ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 172 ท่านเคยคิดถึงวันข้างหน้าหรือไม่
เซียวเยี่ยนกลับมาในเวลาต่อมา
เมื่อเขาก้มศีรษะเดินเข้ามาในเรือนก็เห็นหลินชิงเวยกำลังนั่งอาบแสงจันทร์อยู่ในลานเรือน นางนั่งอยู่บนเก้าอี้เอนหลัง ขาทั้งสองข้างพับซ้อนกัน ชายอาภรณ์ปลิวพลิ้วสะบัด เท้าเล็กๆ น่ารักทั้งสองข้างของนางเปลือยเปล่าอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์สีเงิน หากมิใช่เพราะมีคนมารบกวนเซียวเยี่ยนยังรู้สึกว่าช่วงเวลาเช่นนี้ดีเหลือเกิน
ทว่าเซียวเยี่ยนยังคงเดินเข้าไปพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ได้ยินว่า เจ้าทำให้คุณหนูทั้งสองร้องไห้”
ผ่านไปอึดใจหนึ่ง หลินชิงเวยบนเก้าอี้เอนหลังจึงขยับตัวพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “ร้องไห้แล้วหรือ เช่นนั้นพวกนางก็เปราะบางเกินไปแล้ว ข้าไม่รู้สึกว่าข้าได้ทำอะไรด้วยซ้ำ” นางเปลี่ยนท่านั่งเป็นกอดเข่าทั้งสองข้างเอาไว้ หันกลับมองเซียวเยี่ยนด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ท่านยังได้ยินอะไรมาอีก?”
“ได้ยินว่าเปิ่นหวางยังชมชอบสตรีตัวเล็กๆ เตี้ยๆ หน้าอกแบนราบ หน้าผากเล็กๆ พบหน้าผู้คนได้และรับมือกับพวกอันธพาลได้ รักษาอาการท้องผูกได้ ทั้งยังเป็นสตรีเก่งกาจช่างเรียกร้องต้องการมาก” เซียวเยี่ยนมองนางแวบหนึ่งแล้วพูดหน้าตาย “ถึงขั้นได้ยินว่าคุณชายหลินใส่ความว่าเปิ่นหวางมีรสนิยมไม่ชมชอบสตรี เพราะจากคำพูดของคุณหนูทั้งสองไม่มีบุรุษคนใดจะชอบสตรีแปลกประหลาดที่กล่าวมานั้น”
หลินชิงเวยแตะปลายคางของตนแล้วร้องชิออกมาครั้งหนึ่ง “ดูท่าแล้วข้าไม่ควรจะยั้งปากของข้า”
ที่จริงแล้วยังมีคำพูดบางอย่างที่เซียวเยี่ยนไม่ได้พูดกับนาง
คุณหนูรองอวี้ม่านเป็นสตรีเจ้าทิฐิไม่ยอมแพ้ นางจึงไม่เชื่อคำพูดของหลินชิงเวย เมื่อเซียวเยี่ยนเดินออกมาจากห้องหนังสือของใต้เท้าสวีก็ประจันหน้ากับนาง นางพูดออกมาโดยไม่อ้อมค้อมสักนิด อีกทั้งยังร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกับบรรยายคำพูดของหลินชิงเวยที่บอกว่าเขาไม่ชมชอบสตรีออกมาชนิดไม่ตกหล่นสักคำ ปฏิกิริยาแรกของเซียวเยี่ยน–นั่นคือลักษณะของหลินชิงเวย คิดดูแล้วนางก็คงจะบรรยายรูปพรรณสัณฐานของตนให้คุณหนูทั้งสองฟัง คุณหนูรองอวี้ม่านจึงถามว่า “ท่านอ๋องชมชอบสัตว์ประหลาดเช่นนั้นหรือเพคะ นั่นมิใช่สตรีกระมัง หม่อมฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณชายหลินพูดจาเหลวไหล!”
