ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 195 ต้องเป็นคนไม่รู้จักอายจึงหน้าไม่เปลี่ยนสี
งูเหล่านี้ล้วนเป็นจอมตะกละ มันเห็นบรรดานกพิราบที่อยู่บนต้นไม้ ช่างดีนัก พวกมันกำลังจะเลื้อยขึ้นต้นไม้ไปกินนกพิราบ เจ้านายของมันมักจะเรียกพวกมันออกมากินอาหารมื้อใหญ่
หลินชิงเวยเห็นว่าเรื่องคงไม่ดีแน่จึงรีบพูดว่า “ไม่ๆๆ เข้าใจผิดแล้ว! ต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่ๆ! กลับไปให้หมด!” นางยังไม่ได้กินนกพิราบเลย ไฉนจะให้พวกมันได้กินเล่า
งูเหล่านั้นฟังรู้เรื่องที่ไหนกัน พวกมันเริ่มเลื้อยขึ้นไปบนต้นไม้ หลินชิงเวยจึงรีบผิวปากอีกสองครั้ง ฝูงงูจึงแยกย้ายกันอย่างหักใจไม่ได้
เหล่านกพิราบถูกทำให้เสียขวัญเสียแล้ว พวกมันรวมตัวอยู่ด้วยกัน เมื่อมองไปเหมือนกับขนนกกองใหญ่ที่ถูกลมพัดเบาๆ
หลินชิงเวยนั่งลงใต้ต้นไม้ เริ่มเรียนรู้ที่จะผิวปากในแบบต่างๆ เรียกนกพิราบและเรียกงูย่อมแตกต่างกัน
กระทั่งหลินชิงเวยผิวปากจนลิ้นจะพันกันอยู่แล้ว จึงเริ่มผิวปากคล้ายเสียงนกได้ น้ำเสียงและเสียงสูงเสียงต่ำ แม้กระทั่งตัวนางก็ยังตกใจมีนกพิราบตัวหนึ่งบินมาเป็นตัวแรก มาหยุดอยู่ไม่ไกลจากนาง
นางตื่นตะลึงแล้วผิวปากอีกครั้งก็มีนกพิราบอีกสองตัวบินลงมา
นางกางฝ่ามือที่มีอาหารนก เริ่มใช้อาหารดึงดูดพวกมันมา
เซียวเยี่ยนมาเยือนสถานที่แห่งนี้เมื่อถึงพระอาทิตย์ตกดินในยามโพล้เพล้ เงาร่างในอาภรณ์สีม่วงเย็นนั้นเดินเข้ามาตามทางคดเคี้ยวอย่างไม่รีบร้อน กิ่งไม้ใบไม้อันสมบูรณ์สัมผัสกับชายอาภรณ์ของเขา เส้นผมของเขาดำขลับราวกับหมึก แววตาในยามค่ำคืนนั้นส่องประกายปนเปความคมปลาบหลายส่วน ลิงที่อยู่บนชิงช้าหวายดูเหมือนจะกลัวเขาอย่างมาก เมื่อเห็นเขามาก็หลบไปอย่างไม่เห็นเงา ดอกเฉียงเวยบนกำแพงเบ่งบานท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดง
ราวกับเขาไม่ใช่บุรุษบนโลกมนุษย์ แต่เหมือนเขาเดินออกมาจากภาพวาดมากกว่า
เมื่อเขาเดินมาสุดทางของเส้นทางอันคดเคี้ยว เบื้องหน้านั้นสดใสเมื่อเขามองเข้าไปแล้วอดที่จะหยุดฝีเท้าไม่ได้ เห็นเพียงต้นไม้ต้นใหญ่ไม่ไกลนั้นมีเงาร่างร่างหนึ่ง หลินชิงเวยนั่งยองๆ อยู่ท่ามกลางแสงสุดท้าย ในฝ่ามือของนางมีอาหารนก ลูกนกพิราบเหล่านั้นกลับไม่เกรงกลัวนาง แย่งกันห้อมล้อมรอบกายนาง แขนทั้งสองข้างของนางโอบรอบหัวเข่า ชายกระโปรงสีเขียวอ่อนนั้นคลุมลงบนพื้นหญ้าประหนึ่งใบไม้สีเขียวที่เพิ่งผลิใบในช่วงต้นฤดูคิมหันต์ เส้นผมดำขลับของนางทิ้งตัวลงมาจากด้านหลังศีรษะ เส้นผมส่วนหนึ่งของนางระเรื่อยลงมาตามบ่าไหล่บอบบาง ไถลมาถึงหน้าอกด้านหน้าของนาง ร่างของนางทั้งร่างล้วนถูกล้อมรอบด้วยแสงสีทอง ส่งผลให้ร่างทั้งร่างเปล่งประกาย รอยยิ้มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มบนใบหน้านั้นทำให้คนไม่อาจถอนสายตาไปได้
หลินชิงเวยเห็นลูกนกพิราบส่วนหนึ่งยังคงมองดูอยู่รอบนอกไม่ยอมเบียดเข้ามา จึงใช้มืออีกข้างหนึ่งกำอาหารนกแล้วสาดออกไปรอบนอก ให้นกพิราบที่ไม่อาจเบียดเข้ามาข้างหน้ามีอาหารกินเช่นกัน
