ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 173 ข้าจะสั่งสอนเจ้าเองว่าเป็นคนควรทำอย่างไร
มือปราบหลิวเดินอยู่ข้างหน้าสุด เมื่อไปถึงเรือนหลังเล็กหลังนั้น เขาไม่เคาะประตูแต่ใช้เท้าถีบประตูเรือนให้เปิดออกทันที ยายหวังกำลังนั่งอยู่ในเรือนดูหลานชายฝึกเขียนหนังสือ เงยหน้าขึ้นเห็นประตูบ้านของตนถูกทำลายจึงตกตะลึง ต่อมาเห็นมือปราบหลิวเดิมเข้ามาด้วยโทสะเดือดดาล จึงรู้สึกร้อนตัวแต่ยังคงเถียงข้างๆ คูๆ “พวกท่านคิดจะทำอันใด ที่เป็นบ้านเรือนส่วนตัวของชาวบ้าน! ใครก็ได้ ทุกคนมาดูกันเร็วเข้า! มือปราบจะตบตีพวกเราชาวบ้านตาดำๆ! ยังมีกฎหมายหรือไม่!”
แต่คนละแวกนี้จะมีใครมา ต่อให้มีคนได้ยินก็เพียงแต่หันหลังถ่มน้ำลายคำหนึ่ง ด่าประโยคหนึ่ง “สมน้ำหน้า!”
หลินชิงเวยได้ยินเสียงบุรุษดังออกมาจากในห้อง กลับไม่ได้ยินเสียงของเด็กหญิงที่ร่ำไห้และร้องขอละเว้นชีวิต นางมีสีหน้าเย็นชามองยายหวังและหลานชายสุดที่รักนั่งฝึกเขียนหนังสืออยู่ในเรือน ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
ความแตกต่างของคนเราต่างกันได้มากมายเช่นนี้
หลินชิงเวยเดินขึ้นหน้าไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูเรือนและขมวดคิ้ว ที่ด้านนอกประตูมีแม่กุญแจดอกหนึ่ง นางหันหน้ามามองทางระเบียงทางเดินหินมีมีดผ่าฟืนขึ้นสนิมเขรอะเล่มหนึ่ง จึงก้มตัวลงไปหยิบขึ้นมา แล้วฟาดลงไปเปิดแม่กุญแจเพื่อประเปิดประตู บุรุษกักขฬะผู้หนึ่งกำลังใช้เรี่ยวแรงกำลังของเขาข่มเหงเด็กหญิงที่ถูกบีบบังคับให้นอนอยู่บนเตียง บุรุษผู้นั้นยังไม่ได้สติ เห็นเพียงมีดผ่าฟืนเล่มหนึ่งกำลังจะฟันเข้ามาที่หน้าของเขา มันฟันลงมาที่ขาของเขา เลือดจึงไหลออกมาทันที เขาตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดจากร่าง ไหนเลยจะสนใจความสุขทางกายของตนได้ คว้ากางเกงได้ก็รีบวิ่งออกไปข้างนอก
หลินชิงเวยยกขาขั้นขวางธรณีประตูทำให้คนผู้นั้นถูกขัดขาจนล้มลง นางถีบลงไปอีกครั้งหนึ่งบนแผ่นหลังของเขา มือหนึ่งหยิบเข็มเงินปักลงบนร่างกายของเขา ร่างของเขากระตุกไม่หยุดน้ำลายฟูมปาก หลินชิงเวยพูดอย่างเหี้ยมโหด “มารดาของเจ้าไม่ได้สอนเจ้าว่าจะเอาเปรียบผู้อื่นเปล่าๆ ปลี้ๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะสิ่งที่ยายแก่ใจคอโหดเหี้ยมมอบให้เจ้า วันนี้เจ้าพบกับข้าก็ถือว่าเจ้าดวงตก ข้าจะทำให้เจ้ายืนขึ้นมาไม่ได้อีก และไม่อาจแตะต้องสตรีได้อีก” นางเลิกคิ้วขึ้น “แน่นอนว่าข้าเพียงแต่สกัดปิดจุดชีพจรของเจ้า ไม่ถึงขั้นไม่มีทางรักษา เจ้าสามารถไปตามหาท่านหมอผู้มีชื่อเสียงมารักษาตัวเจ้า ในหมอจำนวนหนึ่งร้อยคนอาจจะมีสักคนที่จะรักษาความพิการเช่นนี้ของเจ้าได้ จดจำไว้หากไม่มีเงินในมือ ให้มาขอจากยายหวังผู้นี้ ในเมื่อเป็นเพราะนางที่ทำร้ายให้เจ้ายืนไม่ขึ้นตลอดชีวิต”
