ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 197 ล้วนเป็นตนเองหามาทั้งสิ้น
หลินชิงเวยกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ที่แท้นี่เป็นนกยูงความรู้สึกช้าตัวหนึ่ง เมื่อต้องการประจบประแจงเอาใจจึงจะรำแพนหางของมัน อย่างไรเล่า หน้าตาข้าเหมือนแม่นกยูงหรือ”
ราวกับนกยูงตัวนั้นคิดว่าหลินชิงเวยเป็นแม่นกยูงจริงๆ ดังนั้นมันจึงกางปีกและหางของมันออกมาแล้วเดินวนรอบหนึ่งเบื้องหน้าหลินชิงเวย ดูเหมือนกำลังพูดว่า: ท่านดูสิว่าข้าหล่อเหลาเพียงใด ท่านมีเหตุผลอะไรที่จะไม่หลงรักข้า
เซียวเยี่ยนบอกว่าน้อยนักที่มันจะรำแพนหางของมัน ยามนี้ชื่นชมเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นเขาจึงพาหลินชิงเวยเดินจากไปโดยไม่ใส่ใจต่อสายตาของนกยูง เขาปิดประตูลงอีกครั้ง กลางลานแห่งนี้จึงกลับมาสงบเงียบดังเดิม ประหนึ่งไม่เคยมีคนมาที่นี่มาก่อน แววตางดงามของ ‘แม่นกยูง’ ในนัยน์ตาของนกยูงเป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน
ออกมาจากสวนไป่โซ่ว แสงบนขอบนภาจางลง ทว่าอีกพักใหญ่ๆ ฟ้าจึงจะมืดลง ท้องฟ้าด้านนอกสวนไป่โซ่วถูกต้นไม้บดบังแสงสว่าง เบื้องหน้าจึงคล้ายม่านรัตติกาล ข้างประตูมีรถม้าที่นั่งมาเมื่อยามกลางวันคันนั้นจอดรออยู่ หลินชิงเวยอดถามไม่ได้ว่า “ซินหรูและเสี่ยวฉีเล่า?”
เซียวเยี่ยน “เปิ่นหวางให้พวกเขากลับไปก่อนแล้ว ขึ้นรถม้าเถิด”
หลินชิงเวยขึ้นไปนั่งบนรถม้า ข้างหน้ามีเซียวเยี่ยนควบคุมรถม้า รถม้าจึงวิ่งกุบกับออกจากสถานที่แห่งนี้ สองข้างทางราวกับผืนป่าหนาแน่น หลินชิงเวยมองไปไกลๆ เห็นเพียงความมืดมิด มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น นางอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “ครั้งหน้ายามกลางวัน จะต้องเข้าไปดูสักหน่อย ข้ารู้สึกว่าข้างในมีของล้ำค่า”
อึดใจหนึ่งเสียงของเซียวเยี่ยนพูดขึ้นเรียบๆ ว่า “หากเจ้าจะเข้าไป ต้องพาคนเข้าไปด้วยคนหนึ่ง”
หลินชิงเวยแตะคางของตน พูดทั้งหรี่ตาว่า “หากข้าให้ท่านเข้าไปกับข้าเล่า ท่านยินดีหรือไม่?”
เซียวเยี่ยน “เรียกเซียวฉีเถิด”
“ไม่ได้เรื่อง”
ยามกลางวันซินหรูเที่ยวเล่นสนุกกับเสี่ยวฉีจนลืมหลินชิงเวยไปเสียสนิท กระทั่งหลินชิงเวยกลับเข้ามาในยามกลางคืน นางได้แต่ยอมรับผิดด้วยรู้สึกผิดในใจยิ่งยวด
หลินชิงเวยลูบศีรษะของนาง “ไม่โทษเจ้า ความจำของเจ้าไม่ดีนี่นา หากจะโทษก็ต้องโทษสุนัขรับใช้เสี่ยวฉี ช่างเจ้าเล่ห์นัก” หลินชิงเวยถามพร้อมรอยยิ้มยิบหยี “วันนี้พวกเจ้าไปเที่ยวเล่นที่ไหนมาเล่า?”
