู่ข้างกายเขาย่อมได้รับเกียรตินั้นไม่น้อยเช่นกัน เดินมาตลอดทางพบไม่มีนางกำนัลคนใดไม่คุกเข่าให้
กงกงที่อยู่เบื้องหน้าร้องขานขึ้นด้วยเสียงดังกังวาน “ฮ่องเต้เสด็จ–”
เหล่าขุนนางใหญ่ที่อยู่ในตำหนักหยางชุนกลับมามีท่าทีจริงจัง จัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมกับลุกขึ้นค้อมกายลงแสดงการคารวะตามธรรมเนียมอย่างพร้อมเพรียงกัน “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี–”
เป็นครั้งแรกที่หลินชิงเวยได้พบกับพิธีการเป็นทางการและเต็มยศเช่นนี้ ตำหนักแห่งนี้กว้างขวางใหญ่โต หลังคาและเพดานทั้งสูง แต่ทั้งเสาทั้งสี่ด้านล้วนทำมาจากทองคำประดับระยิบระยับ ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของทองคำอย่างเข้มข้น เหล่าขุนนางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดังก้องส่งผลให้เสียงนั้นสะท้อนอยู่ภายในตำหนักแห่งนี้สะท้านสะเทือนจิตใจให้อุ่นวาบ
หลินชิงเวยเข็นเก้าอี้ของเซียวจิ่นไปยังตำแหน่งตรงกลางอุ้มเขาจากเก้าอี้รถเข็นไปนั่งยังบัลลังก์มังกร ด้านซ้ายและด้านขวาของบัลลังก์มังกรมีเก้าอี้สีทองสองตัววางอยู่ ด้านหน้ามีโต๊ะไม้สีดำตัวยาววางอยู่ ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ทันทีว่าหนึ่งในนั้นคือที่นั่งที่เตรียมให้ไทเฮา ส่วนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งนั้นเตรียมไว้ให้เซ่อเจิ้งอ๋อง
บัดนี้สตรีที่ติดตามอยู่ข้างกายฮ่องเต้คือหลินชิงเวย ล้วนทำให้เหล่าขุนนางใหญ่คาดเดาไปต่างๆ นานา แม้หลินเจาอี๋จะเคยเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น แต่บัดนี้นับได้ว่าเป็นคนโปรดข้างกายฮ่องเต้ มหาเสนาบดีหลินที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดของเหล่าขุนนางเป็นบิดาของหลินชิงเวย เวลานี้ยืนยืดหน้าอกผายไหล่ผึ่งเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
เซียวจิ่นยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ขุนนางทั้งหลายลุกขึ้น นั่ง”
ไม่อาจไม่พูดว่าเด็กน้อยคนนี้เมื่อเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังขึ้นมายังมีบารมีอำนาจถึงสองส่วน ใบหน้าที่ขาวผ่องประดุจหยกขาว เกี้ยวไข่มุกไหวตัวเบาๆ แม้บุคลิกของฮ่องเต้ยังคงดูอ่อนเยาว์สองส่วนแต่ได้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
ในยามปกติเซียวจิ่นไม่เคยใช้สีหน้าท่าทางเช่นนี้กับหลินชิงเวย ท่าทีเป็นผู้ใหญ่และความเคร่งขรึมของเขาล้วนเป็นเพราะเขาต้องโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัย
หลังจากเซียวจิ่นมาถึงแล้ว เซี่ยนอ๋องเซียวอี้เพิ่งจะมาถึง ราวกับเจตนาที่จะมาช้าสักหน่อย เจตนาแสดงตนเป็นคนเสเพลไม่อยู่ในกฎในเกณฑ์
เซียวอี้เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยเป็นธรรมชาติ เขาเดินเหินราวกับมีลมหมุนอยู่ใต้เท้าชายอาภรณ์สะบัดพลิ้วขึ้นมา บนริมฝีปากมีรอยยิ้มผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเองแววตาทอประกายระยิบระยับแพรวพราว
เซียวอี้เหลือบมองหลินชิงเวยแวบหนึ่งก่อนแล้วจึงหันไปกล่าวกับเซียวจิ่นอย่างมีมารยาท “กระหม่อมมาช้า ขอฝ่าบาทโปรดลงทัณฑ์พะยะค่ะ”
เซียวจิ่นไม่ได้แสดงออกอันใดจึงกล่าวเนิบๆ ว่า “ไม่เป็นไร งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม เสด็จอาไม่นับว่ามาช้า เด็กๆ ประทานที่นั่ง”
เซียวอี้จึงนั่งลงในตำแหน่งประธานด้วยสีหน้าไม่รู้สึกผิดอันใด เขาแหวกชายอาภรณ์แล้วนั่งลงอย่างสง่างาม
เซียวจิ่นหันมาพูดกับหลินชิงเวยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะและอ่อนโยน “ชิงเวย เจ้าติดตามเจิ้นมา เจิ้นย่อมไม่ให้เจ้ายืนอยู่ข้างเจิ้นตลอดเวลา เจ้าไปนั่งที่นั่งด้านข้างเป็นอย่างไร?”
