ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 126 มอบหมายภารกิจ
หมัวมัวเอ่ยขึ้นเสียงเบาอยู่ข้างกาย “เหนียงเหนียง ท่านอย่าคิดมากเกินไปเพคะ เซ่อเจิ้งอ๋องและฝ่าบาทช่วยนาง อาจเป็นเพราะนางรักษาพระวรกายของฝ่าบาทให้หายดีได้…”
พูดถึงตรงนี้ไทเฮายิ่งเคียดแค้นชิงชัง นางตบฝ่ามือลงบนโต๊ะหันหน้าบึ้งตึงมากล่าวว่า “ทั้งๆ ที่เขารู้ เปิ่นกงไม่ปรารถนาให้เซียวจิ่นสายเลือดต่ำช้าผู้นั้นหายดี เวลานี้ดียิ่งนักมีหลินชิงเวยที่รักษาเซียวจิ่นให้หายดีได้คนหนึ่งมาปรากฏตัวขึ้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเปิ่นกงยังจะมีความหวังอันใดได้อีก…”
หมัวมัวรีบกระซิบกระซาบ “เหนียงเหนียง คำพูดนี้ท่านพูดไม่ได้! ระวังกำแพงมีหูเพคะ!”
ภายในเรือนหลังเล็กอันดำมืด หลินชิงเวยและซินหรูนั่งยองๆ อยู่ในมุมหนึ่ง หลินชิงเวยหันหน้าไปเห็นซินหรูมองตนเองตาปริบๆ คนหนึ่งตัวใหญ่คนหนึ่งตัวเล็ก ดวงตาคู่ใหญ่จับจ้องดวงตาคู่เล็ก
หลินชิงเวยถอนหายใจเฮือก
ซินหรู “พี่สาว ท่านกำลังโมโหข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“เจ้าอยู่ข้างนอกก็ดีอยู่แล้ว เหตุใดต้องเข้ามารับความลำบากเช่นนี้ เจ้าว่าพี่สาวไม่โมโหได้หรือไม่?”
ซินหรูกลับพูดขึ้นอย่างไม่เสียใจ “ข้าไม่อาจให้พี่สาวได้รับความลำบากเพียงคนเดียว อย่างน้อยเมื่อข้าเข้ามาพี่สาวก็มีเพื่อนคุยเจ้าค่ะ”
“ที่จริงแล้วข้ายังมีเรื่องอื่นคิดจะมอบหมายให้เจ้าไปทำ”
ซินหรูกะพริบตาปริบๆ “หา? เรื่องอันใดเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยมองนาง “ช่างเถิด” เวลานี้ซินหรูถูกกักขังอยู่ที่นี่เช่นกัน ยังจะทำอะไรได้อีก ทว่าเรื่องบางเรื่องเมื่อเกิดขึ้นแล้ว หลินชิงเวยกลับฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเคราะห์ดีที่ตนมิได้มอบหมายให้ซินหรูไปช่วยนางทำเรื่องอันตรายเช่นนั้น หาไม่แล้วผลที่ตามมาจะเลวร้ายจนไม่กล้าคิดเพียงใด
ทั้งสองอยู่ในเรือนหลังเล็กอันมืดมิดนั้นถึงสองวัน ข้างนอกไม่มีสุ้มเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ที่สำคัญก็คือไทเฮานางนั้นแม้จะไม่ได้ใช้ทัณฑ์ทรมานกับคนทั้งสอง แต่กลับมิส่งอาหารเข้ามาแม้แต่มื้อเดียว
ท้องร้องดังโครกคราก ดังสนั่นไปทั่ว
ท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟ มือของหลินชิงเวยลูบไปมาบนขวดเล็กๆ ใบหนึ่ง ไม่รู้กำลังคิดสิ่งใด ซินหรูไม่กล้ารบกวนนางจึงได้แต่อยู่เป็นเพื่อนนางเงียบ
ต่อมาดูเหมือนหลินชิงเวยตัดสินใจแน่วแน่ นางเปิดฝาขวดยานั้นออกแล้ววางบนพื้น เพียงครู่เดียวหนอนสีขาวตัวหนึ่งค่อยๆ คืบคลานออกมาจากข้างใน มันกำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะเคลื่อนไหวโดยคลานไปข้างหน้า
ราวกับชิงหลันได้กลิ่นของความประทุษร้าย มันจึงเลื้อยออกมาจากอกของหลินชิงเวยอย่างรวดเร็ว เตรียมที่จะยืดตัวขึ้นกลืนกินหนอนตัวนั้นลงไป ยังดีที่หลินชิงเวยขัดขวางมันได้ทัน
ซินหรูเห็นหนอนตัวนั้นแล้วรู้สึกชาหนังศีรษะ นางถามว่า “พี่สาว นี่คืออะไรเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยมีสีหน้าเคร่งเครียด คางของนางค้ำอยู่บนหัวเข่าของตนมองไปนิ่งๆ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อก่อนไม่เคยพบเห็นมาก่อน มันเลื้อยออกมาจากร่างกายของจ้าวเฟย ข้าคิดว่าการตายของจ้าวเฟยน่าจะเกี่ยวข้องมัน”
ซินหรูมองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า “พี่สาว ดูเหมือนมันคิดจะเลื้อยออกไปจากเรือนหลังเล็กนี้นะเจ้าคะ”
ถูกต้อง ทันทีที่หนอนตัวนี้ถูกหลินชิงเวยปล่อยออกมา ดูเหมือนมันเลื้อยอย่างรู้ทิศทางและมีจุดหมายปลายทางที่จะออกไปจากเรือนหลังนี้อย่างยิ่ง ในสมองนางบังเกิดความคิดชนิดหนึ่งขึ้นอย่างอดไม่ได้ ตนเองควบคุมงูได้ หรือยังมีคนควบคุมหนอนชนิดนี้ได้?