บุรุษผู้นั้นร้องโหยหวนสองครั้ง หลินชิงเวยเก็บเข็มเงิน เขาหนีออกไปอย่างร้อนรน
หลินชิงเวยหันกลับมาเห็นสภาพยุ่งเหยิงบนเตียง แม่นางน้อยนอนเปลือยกายอยู่ที่นั่นอย่างเงียบเชียบ เส้นผมของนางแผ่สยายลงมาปิดบังใบหน้า ร่างกายอ่อนเยาว์ของนางเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลจนนางไม่อาจมองตรงๆ ได้ เนิ่นนานนางจึงเคลื่อนไหว ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก จากนั้นสวมเสื้อผ้ากลับไปเงียบๆ ราวกับยอมรับความจริงจากเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ยอมรับโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ ชีวิตแต่นี้ไปเหมือนศพที่เดินได้
หลินชิงเวยราวกับเห็นว่าแม่นางน้อยคนนี้ได้ตายไปแล้ว นางเต็มไปด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านในสมอง
ส่วนยายหวังได้ยินคำพูดเหล่านั้นจึงหน้าถอดสี “เจ้าจะทำอันใดกันแน่ ทั้งๆ ที่เป็นฝีมือเจ้า เหตุใดยังมาลงบนหัวข้าได้?”
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองยายหวัง ทั้งๆ ที่นางเป็นสตรีในวัยดรุณีน้อย แต่สายตาที่ส่งผ่านนัยน์ตากระจ่างใสดุจอัญมณีคู่นั้น ทำให้ยายหวังที่มักจะทำเรื่องผิดบาปเสมออดไม่ได้ที่จะขนลุกขนชัน
นางยกยิ้มมุมปาก ไม่ปฏิเสธหรือยอมรับ
มือปราบหลิวจะมีโทสะอย่างไรก็ไม่อาจทำอะไรยายหวังได้ ด้วยยายหวังทำการค้าในเรือนของตน ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย เขาจนใจนัก หาไม่แล้วเนิ่นนานเช่นนี้ยายหวังยังจะหยิ่งผยองเช่นนี้ได้อย่างไร
คนบางคนไม่มีความเมตตาและมโนธรรม ย่อมทำอะไรอย่างไม่มีขอบเขต อย่างเช่นยายหวังผู้นี้ น่าเสียดายที่วันนี้นางพบกับหลินชิงเวยซึ่งเป็นคนที่ละทิ้งความเมตตาและมโนธรรมทิ้งไปได้เช่นกัน
หลินชิงเวยมองเซียวเยี่ยนและมือปราบแวบหนึ่ง “เรื่องประเภทนี้ เจ้าหน้าที่ไม่ออกหน้าจะดีกว่า ไม่สู้มอบให้ข้าจัดการ ข้าชอบจัดการเรื่องภายในครอบครัวอย่างนี้เป็นที่สุด”
เซียวเยี่ยนรู้ดีว่านางโกรธแล้ว อีกทั้งโกรธจนถึงขีดสุด
หลินชิงเวยยิ้มแล้วใช้หางตามองยายหวัง ต่อมาเดินไปหยุดอยู่ข้างกายหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของนาง ยายหวังรู้สึกเหมือนได้พบศัตรูตัวฉกาจ หลินชิงเวยไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่มองหลานชายของนางกำลังขีดๆ เขียนๆ ลงในสมุดเล็กๆ เล่มหนึ่ง นางถามขึ้นว่า “หลานชายของเจ้าชื่ออะไร?”
