ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 140 จับกุมฆาตกรเป็นเรื่องเร่งด่วน
ระยะนี้นางไม่ได้นอนหลับอย่างปลอดภัยแม้สักงีบ ทั้งยังตามล่าฆาตกรและอดหลับอดนอน ร่างกายจึงขาดน้ำตาลในเลือดบวกกับได้รับบาดเจ็บสามารถยืนหยัดมาจนถึงบัดนี้นับว่าไม่เลวแล้วจริงๆ
เซียวเยี่ยนเห็นร่องรอยสดใหม่บนลำคอของนาง ยังมีหยดเลือดบางๆ ที่มุมปาก ทำให้รู้สึกปวดใจในชั่วพริบตา
หมอหลวงทั้งสำนักหมอหลวงล้วนทำงานมือเป็นระวิง ครึ่งหนึ่งทำการรักษาหลินชิงเวย อีกครึ่งหนึ่งทำการรักษาให้ซินหรู
ร่างกายของหลินชิงเวยนับว่าฟื้นฟูได้รวดเร็วที่สำคัญคืออาการบาดเจ็บภายใน แต่กินยาไม่กี่เทียบก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ด้วยความที่ร่างกายของนางอ่อนแอจึงทำให้นางนอนหลับไปนาน หลังจากตื่นขึ้นจึงรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัว แต่เมื่อหันไปมองซินหรู หลินชิงเวยอดที่จะรู้สึกหนักใจไม่ได้ ซินหรูยังคงไม่ได้สติดังเดิม
สีหน้าของซินหรูไม่เขียวคล้ำเช่นนั้นอีกแล้ว แต่ยังคงซีดขาวเสียจนน่ากลัว นางยังมีลมหายใจทว่าตกอยู่ในสภาวะหลับใหลไม่ได้สติตลอดเวลา
หลินชิงเวยฝังเข็มให้นางอีกครั้งเพื่อทะลวงจุดชีพจรทั่วร่างกายให้กับนาง ขับพิษที่ยังตกค้างอยู่ในร่างกายออกมา หลินชิงเวยใช้เข็มเงินแทงปลายนิ้วของนาง หลังจากเลือดที่มีพิษจนกลายเป็นสีดำคล้ำหยดออกมาหลายหยดเลือดก็กลายเป็นสีแดงสด นางฝังเข็มเพื่อขับพิษจากหัวใจไปถึงลำคอของซินหรู บีบให้ซินหรูกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ในเลือดนั้นมีหนอนสีปะปนมาด้วยจำนวนมาก เป็นหนอนเกิดใหม่ที่กัดกินหัวใจของซินหรู
บัดนี้พิษงูได้รับการถอนพิษแล้ว หนอนที่เกิดใหม่ตายหมดแล้วเช่นกัน หลินชิงเวยปรารถนาให้ซินหรูสามารถฟื้นขึ้นมาได้
เรื่องราวยังไม่จบสิ้น
หลินชิงเวยพักผ่อนเพียงแค่วันเดียวก็ตรงไปตำหนักซวี่หยาง วันนั้นเซียวจิ่นได้รับความตระหนกตกใจเกินไปจึงยังอยู่ในช่วงการพักฟื้น เมื่อพบว่าหลินชิงเวยมา เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ชิงเวย สุขภาพเจ้าไม่ดี ไฉนเพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็ออกมาข้างนอกเสียแล้ว เจิ้นมิใช่ให้เจ้าพักผ่อนอยู่ในตำหนักหรือ?”
หลินชิงเวยกล่าว “หม่อมฉันก็ปรารถนาที่จะพักผ่อนให้ดีเพคะ แต่เรื่องเหล่านี้ยังไม่จัดการให้เรียบร้อย เกรงว่าจะมิอาจกินอิ่มนอนหลับได้อย่างวางใจ” พูดแล้วก็หันหน้าไปมองเซียวเยี่ยน “เสด็จอาว่าถูกต้องหรือไม่?”
แน่นอนว่าเซียวเยี่ยนไม่ประหลาดใจกับการมาของนางแม้แต่น้อย แต่เขากลับมีท่าทีคล้ายขมวดคิ้วและไม่ขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะไม่ค่อยพึงใจกับการไม่ใส่ใจต่อสุขภาพของตัวเองของนางอยู่บ้าง
เซียวเยี่ยนพูดเรียบๆ ว่า “ยังจับตัวผู้บงการอยู่เบื้องหลังไม่ได้ แต่ทางเข้าออกของทุกตำหนักล้วนถูกสั่งให้ปิดตายจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในวันสองวันนี้”
เซียวจิ่นกระจ่างแจ้งจึงไม่พูดอันใดอีก
หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นว่า “แต่ในวังหลวงมีคนมากมายเช่นนี้ หากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานไปเกรงว่าจะเกิดปัญหาตามมา”
เซียวจิ่นที่ฟังอยู่ข้างๆ ถามขึ้นว่า “พวกท่านรู้ว่าผู้ใดเป็นฆาตกรผู้อยู่เบื้องหลังแล้วหรือ?”