น้ำเสียงนั้นปรึกษาหารือ ชัดเจนยิ่งนักว่าไม่ให้หลินชิงเวยปฏิเสธ “สุดแต่ฝ่าบาททรงบัญชาเพคะ”
ดังนั้นเซียวจิ่นจึงประทานที่นั่งให้กับหลินชิงเวยต่อหน้าขุนนางทั้งหมด ซึ่งเป็นตำแหน่งอีกด้านหนึ่งของตำแหน่งประธาน ตรงกลางมีพรมแดงความกว้างขนาดหนึ่งจั้งผืนหนึ่งปูเอาไว้ เป็นตำแหน่งตรงข้ามเซียวอี้ เซียวอี้ยกถ้วยสุราให้นาง นางกลอกตาขาวกลับไป
บรรดาขุนนางนั่งลงพร้อมเพรียงแล้ว ต่อมาก็คือไทเฮานำนางสนมของตำหนักในเข้ามา
ในยามปกตินางสนมภายในตำหนักในห้ามมีความเกี่ยวข้องอันใดกับฝ่ายหน้า งานเลี้ยงที่จะจัดให้ขุนนางในราชสำนักและนางสนมในตำหนักในได้พบหน้ากันเช่นนี้ปีหนึ่งมีอยู่ไม่กี่ครั้ง อีกทั้งนางสนมในตำหนักในโดยส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นบุตรสาวของขุนนางในราชสำนัก ด้วยเหตุนี้การมาร่วมงานเลี้ยงยังได้พบปะกับคนในครอบครัว สำหรับพวกนางแล้วนั้นถือเป็นสิ่งที่ปรารถนายิ่งยวด
แต่มิใช่นางสนมทุกคนจะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วมงานเลี้ยง
ยามนี้ไทเฮามาถึงแล้ว เสื้อคลุมหงส์หรูหราสูงศักดิ์ ใบหน้าเปี่ยมสง่าราศีผ่องใส ดอกไม้ตูมสีแดงดอกเล็กๆ อยู่ตรงกลางระหว่างคิ้ว ช่างงดงามดึงดูดสายตาบีบคั้นผู้คนนัก ไทเฮาดูไม่ชราสักนิดทั้งยังอยู่ในวัยที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของสตรีเต็มตัว
ข้างหลังนางคือเหล่านางสนมของตำหนักใน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
แต่ละนางล้วนงดงามมีความโดดเด่นราวกับผลท้อที่เพียงบีบก็คั้นน้ำออกมาได้ ด้วยต้องการโดดเด่นกว่าผู้อื่นต่อหน้าผู้คนมากมายไม่มีสักคนที่ไม่แต่งกายประทินโฉมอย่างตั้งอกตั้งใจ อาภรณ์และกระโปรงที่สวมใส่ล้วนประณีตสวยงาม
การเยื้องย่างอันชดช้อย คลี่รอยยิ้มจางๆ เอวอ่อนราวกับกิ่งหลิว คิ้วตาเต็มไปด้วยเสน่ห์ทำให้คนลุ่มหลง
จ้าวเฟยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทเฮา นางจึงยืนอยู่เบื้องหลังไทเฮา วันนี้นางสวมกระโปรงยาวสีม่วงทั้งชุด ผิวพรรณขาวผ่องประดุจหยกมันแพะ เส้นผมดำขลับราวกับน้ำหมึกประดับปิ่นปักผมรูปดอกไม้เล็กๆ ฝีมือละเอียด รอยยิ้มในหน้าและดวงตานั้นช่างทำให้คนลุ่มหลง งดงามยิ่งนัก ทว่าสตรีที่อยู่เบื้องหลังนางกลับมีรูปโฉมจับตาจับใจผู้คนมากกว่าเล็กน้อย