ซินหรูพูดอย่างเบิกบานใจ “ดูเสี่ยวฉีเลี้ยงสัตว์พวกนั้นเจ้าค่ะ ยังมีอีก ยังมีอีก เขาไปเก็บเห็ดใต้ต้นไม้มากมายเป็นเพื่อนข้าเจ้าค่ะ”
“จริงสิ” หลินชิงเวย “เห็ดมากมายเช่นนั้น สามารถนำมาจัดอาหารงานเลี้ยงเห็ดได้นี่นา อีกประเดี๋ยวเจ้าไปเรียกแม่ครัวปรุงออกมา ส่งไปให้เสี่ยวฉีกินก่อนเถิด เขาจะต้องดีใจมากเป็นแน่”
ซินหรูหัวเราะฮิๆ “ข้าคิดเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ เห็ดพวกนั้นนำมาทำอาหารอะไรดีเจ้าคะ พี่สาว ถึงเวลานั้นท่านต้องลองชิมด้วยนะเจ้าคะ”
หลินชิงเวย “ไม่แล้ว ข้าและเจ้าล้วนแพ้เห็ดทั้งคู่ มีเพียงเสี่ยวฉีที่กินได้คนเดียว”
“แพ้หรือเจ้าคะ? เหตุใดข้าไม่รู้เรื่องเล่า?” ซินหรูถาม
หลินชิงเวยพูดเสียงหนัก “เจ้าความจำไม่ดี เจ้าดูสิเจ้าลืมอีกแล้ว”
ดังนั้นซินหรูจึงนำเห็ดที่ปรุงเสร็จแล้วส่งมาให้เสี่ยวฉีกินในวันถัดไป ยามบ่ายซินหรูวิ่งกลับมาอย่างร้อนใจพูดกับหลินชิงเวยว่า “แย่แล้ว แย่แล้ว เสี่ยวฉีทั้งท้องร่วงและอาเจียนเจ้าค่ะ ดูเหมือนจะต้องพิษ!”
หลินชิงเวยแค่นหัวเราะเสียงเย็น “หรือนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรได้รับ?”
หลังจากไปสวนไป่โซ่วมาครั้งหนึ่ง หลินชิงเวยก็ไปถี่ขึ้น ยังมีสาเหตุอันใดอีกเล่า นางต้องไปให้อาหารและฝึกนกพิราบเหล่านั้น หากกล่าวว่าครั้งแรกนางไปอย่างไม่เต็มใจ เช่นนั้นครั้งต่อมานางไปด้วยความยินดียิ่ง ผู้ใดใช้ให้นางคิดว่าให้เซียวเยี่ยนเป็นเจ้านายฝ่ายบุรุษของพิราบเหล่านั้น และนางเป็นเจ้านายฝ่ายสตรี เป็นเรื่องที่ไม่เลวเรื่องหนึ่งทีเดียว ด้วยเหตุนี้นางจึงตั้งอกตั้งใจฝึกพวกมัน
เวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง เหล่าลูกนกพิราบเติบโตขึ้นเล็กน้อย ปีกของพวกมันเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้น พวกมันบินอยู่กลางอากาศ หลินชิงเวยได้ยินเสียงกระพือปีกของพวกมัน หลินชิงเวยค่อนข้างคุ้นชินและจดจำได้ถึงสัญญาณเสียงที่เซียวเยี่ยนผิวปากและสัญญาณมือที่แฝงความหมายต่างๆ ฝูงนกพิราบยอมรับนางเป็นเจ้านายของพวกมันและให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง
พวกมันบินอยู่กลางอากาศ ไม่บินอยู่เพียงบนสนามหญ้าและต้นไม้อีกต่อไป พวกมันบินไกลขึ้นเรื่อยๆ หลินชิงเวยควบคุมให้พวกมันบินกลับมาที่นี่ในยามพระอาทิตย์ตกไม่ว่าพวกมันจะบินไปถึงที่ใด ทั้งหมดล้วนบินกลับมาอย่างราบรื่นปลอดภัย
เริ่มแรกพวกมันบินไปเป็นฝูง แต่ต่อมาหลินชิงเวยปล่อยพวกมันบินขึ้นไปโดยแยกทิศทาง ดูว่าพวกมันจะหาทางกลับบ้านได้หรือไม่
เพียงแต่นกพิราบจำนวนห้าสิบตัวที่มีแต่เดิม เมื่อฝึกถึงสุดท้ายเหลือไม่ถึงสี่สิบตัว ดูแล้วเซียวเยี่ยนคาดเดาได้แต่แรกถึงผลลัพธ์นี้ จึงมอบนกพิราบในจำนวนที่แม่นยำให้กับนาง
หลินชิงเวยคิดในใจ ต่อให้พิราบสื่อสารเหล่านี้เก่งกาจกว่านี้ บินได้ไกลกว่านี้ก็ไม่อาจบินไปสุดขอบฟ้า และประโยชน์ของพวกมันคือนำมาส่งสาร อาศัยตำแหน่งทิศทางที่แม่นยำ หากให้พวกมันส่งสารไปให้พวกของมันในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง หรือคนที่พวกมันไม่รู้จัก ย่อมมีความยากลำบากอยู่ในนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีวิธีอีกวิธีหนึ่งที่ให้พวกมันอาศัยสัญชาตญาณของพวกมันส่งสารไปถึงมือของอีกฝ่ายได้สำเร็จ?