“น่าจะคาดเดาได้แล้วกระมัง” หลินชิงเวยหันมาถามเซียวเยี่ยนอีกครั้ง “เสด็จอา วันนั้นไฉนท่านจึงทราบว่าผู้ควบคุมสามารถควบคุมหุ่นเชิดได้เพียงครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น?”
เซียวเยี่ยนตอบด้วยสีหน้านิ่งสนิท “ศาสตร์ของพ่อมดหมอผีในเมืองหนานเจียง ผู้ควบคุมสามารถใส่หนอนกู่นี้มากมายหลายชนิดในเวลาเดียวกัน ทว่าเมื่อถึงเวลาควบคุมจริงๆ นั้นกลับควบคุมเพียงหนึ่งในนั้น เพราะพ่อมดต้องใช้พลังจิตอย่างสูง”
“ที่แท้เป็นศาสตร์พ่อมดประเภทหนึ่ง เสด็จอาดูเหมือนจะกระจ่างแจ้งในเรื่องนี้ดี” เมื่อก่อนหลินชิงเวยเคยได้ยินเรื่องของหนอนกู่มาก่อน ทว่ากลับมิเคยเห็นกับตาตนเอง บัดนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้วใช่หรือไม่?
เซียวเยี่ยน “เปิ่นหวางรู้มาจากในหนังสือ นี่เป็นการพบเห็นครั้งแรก”
หลินชิงเวย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยามนี้มิควรเสียเวลาอีก เพื่อไม่ให้นางจับผู้อื่นมาเป็นหุ่นเชิด” พูดแล้วก็หันไปมองเซียวจิ่น “ฝ่าบาท หม่อมฉันขอถามพระองค์ ยืมตัวเสด็จอาไปใช้ก่อนได้หรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่นรู้เรื่องเหล่านี้ไม่มากนักเขาไม่ได้คิดอันใดมากเพียงแต่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญพวกท่านไปจัดการกันก่อนเถิด ทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเจิ้น ถูกต้องแล้ว นำองครักษ์ไปด้วยมากหน่อยเพื่อป้องกันมิให้ถูกครอบงำโดยหนอนชนิดนี้”
หลินชิงเวยดูออกว่าเขาเซื่องซึมอยู่บ้าง ขณะที่พูดจาก็หลุบเปลือกตาลงทำให้มองไม่เห็นแววตาของเขา หลินชิงเวยยิ้มกับเขาและเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงรอสักครู่ รอให้พวกหม่อมฉันจับตัวคนร้ายได้แล้วค่อยกลับมากินอาหารเที่ยงพร้อมกับพระองค์ที่นี่ดีหรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่นเงยหน้าขึ้น ถูกรอยยิ้มของนางทำให้อบอุ่นใจขึ้นมา
หลินชิงเวยพูดอีกว่า “หม่อมฉันไม่ได้กินข้าวดีๆ สักมื้อนานแล้วเพคะ วันนี้ตัดสินใจแน่แล้วว่าจะฝากท้องกับพระกระยาหารของฝ่าบาทไม่ยอมไปไหน”
เซียวจิ่นหัวเราะขึ้นมาอย่างอบอุ่นด้วยใบหน้างดงามประดุจหยกสลัก “ดีสิ อีกประเดี๋ยวเจิ้นจะให้ห้องเครื่องเตรียมอาหารที่เจ้าชอบกินที่สุด รอพวกท่านกลับมา”
เขาเพียงแค่รู้สึกเสียดาย อ้างว้าง หากเขายืนขึ้นมาได้ ก็ไม่ต้องถึงกับไร้ประโยชน์เช่นนี้ ไม่อาจช่วยอะไรได้ เขาจะได้ไปจับตัวฆาตกรกับหลินชิงเวย มิใช่ต้องรออยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้างในตำหนักเช่นนี้
ดังนั้นสุดท้ายเซียวจิ่นจึงได้แต่มองหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนออกไป
คนทั้งสองเดินออกประตูห้องด้วยท่าทีรู้อกรู้ใจกันดี
หลินชิงเวยเดินไปพร้อมกันพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องเรียกองครักษ์กระมัง คนมากทำให้ผู้รู้คนมาก ถึงเวลานั้นหากต้องการให้คนเหล่านั้นปิดปากท่านจะจัดการลำบาก”
“อืม” เขามิได้คิดจะพาคนไปมากมายเช่นกัน
หลินชิงเวยครุ่นคิดพร้อมกับแตะคางของตน “พาเจ้าสุนัขรับใช้ของท่านไปด้วยเถิด เสี่ยวฉีไงเล่า ไฉนระยะนี้ล้วนไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา?”
