ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 114 ข้าเก่า
เรื่องนี้กลับทำให้เซียวเยี่ยนนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนกู้เทียนหลินมีบุตรสาวคนหนึ่ง ต่อมาไม่ระวังจึงตกลงไปในบ่อน้ำในฤดูหนาวแล้วล้มป่วยไม่ดีขึ้น สุขภาพอ่อนแอเจ็บป่วยตลอดเวลา กู้เทียนหลินจึงส่งบุตรสาวคนนี้ออกจากเมืองหลวง นับแต่นั้นก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย คนนอกล้วนคิดว่าบุตรสาวคนนี้ตายไปตั้งแต่ยังเยาว์ คิดไม่ถึงว่ากลับมาปรากฏกายในคราบของบุรุษในวันนี้
นางน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลินชิงเวย หลินชิงเวยดูเหมือนถูกเลี้ยงอยู่ในครอบครัวสูงศักดิ์ประหนึ่งดอกไห่ถังที่งดงาม ส่วนนางกลับเหมือนต้นกระบองเพชรที่เต็มไปด้วยหนาม
ที่จริงหลินชิงเวยคิดจะพูดให้นางยอมรับ “เจ้าดูสิ เวลานี้มีหลักฐานแน่นหนาทุกอย่างล้วนปรากฏอยู่ต่อหน้าเจ้า เจ้ายังคิดว่าบิดาของเจ้า กู้เทียนหลิน ถูกปรักปรำอีกหรือ?”
แววตาของกู้หมิงเฟิ่งเต็มไปด้วยความกระหายเลือด “ไม่ใช่เขา ข้าบอกแล้วว่าไม่ใช่เขาก็ไม่ใช่เขา! ต่อให้มีหลักฐานเหล่านี้แล้วอย่างไรเล่า เขาไม่อยู่หนานเจียง ผู้ที่เรียกระดมพลไม่ใช่เขา จากหนานเจียงมาถึงเมืองหลวง แต่ละขั้นตอนต้องผ่านด่านมากมายเท่าใด เหตุใดพวกเจ้าไม่ไปตรวจสอบคนเหล่านั้น!”
หลินชิงเวยขมวดคิ้วเรียวงามเล็กน้อย “กู้เทียนหลินเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม สิ่งของนั้นนำมาใช้ประโยชน์อันใด หากเกิดเรื่องผิดพลาดอันใดขึ้น เขาล้วนไม่อาจพ้นความผิดได้ ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ดูเหมือนเจ้าจะรู้และเข้าใจสถานการณ์ทางด้านเจียงหนานอย่างยิ่ง เจ้ามาจากหนานเจียงใช่หรือไม่?”
กู้หมิงเฟิ่งอึกอัก
หลินชิงเวยผงกศรีษะ “เจ้ามาจากหนานเจียง เจ้าทำอะไรอยู่ที่หนานเจียง?”
กู้หมิงเฟิ่งกัดฟันแน่นไม่พูดจา
หลินชิงเวยเอ่ยขึ้น “เวลานี้ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ นอกจากให้การตามสัตย์จริงแล้วไม่มีทางเลือกอื่น หากเจ้าไม่พูดอะไรทั้งสิ้น พวกเราจะเชื่อได้อย่างไรว่าบิดาของเจ้าถูกปรักปรำ ไม่แน่ว่าอาจจะหาเบาะแสที่มีประโยชน์พบก็ได้”
กู้หมิงเฟิงหลับตาลง “สกุลกู้ของข้าล้วนถูกประหารหมดสิ้น ต่อให้ความจริงปรากฏแล้วจะมีประโยชน์อันใด! หากจะโทษก็ต้องโทษตัวข้าที่ไม่แตกฉากในวรยุทธ์ สังหารพวกเจ้าไม่สำเร็จ! หากมีโอกาสอีกครั้งข้ายังคงต้องการสังหารพวกเจ้า!”