หลินชิงเวยพบว่าปีกของพวกมันทั้งขาวเป็นมันและนุ่มลื่น เมื่อลูบไล้แล้วให้ความรู้สึกสบายมืออย่างมาก ยังมีท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูอย่างที่สุดของพวกมันอีก ช่างเถิดอย่างไรวันนี้นางก็หิวจนหายหิวแล้ว วันนี้นางจะยังไม่กินพวกมันเป็นการชั่วคราว
หลินชิงเวยไม่ได้เลี้ยงพวกมันให้กินจนอิ่มในคราเดียว นางยันหัวเข่าของตนแล้วลุกขึ้นยืน ฝูงนกพิราบข้างกายจึงกางปีกขาวประดุจหิมะของพวกมันเพื่อกระพือปีกบินขึ้นกลางอากาศ ลมสายหนึ่งพัดชายกระโปรงของหลินชิงเวยจนพลิ้วขึ้นมาราวกับนางมีปีกคู่หนึ่งที่สามารถกางออกแล้วบินได้อย่างไรอย่างนั้น
นางรับรู้ได้ถึงสายตาจับจ้องคู่หนึ่ง นางผิวปากเรียกฝูงนกพิราบมาให้อาหารอีกเล็กน้อยบนพื้นกลับไปกลับมา อีกทางหนึ่งส่งเสียงพูดกับคนที่อยู่ข้างหลัง “ยังรู้จักกลับมาหรือ หืม? เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะจับนกพิราบพวกนี้มาย่างกินจนหมดหรือไร?ฃ เจ้าควรจะรู้ตัวว่าเจ้าโชคดีเพียงใดที่ยามนี้ข้าหิวจนไม่มีความอยากอาหารแล้ว กลับไปหากเซ่อเจิ้งอ๋องไม่ตัดเงินเดือนของเจ้าก็เป็นการผิดต่อการอู้งานของเจ้าในวันนี้!”
เสียงฝีเท้าเดินมุ่งหน้ามาทางหลินชิงเวย เซียวเยี่ยนพูดเนิบๆ “เซียวฉีไม่ได้มา เป็นเปิ่นหวาง”
หลินชิงเวยหันกลับไปดู เห็นร่างสูงใหญ่ของเซียวเยี่ยนเดินอยู่บนสนามหญ้า แสงตะวันที่เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตกส่องสว่างเงาร่างด้านข้างของเขา ทำให้ใบหน้าคมสันและเย็นชาของเขาสว่างเพียงครึ่งหน้า ส่งผลให้รูปหน้าของเขาคมชัดยิ่งขึ้น
เขาเดินทางเข้ามาพร้อมกับกล่าวลอยๆ ว่า “ลดเงินเดือนของเซียวฉี หมายถึงตัดเบี้ยหวัดของเขาใช่หรือไม่?”
หลินชิงเวยไม่รู้ว่าตนต้องเวทมนตร์อันใดเข้า ได้แต่พยักหน้า
เซียวเยี่ยน “เช่นนั้นกลับไปเปิ่นหวางจะลดเบี้ยหวัดของเขาครึ่งเดือน” เขามองพิราบขาวบนสนามหญ้าสีเขียวอ่อนแล้วพูดอีกว่า “ดูเหมือนเจ้าเลี้ยงพวกมันได้ไม่เลวเลยทีเดียว”
ทันทีที่หลินชิงเวยได้ยินคำพูดนี้ก็เกิดไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีก ถูกต้องแล้ว เมื่อแรกเริ่มนางไม่ได้ทำด้วยความเต็มใจ แม้จะไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน บุรุษตรงหน้าผู้นี้ยังคงรูปงามชวนมองแต่ยังคงทำให้นางรังเกียจนัก “เป็นท่านที่ให้ข้ามาเลี้ยงนกพิราบไม่ใช่หรือ ข้าจำไม่ได้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องมีนิสัยใจคอคับแคบถึงกับยังจำเรื่องนกพิราบเหล่านั้นเอาไว้ในใจ”
เซียวเยี่ยนเลิกคิ้ว “เช่นนั้นยามนี้เจ้าจดจำได้หรือไม่ เปิ่นหวางไม่เคยพูดว่าเปิ่นหวางเป็นคนใจกว้างอันใด”
หลินชิงเวยกัดฟันแน่น “เซียวเยี่ยน ท่านลองถามมโนธรรมในใจท่านดู เรื่องที่ข้าเคยช่วยท่านยังน้อยไปอีกหรือ ข้ารักษาพระอาการประชวรของฝ่าบาท ช่วยชีวิตของฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ไม่นานยังช่วยท่านคลี่คลายคดี มโนธรรมในใจของท่านถูกสุนัขกินไปแล้วหรือไร”