เซียวเยี่ยน “เขามาไม่ได้ เปิ่นหวางให้เขาไปช่วยงานกับท่านเจ้าเมืองตรวจสอบคดี”
“ตรวจสอบคดี? คดีอันใด?” ดวงตาทั้งคู่ของหลินชิงเวยทอประกาย
เซียวเยี่ยนหันไปมองนางแวบหนึ่ง “เป็นคดีสังหารคนต่อเนื่อง อย่างไรเล่า ดูเหมือนเจ้าจะมีสนอกสนใจ?”
ต้องสนใจแน่นอน! นี่มันอาชีพเก่านะ!
หลินชิงเวยค่อยๆ ใช้มือดึงมุมปากของตนกลับมา “ข้าดูแล้วสนใจมากนักหรือ? นานเช่นนี้เสี่ยวฉียังไม่กลับมาจะต้องเป็นเพราะยังจับคนร้ายไม่ได้กระมัง ไฉนท่านเจ้าเมืองจึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากเสด็จอา?”
เซียวเยี่ยน “คดีใหญ่ๆ ในเมืองหลวงล้วนต้องส่งเรื่องมาให้ศาลต้าหลี่[1] แต่ท่านเจ้าเมืองยังคงต้องช่วยเหลือในเรื่องการไต่สวนคดี”
“แต่นั่นก็ต้องเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของคนในศาลต้าหลี่นี่นา”
“อืม ยามนี้ไม่มีผู้เหมาะสมมารับตำแหน่งต้าหลี่ซื่อชิง เปิ่นหวางจึงรั้งตำแหน่งนี้เป็นการชั่วคราว”
หลินชิงเวยจนคำพูดไปชั่วขณะแล้วจึงเอ่ยขึ้นในภายหลังว่า “ข้าควรจะบอกว่าเซ่อเจิ้งเป็นมนุษย์เหล็กไหลหรือไม่ ท่านคนเดียวรั้งตำแหน่งใหญ่ไว้มากมายเช่นนี้ ยังต้องมีขุนนางมากมายในราชสำนักไว้เพื่ออะไรกัน?”
เซียวเยี่ยนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกไม่พึงพอใจจึงอดที่จะหันมามองหลินชิงเวยไม่ได้ เขากลับอธิบายอย่างอดทนว่า “ในยามปกติศาลต้าหลี่รับผิดชอบเพียงคดีใหญ่และคดีของราชสกุล ดังนั้นเมื่อไม่มีคดีทั้งสองประเภทนี้ยังคงว่างงานยิ่งนัก เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงว่าเปิ่นหวางจะงานล้นมือ”
หลินชิงเวยปรับสีหน้าแล้วเอยขึ้นว่า “ชิ ผู้ใดเป็นห่วงว่าท่าจะงานล้นมือกัน สำคัญตนผิด”
“เจ้า สุขภาพดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
“ท่านใส่ใจข้าหรือ?”
“เรื่องเมื่อวาน…”
“หยุดนะ!” หลินชิงเวยยกมือขึ้นขัดขวาง แสงตะวันส่องผ่านใบไม้เข้ามาราวกับมันสะท้อนอยู่ในดวงตาของนาง นางพูดขึ้นด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “อยากขอโทษ? ง่ายดายยิ่งนัก ท่านพูดกับข้าว่า ‘ขอโทษ’ สักคำสิ”
สีหน้าของเซียวเยี่ยนพลันชะงัก
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินชิงเวยกดลึกขึ้น “พูดไม่เป็นใช่หรือไม่? พูดไม่เป็นก็ไม่ต้องพูดอะไร”
เซ่อเจิ้งอ๋องขอโทษตน นี่เป็นเรื่องที่หมายถึงเกียรติยศและหน้าตาเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าจนกระทั่งบัดนี้เซ่อเจิ้งอ๋องยังไม่เคยต้องทำเรื่องเช่นการขอโทษผู้อื่น
หลินชิงเวยยักไหล่ เมื่อเห็นสีหน้าอึมครึมของเซียวเยี่ยนแล้วเอ่ยขึ้นอย่างแจ่มแจ้ง “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้สำหรับเสด็จอาแล้วมันยาก ครั้งหน้าก็ดีขึ้นเอง”
หลินชิงเวยเอามือไพล่หลังคิดจะเดินต่อไปเบื้องหน้า เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เซียวเยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านหลังกล่าวขึ้นเสียงหนักว่า “ขอโทษ”
[1] ศาลต้าหลี่ ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับคดีอาญา ขุนนางผู้บัญชาการ อยู่ในตำแหน่ง ต้าหลี่ซื่อชิง