หากเป็นเช่นนี้ หนอนตัวนี้จะต้องเลื้อยไปหาเจ้านายของมัน ขอเพียงแค่แน่ใจในจุดนี้ก็จะรู้ได้ว่าฆาตรกรที่สังหารจ้าวเฟยเป็นใคร
ยามนี้หนอนสีขาวตัวนั้นกำลังจะเลื้อยออกประตูไปแล้ว หลินชิงเวยจึงรีบก้าวขึ้นหน้าไปหลายก้าว นำขวดไปดักรอไว้เบื้องหน้ามัน มันจึงเลื้อยเข้าไปในขวดอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลินชิงเวยทางหนึ่งปิดฝาจุกขวดอย่างแน่นหนา อีกทางหนึ่งพูดกับขันทีที่อยู่ด้านนอกว่า “รบกวนท่านไปรายงานสักหน่อยได้หรือไม่ ตามคนเข้ามาคนหนึ่ง ข้ามีเรื่องจะมอบหมายให้เขาไปทำ”
ขันทีด้านนอกไม่แยแสนาง
หลินชิงเวยพูดอีกหลายประโยค ไม่ได้กินข้าวสองวัน ทำให้นางคอแหบคอแห้ง ความอดทนก็ลดน้อยถอยลงไปด้วย
ขันทีถูกนางบีบคั้นจนสิ้นความอดทนเช่นกัน จึงตอบว่า “หลินเจาอี๋คิดว่าที่นี่เป็นตำหนักฉางเหยี่ยนของท่านหรือ? ที่นี่คือตำหนักคุนเหอของไทเฮา จะให้ท่านเรียกร้องอะไรก็ได้สิ่งนั้นได้อย่างไรกัน ไทเฮาทรงมีบัญชา ท่านตกอยู่ในฐานะผู้ต้องสงสัยสังหารจ้าวเฟย ต้องถูกขังรออยู่ที่นี่จนกว่าเรื่องราวจะตรวจสอบกระจ่างแจ้งจึงจะออกไปได้ ระหว่างนี้ท่านห้ามพบผู้ใด”
หลินชิงเวยหัวเราะ “รอพวกเจ้าตรวจสอบความจริง? เจ้าไปกราบทูลไทเฮาว่านางไม่อาจขังข้าไว้ที่นี่ตลอดชีวิต เวลาผ่านมาสองวันแล้วยังตรวจสอบไม่พบอะไร ข้าและซินหรูอยู่ในที่เกิดเหตุขณะจ้าวเฟยตาย หากต้องการรู้รายละเอียดต่อให้ข้าไม่หาคนส่งข่าวออกไป ไม่ช้าก็เร็วเซ่อเจิ้งอ๋องต้องมาถามรายละเอียดด้วยตนเองเช่นกัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคน หากไทเฮาไม่วางใจ ให้คนมาเฝ้าดูขณะที่ข้ามอบหมายงานให้คนไปทำได้”
ต่อมาด้านนอกไม่มีเสียงตอบโต้
เรื่องเช่นนี้ขันทีไหนเลยจะตัดสินใจได้ ย่อมต้องนำความไปบอกกล่าวกับไทเฮาแล้วเป็นแน่
หลินชิงเวยและซินหรูรออยู่นานมาก ในที่สุดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก
ซินหรูมองหลินชิงเวยด้วยความหวาดกลัวอยู่บ้าง ต่อมาเป็นเสียงเปิดดาลประตู นางกำลังคิดว่าหากผู้ที่เข้าในครั้งนี้เป็นบุคคลเช่นหรงหมัวมัวในครั้งก่อน จะทำอย่างไรดีเล่า?