หลินชิงเวยไม่อาจถามอะไรต่อไปได้อีก คนล้วนตายไปหมดแล้วมาตรวจสอบเรื่องเหล่านี้อีกยังจะมีประโยชน์อันใด หากนางเป็นกู้หมิงเฟิ่งก็เป็นไปได้ที่จะไม่ให้ความร่วมมือเช่นกัน
เซียวเยี่ยนกลับเอ่ยขึ้นในยามนี้ “หากสกุลกู้ถูกปรักปรำ เปิ่นหวังยินดีจะพลิกคดีให้กับสกุลกู้ สกุลกู้ไม่ต้องแบกรับความผิดเป็นขุนนางกังฉิน สกุลกู้ทั้งหมดล้วนเข้าในศาลบรรพชนของผู้กล้าหาญได้ ศพและศีรษะสามารถย้ายไปฝังในสุสานสกุลกู้ได้”
นับแต่โบราณมา ขุนนางผู้มีความผิดซึ่งถูกลงโทษประหารหลังจากถูกตัดศีรษะแล้ว ศพจะถูกนำไปทิ้งบนภูเขา ไม่มีที่ฝังศพหลังจากตายไปแล้ว หากสามารถนำร่างของศพและศีรษะกลับมาจากภูเขาร้างไปยังสุสานของสกุลตนเองได้ นั่นนับเป็นเรื่องปลอบประโลมจิตใจครั้งใหญ่ทีเดียว
พิสูจน์ความบริสุทธิ์หลังจากตายไปแล้ว แม้จะเป็นเรื่องที่มิอาจชดเชยได้ แต่ทำให้สกุลกู้ไม่ต้องได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความผิดและถูกประนามอีก
เซียวเยี่ยนเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาราวกับต้องการจะทำเพื่อเป็นการชดเชยอันใด หลังจากเรื่องนั้นหลินชิงเวยได้ไปศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายของต้าเซี่ย ว่ากันตามหลักของกฎหมายแล้วนางไม่พบว่าเซียวเยี่ยนได้ทำผิดอันใด
ไม่ว่ากู้เทียนหลินจะถูกปรักปรำหรือไม่ เขาล้วนไม่อาจรอดพ้นจากความผิดชอบที่พึงมีได้ ตราคำสั่งทหารผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นในมือเขา ระดมกำลังไพร่พลแล้วหายสาบสูญก็หายไปในขั้นตอนของเขาเช่นกัน
เพียงแต่การประหารเก้าชั่วโคตรทั้งสกุลนั้นโหดร้ายเกินไป
อยู่ในยุคสมัยนี้ ไม่ใช่ยุคที่จะมาพูดถึงมโนธรรมและความรู้สึก
แม้คำพูดของเซียวเยี่ยนจะมิอาจชดเชยอันใดให้กับคนที่ตายไปแล้วได้ แต่สำหรับคนเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้กลับเป็นคำปลอบประโลมเพียงอย่างเดียว กู้หมิงเฟิ่งยอมรับว่าเคียดแค้นชิงชังเซียวจิ่นและเซียวเยี่ยนจนเข้ากระดูกดำ แต่นางไม่มีทางยินยอมให้สกุลกู้ต้องถูกปรักปรำและแบกรับความผิดชั่วกัปชั่วกัลป์ ยิ่งไม่ปรารถนาให้คนทั้งหมดของสกุลกู้ที่ถูกประหารถูกทิ้งศพและร่างไว้ให้เป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ภูเขาร้างแห่งนั้น
ตามคำให้การของกู้หมิงเฟิ่ง สุขภาพของนางอ่อนแอตั้งแต่เล็กจึงถูกส่งออกไปรักษาตัวนอกเมืองหลวง ได้เรียนรู้วรยุทธ์เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เมื่อกู้เทียนหลินส่งตัวนางออกไปนั้น นางมีเพียงลมหายใจรวยรินเฮือกสุดท้ายมีความเป็นได้อย่างมากว่าจะไม่รอดชีวิต แต่นางได้พบกับอาจารย์ชาวอวิ๋นหนานท่านหนึ่ง จึงพานางไปอวิ๋นหนานเพื่อทำการรักษาจึงรอดชีวิตมาได้