เซียวเยี่ยน “เจ้าถวายการรักษาฝ่าบาทและช่วยชีวิตฝ่าบาท นั่นก็คือการช่วยเหลือฝ่าบาท อีกทั้งเจ้าก็ได้รับสิ่งตอบแทนและกินอาหารอย่างดี ไม่ได้หมายความว่าเปิ่นหวางติดค้างเจ้า สำหรับเรื่องคดีนั้นเป็นเจ้าช่วยเหลือให้เปิ่นหวางคลี่คลายคดีได้อย่างรวดเร็วจริงๆ” เขาพูดโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีพร้อมกับหลุบตาลงต่ำมองนาง “เช่นนั้นครั้งหน้าหากเจ้ามีคดี เปิ่นหวางจะช่วยเจ้าคลี่คลายคดีก็แล้วกัน ปลูกแตงได้แตง ปลูกถั่วได้ถั่ว เจ้าว่าใช่หรือไม่”
“…ถือว่าท่านโหดเหี้ยมพอก็แล้วกัน” เมื่อก่อนหลินชิงเวยรู้สึกเพียงว่าเซียวเยี่ยนเป็นคนเย็นชา แต่นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะหน้าไม่อายถึงขั้นนี้ หน้าไม่อายก็แล้วไปเถิด ยังกล้าพูดเช่นนี้อีก! อะไรที่เรียกว่าหากนางมีคดีเขาจะมาช่วยคลี่คลาย? นางเป็นสตรีคนหนึ่ง ไม่ใช่ขุนนางและไม่ใช่เศรษฐีมีเงิน ยิ่งกว่านั้นก็คือไม่มีวันไปทำเรื่องผิดกฎหมายเหล่านั้น จะมีคดีอันใดให้เขามาคลี่คลายกันเล่า!
ต่อมาเซียวเยี่ยนเดินมาหยุดเบื้องหน้าหลินชิงเวย เขาผิวปากครั้งหนึ่งฝูงนกพิราบเหล่านั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นเชื่อฟังขึ้นมาทันที หลินชิงเวยคิดในใจ ทั้งๆ ที่คนผู้นี้สามารถฝึกพิราบได้อย่างดีเยี่ยม เหตุใดยังต้องให้นางมาฝึกเล่า?! นางเห็นเซียวเยี่ยนเริ่มให้อาหารพวกมัน อีกทั้งยังส่งสัญญาณสั่งการให้พวกมันที่อยู่บนสนามหญ้าขึ้นบินไปในทิศทางเดียวกันเป็นแถวอย่างมีระเบียบเรียบร้อยโดยไม่มีแรงกดดันแม้แต่น้อย
หลินชิงเวยคิดถึงความกดดันทั้งวันของวันนี้ จนถึงบัดนี้แม้แต่ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ย่อมเทียบไม่ได้กับเสียงผิวปากของเซียวเยี่ยนเพียงไม่กี่ครั้งที่ทำให้ฝูงนกพิราบเชื่อฟังอย่างดี นางเดินมาหยุดข้างกายเซียวเยี่ยนด้วยสีหน้าเย็นชาแล้วมองดูรูปร่างของเขา หากเขาไม่ทันได้ป้องกันตัว…
หลินชิงเวยอยากจะทุ่มเขาเหลือเกิน อีกทั้งอยากจะทุ่มเขาแบบข้ามไหล่ไปเลย
และนางทำเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่หลินชิงเวยลงมืออย่างรวดเร็ว นางเตะออกไปขัดขาข้างหนึ่งของเซียวเยี่ยน มือทั้งคู่จับแขนของเซียวเยี่ยน หัวเข่ากดลงบนน่องของเขาเต็มแรง จากนั้นรวบรวมพละกำลังทั้งหมดทุ่มเขาลงไป
นางเป็นผู้เล่นเทควันโดที่มีประสบการณ์และคว้าสายดำมาได้ แม้กระทั่งเซียวอี้ก็ยังถูกนางทุ่มข้ามไหล่ลงไปนอนกับพื้นอย่างน่าเวทนา
หลินชิงเวยอดเงยหน้าขึ้นไม่ได้ เซียวเยี่ยนเองเพิ่งจะก้มหน้าลงมองดวงตานางและถามว่า “เจ้ากำลังทำอันใด?”
นางผิดไปแล้ว ร่างกายของเจ้าคนผู้นี้เสมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง การยืมกำลังของนางไม่เกิดผล เมื่อเงยหน้าขึ้นเซียวเยี่ยนยังคงยืนนิ่งประดุจรูปปั้นไม่ขยับเคลื่อนไหวๆ ใดเบื้องหน้านาง
หลินชิงเวยออกแรงเตะลงไปบนขาของเขาสองครั้ง ปรากฏว่าตนเองต้องกอดเท้าของตนกระโดดไปมา เจ็บเสียจนพูดว่า “ให้ตายสิ เหตุใดท่านจึงแข็งเช่นนี้”
เซียวเยี่ยนพูดอย่างมิยินดีร้ายทว่าท้าทายเล็กๆ ว่า “ไม่ได้หรือ?”