ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 154 ถูกหลอกล่อด้วยอาหารอันโอชะ
หลินชิงเวยเพิ่งจะลูบจมูกของตนแล้วเดินออกมาจากศาลา สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ที่ถูกผู้อื่นรบกวน นางมองหลินเสวี่ยหรงด้วยสีหน้าเย็นชา
หลินเสวี่ยหรงคิดจะยืนขึ้นมากระโจนใส่นาง “หลินชิงเวย เจ้าถึงกับกล้าผลักข้าลงไปในบ่อน้ำ! ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าเอาไว้แน่ ท่านอ๋องย่อมไม่มีวันปล่อยเจ้าเอาไว้เช่นกัน!”
หลินชิงเวยแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เขียนบทละครเองกำกับเอง เจ้ารู้สึกละอายหรือไม่? ข้าไม่รังเกียจหากท่านอ๋องของพวกเจ้าจะออกมาคืนความยุติธรรมให้เจ้าด้วยตนเอง แต่คิดดูแล้วเขาน่าจะรู้สึกอับอายขายหน้ามากกว่า”
หลินเสวี่ยหรงยังคิดจะพูดสิ่งใดอีก พ่อบ้านผู้ทำงานอยู่ในจวนเป็นเวลาหลายปีกลับรู้ที่จะผ่อนหนักผ่อนเบา เขารีบให้สาวใช้ประคองหลินเสวี่ยหรงอกไปแล้วหันมาพูดกับหลินชิงเวยว่า “เจาอี๋เหนียงเหนียง พ่อครัวของหอซีหวาเดินทางมาถึงแล้วขอรับ ท่านอ๋องให้บ่าวมาเชิญเหนียงเหนียงขอรับ”
ในเมื่อเชิญพ่อครัวมาย่อมต้องมาเพื่อแสดงฝีมือในการปรุงอาหาร เซียวอี้และหลินชิงเวยไม่อาจเข้าไปในห้องครัวเพื่อดูเขาปรุงอาหาร จึงย้ายห้องครัวมาอยู่ในลานเรือนใหญ่
เมื่อหลินชิงเวยไปถึงเซียวอี้อยู่ที่นั่นแล้ว เขานั่งเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ[1]ใต้ร่มเงาของต้นไม้ ด้านข้างยังมีผลไม้สดใหม่วางอยู่ ข้างกายยังมีสาวใช้หน้าตางดงามถือพัดนกยูงพัดโบกให้เขา ช่างรู้จักเสวยสุขอย่างแท้จริง
เซียวอี้เห็นหลินชิงเวยจึงหันมากวักมือให้นางและตบมือลงบนเก้าอี้ที่ว่างข้างกายซึ่งได้เตรียมไว้ให้นาง
หลินชิงเวยเดินเข้ามานั่งลงสาวใช้สองนางเข้ามาพัดวีให้นางทันที
หลินชิงเวยหรี่ตาพูดว่า “ท่านอ๋องช่างเป็นคนที่รักการใช้ชีวิตยิ่งนัก เมื่อเช้ายังนอนเป็นคนป่วยอยู่บนเตียงยามนี้ออกมาเที่ยวเล่นเสียแล้วไม่กลัวว่าบาดแผลจะกำเริบหรือไร?”
เซียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะอย่างเกียจคร้าน “กลัวอะไรเล่า มีเวยเวยอยู่ทั้งคน อีกทั้งตอนนี้ตัวไม่ร้อนแล้ว ข้าก็แค่นั่งชื่นชมอยู่ที่นี่เท่านั้น”
คนทั้งสองนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ ดูข้ารับใช้ประกอบเตาไฟกลางลานเรือน ยังมีวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารนานาชนิด พ่อครัวคนหนึ่งเดินนำผู้ช่วยหลายคนก้าวเข้ามาไม่ช้าไม่เร็ว พวกเขาเข้ามาถวายคารวะตามธรรมเนียมเป็นลำดับแรก
เซียวอี้ชี้ไปที่หลินชิงเวยและพูดขึ้นว่า “วันนี้ นางอยากกินอะไรพวกเจ้าก็ปรุงสิ่งนั้น แสดงฝีมือของพวกเจ้าให้เต็มที่ ให้นางกินแล้วพึงพอใจที่สุด”
พ่อครัวผู้นั้นหันมาถามว่าหลินชิงเวยอยากกินอะไร หลินชิงเวยตอบว่า “ทำอาหารขึ้นชื่อของพวกท่านมาอย่างหนึ่งเถิด”