เซียวเยี่ยนมองนางด้วยสายตาราบเรียบและตอบว่า “เปิ่นหวางคิดว่าอย่างนั้นก็ดี” พูดแล้วไม่แยแสท่าทีตกตะลึงของอวี้ม่าน เขาก็สะบัดอาภรณ์เดินผ่านร่างของนางไป
ต่อมาอวี้ม่านและอวี้ย่วนนำเรื่องนี้ไปเล่าให้สวีฮูหยินฟังพร้อมทั้งใส่สีตีไข่ สวีฮูหยินรู้สึกเช่นกันว่าหลินชิงเวยทำเกินไป นางโกรธเสียจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า ผู้อื่นเป็นผู้ติดตามคนโปรดของเซ่อเจิ้งอ๋อง นางจะไปทำอะไรผู้อื่นได้
หลินชิงเวยพลันกวักมือให้เซียวเยี่ยน “เซียวเยี่ยน ท่านมานั่งชมจันทร์เป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ”
ราวกับมีเพียงหลินชิงเวยผู้นี้เพียงคนเดียวแล้วกระมังที่สามารถเรียกชื่อของเขาว่า เซียวเยี่ยนและยังเรียกร้องให้เขาทำนั่นทำนี่ได้ แต่ที่น่าประหลาดก็คือทุกครั้งที่หลินชิงเวยเรียกชื่อเขาก็เหมือนกับมีอำนาจเวทมนตร์ชนิดหนึ่งที่เขาไม่อาจปฏิเสธนางได้
เขานั่งข้างกายหลินชิงเวยบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้เขาจะเป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง ทว่าหลินชิงเวยไม่เคยคิดมาก่อนว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร ครั้งแรกที่ได้นั่งชมจันทร์เงียบๆ กับเขา นางกลับอดที่จะคิดถึงวันข้างหน้าไม่ได้
ต่อไป…ในชีวิตของนางจะมีเขาอยู่ด้วยหรือไม่? ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น กระทั่งตัวนางเองก็ยังไม่แน่ใจ
หลินชิงเวยพูดเสียงเบา “รอให้ท่านไม่เป็นเซ่อเจิ้งอ๋องแล้ว ท่านคิดจะทำอะไร?”
เซียวเยี่ยน “ยังไม่เคยคิดมาก่อน” เขายุ่งตลอดทั้งวันไหนเลยจะมีเวลาคิดเรื่องเหล่านั้น
หลินชิงเวยใช้ศอกถองเขา “เป็นเรื่องสามปีห้าปีให้หลัง ไม่ไกลแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่คิดวางแผนอันใดให้ตนแต่เนิ่นๆ เล่า? แต่นี้ไปท่านต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบ”
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง หลินชิงเวยพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มอีกว่า “อย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเราออกไปท่องเที่ยวด้วยกัน ออกท่องยุทธภพ จากนั้นค่อยหาสถานที่แห่งหนึ่งลงหลักปักฐาน เปิดร้านยาสักแห่งหนึ่ง รักษาไข้แล้วขายยาสมุนไพรเล็กๆ น้อยๆ”
เซียวเยี่ยนไม่ได้ตอบนาง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต่อไปนางจะออกจากวังมาเป็นคนที่มีอิสระได้หรือไม่ วันข้างหน้าของเซียวเยี่ยนไหนเลยจะอยู่ร่วมกับนางได้
“ท่านไม่ตอบ ข้าถือว่าท่านรับปากแล้วนะ” หลินชิงเวยยกยิ้มมุมปาก คลี่ยิ้มบางๆ ออกมา ต่อมานางนั่งมองพระจันทร์แล้วนอนหลับไป ศีรษะพิงอยู่กับไหล่ของเซียวเยี่ยน
เช่นนี้ก็นอนหลับได้ แสดงให้เห็นว่าเซียวเยี่ยนทำให้นางรู้สึกปลอดภัยอย่างยิ่ง
เขาก้มหน้าลงมองใบหน้าของหลินชิงเวยด้วยสายตาเข้มลึกและอ่อนโยน โดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่งว่าแสงจันทร์ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าในใจเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ในที่สุดเขาก็โอบร่างของหลินชิงเวยเข้ามาในอ้อมกอดแล้วอุ้มขึ้นกลับไปถึงในห้อง วางนางลงบนเตียงของนาง แล้วค่อยกลับไปนอนที่ห้องของตน
สวี่ฮ่าวเฉียงและผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมเจียงหมิงจูถูกปล่อยตัวออกมา เถียนฝานถูกปล่อยตัวเช่นกัน สำหรับมือปราบของศาลาว่าการผู้ต้องสงสัยเพียงสองคนที่เกี่ยวข้องล้วนหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา ดูเหมือนคดีจะกลับเข้าไปอยู่ตรงคอขวดเช่นเดิม ไม่รู้ว่าควรจะสืบเสาะอย่างไรต่อไป
คดีนี้ดูแล้วเต็มไปด้วยความมืดมน ยากนักที่จะคลี่คลายได้
คดีฆาตกรรมยังไม่จบสิ้น คิดไม่ถึงว่าครอบครัวของยายหวังกลับเกิดเรื่องใหญ่โต ถึงกับมีคนแอบไปร้องเรียนให้ทางการว่าหากไม่ไปดูอาจจะมีคนตายได้! หวงยาเด็กน้อยน่าสงสารคนนั้น อายุน้อยเพียงแค่นั้นก็ต้องได้รับความทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้!