หลินชิงเวยไม่คาดหวังให้มันมีท่าทางเช่นนี้ต่อทุกคน อย่างน้อยในวันหน้าหากมีความจำเป็นขึ้นมา นางและเซียวเยี่ยนไม่ได้อยู่ในสถานที่แห่งเดียวกันก็สามารถส่งสารผ่านพิราบสื่อสารนี้ถึงกันและกันได้
นางและเซียวเยี่ยนเป็นเจ้านายของพวกมัน ขอเพียงสามารถเพิ่มพูนความสามารถในการรับรู้ของพวกมันได้
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ไม่ได้ ดังนั้นหลินชิงเวยจึงตกผลึกความคิดเช่นนี้ ด้วยก่อนหน้านี้ยามว่างนางอ่านหนังสือในห้องสมุดมาไม่น้อย สิ่งที่นางสนใจที่สุดก็คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพ่อมดหมอผีโบราณของหนานเจียง นางโชคดีที่ค้นหาตำราได้หลายเล่ม
ในนั้นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับแม่หนอนกู่ส่วนหนึ่ง แม่หนอนกู่และลูกหนอนแบ่งเข้าสู่ร่างกายของคนสองคน ทำให้ชีวิตของคนทั้งสองเชื่อมโยงต่อกัน หัวใจเชื่อมโยงต่อกัน หากมีวันหนึ่งคนหนึ่งตายไป หนอนกู่ที่อยู่ในร่างกายก็จะกลายเป็นยาพิษให้อีกคนหนึ่งตายตามไปเช่นกัน
ตรองดูแล้วพิษที่เซียวอี้ได้รับก่อนหน้านั้น ก็คือพิษของแม่หนอนกู่
หนอนกู่แม่ลูกมีวิธีชอนไชเข้าสู่ร่างกายได้อีกวิธีหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตที่เชื่อมติดกัน แต่ให้แม่หนอนกู่กินลูกหนอนกู่ ดื่มเลือดของอีกฝ่ายเข้าสู่ร่างกายของอีกคนหนึ่ง เช่นนี้แล้วก็จะไม่เป็นตายร่วมกัน ความรู้สึกและความเชื่อมโยงก็จะลดน้อยลงมาก แต่ไม่ว่าจะลดน้อยลงอย่างไรสำหรับนกพิราบก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว
ประจวบเหมาะกับหลินชิงเวยได้นำพิษของแม่หนอนกู่ที่นางกรีดออกมาจากร่างกายของเซียวอี้มาเพาะเลี้ยงเอาไว้ นางใช้แมงมุมชนิดที่เล็กที่สุดมาเป็นร่างยืม
ดังนั้นบ่ายวันนี้หลินชิงเวยจึงสะพายล่วมยาของตนเองไปสวนไป่โซ่ว นางให้เสี่ยวฉีไปบอกความกับเซียวเยี่ยน ให้เขามาสวนไป่โซ่วสักเที่ยวหลังเสร็จงาน
ทว่าไทเฮาล่วงรู้เรื่องที่หลินชิงเวยมักจะไปสวนไป่โซ่วเป็นนิจ ด้วยบางครั้งกระทั่งเซียวเยี่ยนก็ต้องไปที่นั่น ไทเฮาไหนเลยจะไม่ทรงกริ้วเล่า
นางบันดาลโทสะอยู่ในตำหนักบรรทมของตนอย่างเดือดดาล
“สวนไป่โซ่ว สวนไป่โซ่ว เขาถึงกับพาคนชั้นต่ำผู้นั้นไปนัดพบกันที่สวนไป่โซ่ว!” ไทเฮาจะไม่รู้จักสถานที่แห่งนั้นได้อย่างไร เพียงแต่นางคิดว่าสถานที่นั้นถูกทิ้งให้รกร้างเนิ่นนานไม่มีใครไปที่นั่นอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าสถานที่แห่งนั้นกลับกลายเป็นสถานที่นัดพบที่ดีที่สุดสำหรับคนสองคน
ไทเฮาทำได้เพียงบันดาลโทสะและความเดือดดาลของตนอยู่ภายในตำหนักบรรทมของตนเท่านั้น นางทำลายเครื่องกระเบื้องและเครื่องลายครามแตกเต็มพื้น ดวงตาแดงก่ำเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นนั้นมีความคลุ้มคลั่งเล็กน้อย