ยามพลบค่ำ ดวงตะวันลับเหลี่ยมเขาทำให้ขอบฟ้ากลายเป็นสีแดงเพลิง ภายในลานเรือนก็คึกคักน่าดูชมเช่นกัน หลินชิงเวยเห็นคนของพ่อครัวที่รับผิดชอบหน้าที่หั่นผักก็หั่นผักไป ที่เตรียมเครื่องปรุงก็เตรียมเครื่องปรุงไป ความสามารถในการใช้มีดนั้นเชี่ยวชาญไม่สามัญ กระทั่งมีคนหนุ่มคนหนึ่งมือหนึ่งถือมีดอีกมือหนึ่งถือมันฝรั่ง เพียงเห็นเขาหั่นมันฝรั่งในมือดังสวบๆๆ แล้วหั่นตามแนวนอนและตามแนวตั้งก็กลายเป็นมันฝรั่งเส้น แค่ดูก็ทำให้ตาพร่าทว่ากลับได้เปิดหูเปิดตา
เบื้องหน้าพ่อครัวผู้นั้นคือหม้อใบใหญ่ใบหนึ่ง จวักยาวๆ คันหนึ่งตักน้ำมันลงไปในหม้อก่อให้เกิดควันสายหนึ่ง พริกจานหนึ่งถูกเทลงไปในหม้อแล้วผัดจนส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว
เซียวอี้ถูกควันพริกทำให้สำลักจนไอโขลกไม่หยุด หันหน้าไปมองหลินชิงเวยกลับเห็นเพียงสายตาละโมบของนาง จึงกล่าวอย่างอดยิ้มไม่ได้ว่า “ในเมืองหลวงมีของหวานและอาหารรสชาติอ่อนมากมาย ชวนจงเป็นเมืองแห่งความเผ็ดร้อน เป็นความแตกต่างของรสชาติ”
เมื่อท้องฟ้าใกล้มืดสนิท อาหารตำรับเมืองเสฉวนก็ถูกลำเลียงขึ้นโต๊ะ เซียวอี้มีบาดแผลอยู่มิอาจกินเผ็ดได้ จึงได้แต่กินอาหารรสอ่อนอยู่ข้างๆ แต่หลินชิงเวยนั้นทนไม่ไหวแล้ว นางดูพ่อครัวทำกับข้าวเกิดอาการอยากอาหารแล้ว ยามนี้นางหยิบตะเกียบขึ้นมากินปลาต้มพริกหมาล่าเป็นอันดับแรก
ก้างปลาได้ถูกเลาะออกจนสะอาดแล้ว เมื่อเข้าปากจึงแทบจะละลายทันที รสชาตินั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมในปากส่งผลให้หวนรำลึกถึงรสชาติไม่ขาด
หลินชิงเวยกินผัดพริกปูอีกหนึ่งจาน ใช้ตะเกียบกินไม่สะดวกนางจึงใช้มือจับปูตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ฉีกขาปูออกแล้วส่งเข้าปากดูดดังจ๊วบๆ แล้วดูดนิ้วทีละนิ้ว กินไปพร้อมกับถามไปด้วยว่า “หอซีหวาของชวนจง อยู่ที่ไหน?”
เซียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ “ย่อมต้องเป็นหอสุรามีชื่ออันดับหนึ่งของชวนจง ดังนั้นอาหารขึ้นชื่อของชวนจงที่ถูกต้องตามต้นตำรับที่สุดคือหอซีหวา” เขามองท่าทางการกินอาหารของหลินชิงเวยและพูดว่า “ดูท่าแล้วฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวคนนี้น่าจะถูกใจเจ้า เห็นเจ้ากินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นนี้ ข้าแค่มองก็ยังต้องกลืนน้ำลายอย่างทนไม่ได้”
หลินชิงเวยตวัดสายตามองเขา เอาเถิดเห็นแก่อาหารเสฉวนมื้อนี้ที่ถูกใจนาง นางเก็บความไม่พึงพอใจต่อเขาเอาไว้ชั่วคราวก่อน “ข้าว่าท่านไม่เชิญมาเร็วกว่านี้และช้ากว่านี้ กลับเชิญพ่อครัวมีชื่อมาในวันที่ตนเองบาดเจ็บ ไม่ใช่ทำตัวเองหรือไร?”
เซียวอี้กล่าวอย่างขมขื่น “จากชวนจงมาถึงเมืองหลวงระยะทางนับพันลี้ ต่อให้ข้าวางแผนได้ยิ่งกว่าเทพเซียน ก็มิอาจคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะมาถึงเมืองหลวงเมื่อใด? วันนี้เจ้าเป็นแขกผู้มีเกียรติของจวนข้า ย่อมต้องนำมารับรองเจ้า” เห็นหลินชิงเวยกินอย่างมีความสุข เซียวอี้จึงลองถามว่า “ในเมื่อเวยเวยชื่นชอบเช่นนี้ ไม่สู้พำนักอยู่ในจวนหลายวันสักหน่อย?”