หลินชิงเวยสงบนิ่งอย่างยิ่ง
แสงสว่างส่องลอดเข้ามาจากด้านนอก แสงนั้นล้อมอยู่รอบกายของผู้มาเยือนนั้นทิ่มแทงสายตาสองส่วน หลินชิงเวยหรี่ตามองออกไป พบว่ามีคนสองคนกำลังเดินเข้ามาในเรือนหลังเล็กอันดำมืดนี้ และผู้ที่เดินอยู่ข้างหน้ามิใช่ปี้หลิงของตำหนักฉางเหยี่ยนหรือ
ด้านหลังปี้หลิงมีหมัวมัวหน้าตาดุร้ายตามมาด้วยนางหนึ่ง
หลินชิงเวยคิดในใจ ไทเฮาหญิงชราผู้นั้นเจ้าแผนการอยู่บ้าง นางเรียกปี้หลิงมาด้วยไม่ต้องการมีความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่ยังส่งคนของตนมาจับตาดูเพื่อต้องการความคืบหน้าตลอดเวลา
ปี้หลิงหิ้วกล่องอาหารมาด้วยกล่องหนึ่ง เมื่อเข้ามาแล้วเห็นหลินชิงเวยและซินหรูล้วนยังปกติดีจึงพรูลมหายใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางก้าวขึ้นหน้าและกล่าวว่า “เหนียงเหนียงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วเพคะ!”
ยังไม่รีบที่จะสนทนาเรื่องสำคัญ ปี้หลิงก็เปิดกล่องอาหารแล้วนำอาหารที่นางเตรียมมาจากตำหนักฉางเหยี่ยนออกมา กลิ่นหอมจากอาหารนั้นแตะจมูก ซินหรูน้ำลายไหลด้วยความละโมบในชั่วพริบตา
หลินชิงเวยตวัดหางตาไปมองหมัวมัวแวบหนึ่ง เห็นหมัวมัวมีท่าทีราวกับจะสิ้นความอดทนจึงเอ่ยขึ้นว่า “ปี้หลิง ไฉนเจ้าจึงรู้ว่าพวกเราไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้วเล่า?”
ปี้หลิงตกตะลึง “บ่าวไม่รู้เพคะ เพียงแต่เตรียมอาหารมาตามปกติเพคะ”
หมัวมัวปริปากพูดว่า “ร่างกายของเจาอี๋เหนียงเหนียงสูงศักดิ์ เห็นว่าอาหารในตำหนักคุนเหอของพวกเราเป็นเช่นชาชั้นเลวอาหารจืดชืด คงมิได้กล่าวโทษว่าคนของที่ไม่ได้ให้ข้าวพวกเจ้ากินกระมัง?”
ซินหรูไม่เกรงใจเช่นกัน “พวกเจ้าไม่ได้ให้พวกเรากินด้วยซ้ำไป”
แม้ข้าวไม่กี่มื้อจะไม่นับเป็นอันใดได้ แต่หากเรื่องนี้รู้ไปถึงฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋อง ย่อมแสดงให้เห็นว่าไทเฮาใจคอคับแคบมิใช่หรือ
โชคดีที่ปี้หลิงอยู่ในวังหลวงมานานพอจะรู้ถึงธรรมเนียมเหล่านี้ในวัง จึงเตรียมอาหารเหล่านี้มาบ้าง หลินชิงเวยและซินหรูกินอาหารหมดจดไม่มีเหลือ
ปี้หลิงกำลังก้มหน้าก้มตาเก็บถ้วยชาม หลินชิงเวยลุกขึ้นมาขยับแขนขาต่อหน้านางแล้วเดินไปยืนข้างกายหมัวมัว เดินวนรอบตัวหมัวมัว หมัวมัวพูดอย่างดุดันว่า “หลินเจาอี๋มีคำพูดอันใดต้องการกำชับก็รีบพูด อย่ามามัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ ข้ายังต้องกลับไปรายงานต่อไทเฮา…”
ยังพูดไม่ทันจบดีหลินชิงเวยก็ยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว เข็มเงินในมือลอยออกไปในขณะที่หมัวมัวยังไม่ทันได้ตั้งตัว ฝังลงบนจุดหลับของหมัวมัว หมัวมัวยังไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร แผ่นหลังหนาเตอะของนางก็อ่อนยวบกองไปลงไปบนพื้น