หลานชายคนนี้เป็นความภาคภูมิใจของยายหวัง ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินห้าหกขวบ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่อยู่บนร่างกายเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่านั่งนั้นมีสง่ายิ่ง ท่าทางราวกับก้อนแป้งน้อยดูแล้วช่างน่าเอ็นดู
ยายหวังได้ยินหลินชิงเวยถามชื่อของหลานชายนาง จึงตอบอย่างภูมิใจว่า “หลานชายของข้าชื่อ เสี่ยวเป่า”
“เสี่ยวเป่า?” หลินชิงเวยพูดตาโค้ง “เป็นเด็กน่ารักคนหนึ่ง ดูตัวอักษรที่เขาเขียนแล้วดูมีพรสวรรค์อยู่บ้าง เชื่อว่าขอเพียงตั้งใจศึกษาเล่าเรียน อนาคตจะต้องโดดเด่นกว่าผู้อื่นเป็นแน่”
ยายหวังพูดอย่างยโสว่า “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว! เขาจะต้องเข้าเรียนในสำนักศึกษาที่ดีที่สุด ให้อาจารย์ที่ดีที่สุดมาสอน ต่อไปเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงจะสอบจอหงวนได้!”
“เติบโตเป็นผู้ใหญ่?” หลินชิงเวยถามเบาๆ “เจ้าได้สอนเขาหรือไม่ว่าเป็นคนควรทำอย่างไร?”
ยายหวังสีหน้าแปรเปลี่ยน “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หลินชิงเวยไม่แยแสนาง กลับพูดกับหวังเสี่ยวเป่าว่า “ดูท่าทางไม่อนาทรร้อนใจเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าอาภรณ์แล้ว ควรจะถูกตามใจตั้งแต่เล็กจนโต เจ้ารู้หรือไม่ว่าชุดที่เจ้าสวมใส่ ของที่เจ้าใช้ ล้วนเป็นเงินที่พี่สาวเจ้าหามาด้วยความยากลำบาก ย่าของเจ้าเพื่อต้องการส่งเจ้าไปศึกษาในสำนักศึกษาที่ดีที่สุด ถึงกับขายพี่สาวของเจ้าให้กับบุรุษกักขฬะแล้วแต่พวกเขาจะย่ำยีทำลายนาง”
หวังเสี่ยวเป่าไม่พูดจา ราวกับเขาไม่ได้ยิน เขายังคงเขียนหนังสือของเขาต่อไป
หลินชิงเวยพูดอีกว่า “ดูท่าแล้วน่าจะไม่มีใครสอนเขาว่าเป็นคนควรทำอย่างไร อะไรเรียกว่ามารยาท ยิ่งไม่มีใครสอนว่าเขาควรจะเข้าอกเข้าใจถึงความลำบากของพี่สาว เจ้าคงจะไม่รู้จักคำว่าทำลายเช่นกัน ย่าของเจ้าไม่สอนเจ้า ข้าจะสอนเจ้าเอง”
พูดแล้วนางก็ยกเท้าขึ้นถีบเก้าอี้ที่หวังเสี่ยวเป่านำมาวางสมุดเล่มเล็กของเขา เก้าอี้ล้มลงตัวอักษรที่เขาเขียนจึงเลอะเทอะเช่นกัน สมุดเล่มเล็กร่วงหล่นลงบนพื้น
และหวังเสี่ยวเป่ามีปฏิกิริยาตอบโต้ในที่สุด
ยายหวังที่ยืนอยู่ด้านข้างร้องเสียงดัง “เจ้าทำอะไร ห้ามรังแกหลานชายของข้า!” เพียงแต่นางถูกมือปราบหลิวควบคุมตัวเอาไว้ ดิ้นรนไม่หลุดและไม่อาจขัดขืน
หลินชิงเวยก้มหน้าลงมองใบหน้าเล็กๆ ของหวังเสี่ยวเป่า ดูสีหน้าโกรธเคืองบนใบหน้าเล็กๆ ของเขา หลินชิงเวยเลิกคิ้วมองตาเขาแล้วยกเท้าขึ้นเหยียบย่ำลงบนสมุดเล่มเล็กของเขาพร้อมกับออกแรงบดขยี้ให้เลอะเทอะและสกปรกยิ่งขึ้น “โกรธมากหรือ หืม ไม่มีใครสอนเจ้าว่าพูดจากับผู้อื่นต้องมีมารยาท และไม่มีใครสอนให้เจ้าเคารพพี่สาวของเจ้าเช่นกัน ลูกผู้ชายตัวน้อยต้องปกป้องพี่สาวใช่หรือไม่ เจ้าใช้เงินที่พี่สาวเจ้าหามาอย่างอยู่มิสู้ตาย เอาไปเล่าเรียนศึกษา ต่อไปเจ้าจะร่ำเรียนอะไรออกมาได้?”