หลินชิงเวยไม่พูดจา นางกำลังต่อสู้กับปูตัวใหญ่ในมือ รสชาติของหมาล่าทำให้นางได้แต่สูดปากกินอย่างติดลม จึงไม่มีเวลาจะมาตอบคำถามของเซียวอี้
เซียวจิ่นให้นางลาพักเป็นเวลาหลายวัน นางสามารถท่องเที่ยวอยู่นอกวังได้สองวัน หากอาหารในจวนเซี่ยนอ๋องจะดีถึงเพียงนี้…
เซียวอี้หรี่ตายิ้มๆ มองท่าทีครุ่นคิดของหลินชิงเวย เขาคิดว่าหลินชิงเวยอ่อนไหวแล้ว หากตนเองค่อยๆ โน้มน้าวนางอีกสักครู่มาตรว่านางคงตอบตกลง
ทว่าในเวลานี้เองพ่อบ้านกลับเดินเข้ามาทำลายบรรยากาศ เขาถวายคำนับและรายงานว่า “ท่านอ๋อง เซ่อเจิ้งอ๋องเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
หลินชิงเวยกินปูหมดไปหนึ่งตัว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเซียวเยี่ยนเดินเข้าประตูใหญ่ของจวนอ๋องมา กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ แสงไฟสีเหลืองสลัวๆ จากโคมไฟที่แขนอยู่บนกิ่งไม้ ท่ามกลางใบไม้อันหนาแน่น ทำให้รูปร่างร่างหน้าตาของเขาหล่อเหลาคมสันไม่สามัญ แขนเสื้อของเขาสะบัดพลิ้วไปตามแรงลม สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์และความรู้สึก ท่วงท่าการเดินเหินดูสูงศักดิ์สง่างาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาเรียวยาวรูปหงส์อันเย็นชาที่อยู่บนใบหน้าคมสันนั้น
เซียวเยี่ยนเดินขึ้นบันไดมาหลายก้าว จากนั้นเดินเข้ามาในลานเรือน แสงสว่างภายในลานเรือนชัดเจนกว่าหลายส่วน ทว่าเมื่อเขาก้าวเข้ามานาทีนั้นราวกับทั้งลานเรือนกลับดูมืดมนจืดชืดไปทันใด
หลินชิงเวยพูดขึ้นทั้งที่ปากมันเยิ้มว่า “ยามนี้เสด็จอามาแล้ว ดูเหมือนข้าไม่อาจตอบรับหรือปฏิเสธด้วยตนเอง”
เซียวอี้รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง เขาพูดกับเซียวเยี่ยน “เซ่อเจิ้งอ๋องราชกิจรัดตัว เป็นเพราะดูแคลนจวนอันต่ำต้อยของข้าหรือ ไฉนวันนี้จึงมาที่นี่ได้?”
สายตาของเซียวเยี่ยนตกลงบนร่างของหลินชิงเวย เขาพูดกับเซี้ยวอี้เรียบๆ “เปิ่นหวางได้รับบัญชาจากฝ่าบาท ให้มารับหลินเจาอี๋กลับวัง”
หลินชิงเวยได้ยินแล้วกลับหรี่ตาลงเหมือนแมวตัวน้อยที่กำลังย่องเบา เซียวจิ่นเพิ่งจะอนุญาตให้ตนลาพัก ไยจึงให้เซียวเยี่ยนมารับนาง ชัดเจนเหลือเกินว่านี่คือคำลวง เขาจะต้องเป็นห่วงนางจึงมารับนางเป็นแน่
เซียวเยี่ยนหันมาประสานสายตากับหลินชิงเวย เขากล่าวเสียงเย็น “ดูท่าทางแล้วหลินเจาอี๋อยู่ในจวนเซี่ยนอ๋องอย่างมีความสุข กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย มีความสุขจนลืมบ้านเรือนของตนไปแล้ว”
หลินชิงเวย “หากเสด็จอาไม่มาในคืนนี้ มีความเป็นไปได้ว่าข้าคงจะพำนักอยู่ที่นี่จนลืมบ้านเรือนของตนจริงๆ”
“กลับไปกับเปิ่นหวาง”
หลินชิงเวยพูดยิ้มๆ “เสด็จอา ท่านเดินทางออกมาจากวังหลวงไกลเช่นนั้น กินข้าวหรือยัง? ไม่สู้นั่งกินด้วยกันเถิด เซี่ยนอ๋องใจกว้าง เชิญพ่อครัวมีชื่อจากชวนจงมาเป็นการเฉพาะ ทำอาหารออกมาล้วนไม่เลวทั้งสิ้น” ต่อให้ต้องกลับไปก็ต้องรอให้นางกินอาหารอันโอชะให้พอใจเสียก่อนค่อยว่ากัน
[1] หมายถึงเก้าอี้แบบโบราณของจีน ด้านหลังเก้าอี้มีพนักพิง ด้านข้างมีเท้าแขน มีฐานรองนั่งกว้าง นิยมใช้ในหมู่ขุนนาง