เรื่องนี้กู้เทียนหลินปิดบังอำพรางไว้อย่างดีตลอดมา ด้วยหนานเจียงอยู่ติดกับอวิ๋นหนาน ก่อนหน้านี้อวิ๋นหนานอ๋องยังมิได้สวามิภักดิ์ต่อต้าเซี่ย อวิ๋นหนานเป็นแคว้นอิสระเล็กๆ แคว้นหนึ่ง ผู้คนของที่นั่นถนัดและเชี่ยวชาญในเรื่องพ่อหมดหมอผี กู้เทียนหลินเกรงว่าคนอื่นจะล่วงรู้ว่าเขาส่งบุตรสาวไปอวิ๋นหนาน ย่อมต้องถูกให้ร้ายว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับอวิ๋นหนานอ๋อง ด้วยเหตุนี้เมื่อเขาส่งกู้หมิงเฟิ่งไปแล้วก็เสมอเหมือนได้ตายจากไป ไม่มีข่าวคราวของนางในเมืองหลวงนับแต่นั้นมา
กู้หมิงเฟิ่งมีนิสัยคล้ายเด็กผู้ชายตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อเติบโตขึ้นยังปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเฉกเช่นบุรุษ นางทำหน้าที่เป็นทหารอยู่ในชายแดนของหนานเจียง นี่ก็เป็นกู้เทียนหลินใช้อำนาจในการวางแผนหาหน้าที่พลทหารเล็กๆ ให้นางอยู่ในชายแดน หน้าที่หลักที่นางรับผิดชอบก็คือรับสมัครพลทหารชายแดนของหนานเจียง
ทหารเหล่านั้นที่ถูกรับสมัครเข้ามา แต่ละคนล้วนต้องผ่านมือนาง และสถานภาพของทหารแต่ละคนในทะเบียนทหารล้วนเป็นนางที่เติมลงไปทั้งสิ้น
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้กู้หมิงเฟิ่งร่ำไห้จนแทบเอ่ยวาจาไม่ได้ ความเข้มแข็งและโทสะก่อนหน้าที่อันตรธานไปสิ้น
คิดดูแล้วนางเองย่อมกระจ่างแจ้งดีว่าเหตุใดสกุลกู้จึงต้องรับความผิดที่ถูกปรักปรำ เป็นเพราะกู้เทียนหลินต้องการปกป้องนาง
แต่ระหว่างการปกป้องและไม่ปกป้องเกือบจะไม่มีอะไรแตกต่าง ไม่ พูดให้ถูกต้องก็คือ ทางเลือกประการหลังคงจะร้ายแรงกว่าเล็กน้อย
หากกู้เทียนหลินไม่ปกป้องนาง เรื่องราวจะต้องถูกสืบสาวต่อไป สุดท้ายเมื่อตรวจสอบพบว่าเป็นกู้เฟิ่งหมิง เวลานั้นเมื่อฐานะของกู้หมิงเฟิ่งถูกตรวจสอบออกมา บัดนี้ความสัมพันธ์ต่อหน้าระหว่างต้าเซี่ยและอวิ๋นหนานคือผู้ปกครองและเมืองใต้อาณัติ แท้ที่จริงแล้วต่างฝ่ายต่างป้องกันอีกฝ่ายในที่ลับจึงกล่าวได้ว่าเปราะบางยิ่งนัก นางและชาวอวิ๋นหนานเกี่ยวพันถึงสถานภาพของทหารและไพร่พลที่สูญหายไป เช่นนั้นกู้เทียนหลินย่อมต้องถูกตัดสินว่าเป็นขุนนางกบฏแน่นอน สกุลกู้ทั้งหมดต่างมีชีวิตอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนและต้องแบกรับชื่อเสียงที่เสื่อมเสียเช่นกัน