นางสวมกระโปรงผ้าโปร่งสีแดงสดปักด้วยลวดลายดอกกล้วยไม้และคล้ายกับมีกิ่งหลิว ลายปักนั้นเป็นความงดงามที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน และกระโปรงสีแดงสดเมื่ออยู่บนร่างของนางแล้วกลับให้ความรู้สึกพอเหมาะพอเจาะไม่เกินหน้าเกินตาแม้แต่น้อย กลับดูเหมือนเป็นสีที่ทำมาเพื่อนางเป็นการเฉพาะ เส้นผมสีดำขับให้ผิวพรรณของนางขาวนวลอมชมพู ราวกับลิ้นจี่ที่ปอกเปลือกออกแล้วก็มิปาน
ตามจังหวะการเยื้องย่างของนาง สายตาของเหล่าขุนนางล้วนตามติดย่างก้าวของนาง
เมื่อดูลักษณะท่าทางของนางอีกครั้ง รูปหน้าคมเข้ม ดวงตาทั้งคู่สว่างใสประหนึ่งไข่มุกราตรี มีความงดงามดึงดูดสายตาแตกต่างจากสตรีอื่นๆ อย่างชัดเจน บุคลิกนางดูไปแล้วคล้ายนางปีศาจตนหนึ่ง
นี่มิใช่จู๋กุ้ยเหรินหรอกหรือ
หลินชิงเวยเคยมีวาสนาได้พบหน้านางครั้งหนึ่ง ไม่สิ พูดให้ถูกต้องก็คือสิ่งที่นางรู้มานั้นดูเหมือนจะมากเกินไปสักหน่อย
หลังจากไทเฮาประทับนั่งลงในตำแหน่งที่นั่งด้านซ้ายของเซียวจิ่น คนทั้งหมดในตำหนักลุกขึ้นแสดงการคารวะอีกครั้ง ต่อมานางสนมทั้งหมดล้วนนั่งฝั่งเดียวกับหลินชิงเวย
จ้าวเฟยเป็นคนหยิ่งผยอง วันนี้นางมาพร้อมกับไทเฮาอย่างน้อยก็ได้พึ่งบารมี แต่นางคิดไม่ถึงว่าหลินชิงเวยได้นั่งอยู่ที่นั่นก่อนหน้านางก้าวหนึ่ง เมื่อจ้าวเฟยหันมาทางหลินชิงเวยในขณะที่ไม่มีคนสังเกตเห็น นางมองหลินชิงเวยด้วยสายตาเย็นชาพร้อมกับแค่นเสียงเย็นเมื่อสะบัดกระโปรงเดินผ่านหลินชิงเวย
จ้าวเฟยนั่งลงข้างๆ หลินชิงเวย ส่วนจู๋กุ้ยเหรินนั่งข้างๆ จ้าวเฟย
เพียงไม่นานความสนอกสนใจของจ้าวเฟยไม่ได้อยู่ที่หลินชิงเวยอีกต่อไป ทว่าเมื่อเห็นว่าหลินชิงเวยสวมใส่อาภรณ์เหมือนในยามปกติทุกวัน คิดดูแล้วแทบจะไม่ได้ผลัดอาภรณ์ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าได้แต่งหน้าแต่งหน้าประทินโฉมหรือไม่ ช่างเป็นหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งโดยแท้ ความสนใจของจ้าวเฟยตกอยู่ที่จู๋กุ้ยเหรินผู้นั่งอยู่ด้านข้างนาง นางคิดว่าจู๋กุ้ยเหรินเฉิดฉายกว่านางและเป็นคู่แข่งของนาง
ขณะที่คิดได้เยี่ยงนี้ อาจเป็นเพราะสายตาของจ้าวเฟยเปี่ยมไปด้วยความเป็นอริและดูถูกดูแคลนนั้นออกนอกหน้าเกินไป ทำให้จู๋กุ้ยเหรินไม่อาจไม่หันหน้ามาประสานสายตากับดวงตาทั้งคู่ของจ้าวเฟย
หัวใจของจ้าวเฟยเต้นผิดจังหวะ ไฉนดวงตาคู่นั้นจึงนิ่งลึกราวกับอัญมณีสีดำอย่างไรอย่างนั้น ราวกับมันมีพลังอำนาจเวทย์มน ข้างในเป็นบ่อน้ำลึกๆ บ่อหนึ่งที่ต้องการดึงดูดนางเข้าสู่วังวนข้างใน