มือปราบหลิวรีบรุดเดินทางไปที่นั่น นี่เป็นท้องที่ในเขตที่เขาเป็นผู้ดูแลตรวจตรา เขาย่อมต้องไปดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นเป็นคนแรก ส่วนหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนย่อมต้องตามไปดูด้วย
ที่แท้ยายหวังผู้นั้นไม่เพียงคิดแต่ต้องการเงินจนคลุ้มคลั่ง นางเสียสติไปแล้วจริงๆ ตัวนางเองไม่ออกไปหาเงินแต่เพื่อหาเงินให้หลานชายสุดรักของตนมีชีวิตที่ดี และเพื่อหาเงินค่าเล่าเรียนให้กับหลานชายของตน ถึงกับให้หลานสาว หวงยาออกไปหาเงิน เมื่อหาเงินกลับมาไม่ได้ก็ทุบตีและด่าทอ
เพราะอย่างนี้ไม่ใช่หรือไร ยามนี้สำนักศึกษากำลังจะเปิดเรียนแล้ว ยายหวังรักหลานชายยิ่งชีวิต คิดถึงแต่เพียงต้องการให้หลานชายมีอนาคตที่ดี ด้วยต้องการให้หลานชายเข้าเรียนในสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในเมืองหลวง ค่าเล่าเรียนนั้นไม่ต้องคิดก็รู้ว่ามิใช่ฐานะครอบครัวเช่นยายหวังจะมีปัญญาจ่ายได้ ยายหวังร้อนใจจึงขายหวงยาให้กับคนขายเนื้อคนหนึ่งอย่างไร้ปรานี ได้เงินมาหนึ่งตำลึง ไม่ว่าหวงยาจะร่ำไห้ตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างไร ยายหวังก็ขัดกลอนประตูเสมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
เมื่อเรื่องนี้ผ่านไปหวงยาคิดจะหาทางฆ่าตัวตาย แต่ยายหวังกลับคิดว่าวิธีการหาเงินเช่นนี้หาเงินได้เร็ว ไหนเลยจะยอมปล่อยให้หวงยาตายไปเช่นนี้ ไม่เพียงไม่ให้นางสมปรารถนา ถึงกับหาลูกค้าคนที่สองมาให้นาง ยายหวังถึงกับขายหลานสาวให้กับบุรุษกักขฬะที่ไม่มีเงินไปหอโคมเขียวแต่อยากจะลิ้มลองของสดใหม่ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่านอกจากบนร่างกายของหวงยาเต็มไปด้วยบาดแผล นางเหลือลมหายใจเพียงครึ่งชีวิต
ขอเพียงเป็นคนที่มีมโนธรรมสักเล็กน้อย เมื่อได้ยินเรื่องราวเช่นนี้ล้วนเกิดโทสะยากจะระงับ นั่นต้องเป็นย่าที่ใจไม้ไส้ระกำเพียงใดกันจึงจะสามารถปฏิบัติต่อหลานสาวแท้ๆ ของตนได้ทารุณเยี่ยงนี้
นี่เป็นเรื่องที่หลินชิงเวยคาดไม่ถึงเช่นกัน แม้นางจะไม่ใช่คนดีที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ทว่านาทีที่นางได้ยินเรื่องนี้ก็อดที่จะเสียใจภายหลังเล็กน้อยไม่ได้ นางควรจะซื้อตัวเด็กสาวผู้นั้นในราคาห้าตำลึงให้สิ้นเรื่องสิ้นราวจะได้ไม่เกิดเรื่องน่าเวทนาเช่นนี้