กู้หมิงเฟิ่งเสียใจภายหลังหมื่นครั้ง หากนางกลับมาเร็วกว่านี้ก้าวหนึ่ง ความผิดของนาง นางย่อมยอมรับผิดด้วยตัวเอง สกุลกู้ย่อมไม่ต้องมีจุดจบเช่นนี้
เซียวจิ่นเอ่ยปากขึ้น “เช่นนั้นทหารที่ทางชายแดนรับสมัครเข้ามานับหมื่นนั้นเหตุใดจึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย? พวกเจ้าสมคบคิดกับเซี่ยนอ๋องอย่างลับๆ ใช่หรือไม่ หากเจ้าสารภาพความจริงออกมา เจิ้นละเว้นโทษตายให้เจ้า”
กู้หมิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้น น้ำตานองหน้า แต่สายตาที่นางมองเซียวจิ่นยังคงเต็มไปด้วยความเกลียดชังอันเข้มข้น “ท่านพ่อของข้าจงรักภักดีต่อหน้าที่ เป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์รักแผ่นดิน เขาไม่มีทางสมคบคิดกับผู้อื่น! ท่านพ่อเคยเสนอหนังสือเพื่อลาออกจากราชการ ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อในตัวเขา เหตุใดยังต้องรั้งเขาเอาไว้ ใช้สอยเขา! ท่านพ่อตายไปแล้ว เจ้ายังคิดจะใช้ประโยชน์จากเขาเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องกับผู้อื่นเพื่อให้เจ้าบรรลุจุดประสงค์ หากเจ้าไม่ใช่ฮ่องเต้ทรราชแล้วจะเป็นอะไรได้!”
“เจ้าบังอาจ!” เซียวจิ่นโกรธจนหน้าแดง อายุน้อยแค่นั้นในแววตากลับปรากฏให้เห็นความน่าเกรงขามโดยที่ไม่ต้องพูดจา
ทว่าหลินชิงเวยหันไปส่ายหน้าให้เขาเบาๆ
เขาสูดลมหายใจลึกๆ สองครั้ง ฝืนข่มกลั้นความรู้สึกเกรี้ยวกราดในใจลงไป
ในสายตาของใครๆ ล้วนคิดว่าเซียวจิ่นใจร้อนเกินไป หากมิใช่เพราะเขาคิดมาโดยตลอดว่ากู้เทียนหลินสมคบคิดกับเซี่ยนอ๋อง ไม่ว่าจะไต่สวนอย่างไรกู้เทียนหลินก็ไม่ยินยอมบอกผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง กู้เทียนหลินทั้งครอบครัวก้าวขึ้นลานประหาร ส่วนเซี่ยนอ๋องกลับรอดตัวอยู่คนเดียว
ดังนั้นเขาจึงไม่อาจสงบนิ่งเช่นนี้
แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กำลังทหารหายสาบสูญที่ชายแดน ลำดับแรกที่ต้องการรู้ก็คือมีความเกี่ยวข้องอันใดกับอวิ๋นหนานกระมัง
ราวกับเซียวเยี่ยนรับรู้ได้เช่นกันว่าเรื่องนี้อาจร้ายแรงกว่าที่คิด เขาขมวดคิ้วและถามว่า “เรื่องสถานภาพของทหาร ไพร่พล เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”
กู้หมิงเฟิ่งส่ายหน้า “ภายในชั่วราตรีเดียว คนทั้งหมดสูญหาย แม่ทัพหยางที่ประจำอยู่ชายแดนกลัวว่าจะรักษาศีรษะเอาไว้ไม่ได้ ไม่กล้าเอะอะโวยวายเสียงดังจึงให้ข้าเขียนรายงานสถานภาพทางทหารอีกฉบับหนึ่งยื่นให้กับราชสำนัก”