ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 201 กำจัดมันในคราเดียว
ดูเหมือนแขนของเขาพลิกอย่างง่ายดาย ทว่าท่วงท่าที่ดูเหมือนง่ายดายนั้นไม่รู้ว่ามีพละกำลังอยู่ในนั้นมากมายเท่าใด ถึงกับเพียงพอที่จะต่อสู้กับเสือตัวหนึ่งได้ เสือตัวนั้นถูกจับหางเอาไว้ มันไม่อาจโจมตีหลินชิงเวยได้อีก จึงหันกลับไปโจมตีเซียวเยี่ยนด้วยความโกรธแค้น เซียวเยี่ยนอาศัยจังหวะที่มันหันกลับมา รวบรวมพลังลมปราณในฝ่ามือเพิ่มขึ้นแล้วซัดใส่เสือตัวนั้นจนล้มลงไปฟาดกับต้นไม้ใหญ่ด้านข้างต้นหนึ่ง ลำต้นของต้นไม้สั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับจะโค่นหักลงมาก็ไม่ปาน
ครั้งนี้เสือตัวนั้นถูกสลัดให้ร่วงลงมาอย่างน่าเวทนา มันอ้าปากตะกุยกรงเล็บของมันเนิ่นนานจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมาอีกครั้ง
เซียวเยี่ยนยืนอยู่เบื้องหน้าหลินชิงเวย ถามเสียงเบาว่า “ยังเคลื่อนไหวได้หรือไม่?”
หลินชิงเวยหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง “ท่านช่างมาได้ถูกเวลาจริงๆ”
เซียวเยี่ยนกลับพูดว่า “ขอโทษ ข้ามาช้าไป”
ยามนั้นกระบอกตาทั้งคู่ของหลินชิงเวยพลันรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ไม่ว่านางจะพยายามอย่างไร ด้วยเรี่ยวแรงของนางจึงไม่อาจต่อกรกับเสือตัวหนึ่งได้ ไม่ต้องพูดถึงว่านางไม่หวาดกลัว นางกลัวแทบแย่แล้วแต่จะทำอย่างไรดีเล่า หากไม่ใช่เซียวเยี่ยนมาทันเวลา มีความเป็นไปอย่างยิ่งว่ายามนี้นางอาจจะกลายเป็นเนื้อชิ้นหนึ่งที่อยู่ในท้องของเสือแล้วก็ได้ เสือมีรูปร่างใหญ่โต ทั้งแข็งแรง กระทั่งฝูงงูพิษที่เข้ามากัดมันก็ยังทำให้มันต้องพิษไม่ได้ ยามนี้เซียวเยี่ยนปรากฏตัวแล้ว หลินชิงเวยได้ยินเสียงของเขาแล้วพลันรู้สึกว่าต่อให้เสือตัวนี้ร้ายกาจเพียงใดก็เพียงแค่เท่านี้เอง
หลินชิงเวยถาม “หากท่านมาช้าไปจริงๆ ข้าถูกมันกินไปแล้ว ท่านจะทำอย่างไร”
เซียวเยี่ยนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำด้วยพยายามกดข่มโทสะและความกดดัน ทว่ากลับไม่ตอบคำถามของนาง “เจ้ายังยืนได้หรือไม่?”
เสือที่อยู่ตรงข้ามได้สติคืนมาแล้ว มันเตรียมกระโจนเข้าใส่คนทั้งสอง
หลินชิงเวยขยับแขนของตนพลางสูดปากด้วยความเจ็บปวด “ดูเหมือนต้องใช้เวลาเล็กน้อย”
ขณะนั้นเอง เสือตัวนั้นจ้องเขม็งไปที่หลินชิงเวยแล้วกระโจนร่างเข้ามาอีกครั้ง เซียวเยี่ยนหันกายกลับมาอุ้มหลินชิงเวยขึ้นจากพื้นเข้าสู่อ้อมกอดของตนอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็หลบหลีกมาอยู่ด้านข้าง เสือตัวนั้นคว้าได้เพียงความว่างเปล่าอีกครั้ง
เซียวเยี่ยนอุ้มหลินชิงเวยมุ่งหน้าเข้าไปยังป่าลึก
ภายในป่านั้นมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับเซียวเยี่ยนที่พุ่งไปข้างหน้าด้วยความคล่องแคล่วราวกับเหินได้ ทว่าสำหรับเสือตัวนั้นแล้วด้วยรูปร่างใหญ่โตของมันทำให้มันวิ่งไม่สะดวกนัก
ทว่าต่อให้เซียวเยี่ยนวิ่งได้เร็วกว่านี้ ทิ้งระยะห่างจากเสือตัวนั้นได้ไกลกว่านี้ เขาก็ไม่อาจขัดขวางการตามกลิ่นจากร่างของหลินชิงเวยจากเสือตัวนั้นได้ มีเพียงวิธีการเดียวก็คือต้องกำจัดมันให้สิ้นซากในคราเดียว หลินชิงเวยไม่รู้ว่าเซียวเยี่ยนอุ้มนางมาถึงสถานที่ใด รอบด้านล้วนเต็มไปด้วยต้นไม้ลำต้นตรงเหยียดยาวราวกับพู่กัน สถานที่แห่งนี้นับเป็นอีกแห่งหนึ่ง ต้นไม้ที่นี่ไม่หนาแน่นเท่าใดนัก ตรงกลางยังมีพื้นที่ว่างออกมา หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นยังมองเห็นแสงอาทิตย์แสงสุดท้ายที่ปรากฏอยู่กลางท้องนภา
ต่อมานางรับรู้ได้ว่าร่างของตนเบาหวิวแล้วลอยขึ้นอยู่ที่สูง เป็นเซียวเยี่ยนที่อุ้มนางเหินกายขึ้นแตะลำต้นของต้นไม้เพื่อยืมกำลังเหินขึ้นสู่ที่สูง ชายอาภรณ์ปลิวพลิ้วไปกับสายลม หลินชิงเวยก้มหน้าลงมองพื้นดินที่ไกลจากตนเองไปเรื่อยๆ สีหน้าผ่อนคลายเล็กน้อย สายลมยามเย็นที่พัดโชยมาพร้อมกับความชุ่มชื้น ราวกับผ้าโปร่งบางๆ ชั้นหนึ่งที่สัมผัสกับผิวของหลินชิงเวยเบาๆ
ต่อมาเซียวเยี่ยนวางนางลง ให้เอนกายลงบนกิ่งไม้สามกิ่งที่ยื่นออกมากลางอากาศและพูดกับนางว่า “นอนอยู่ที่นี่ อย่าเคลื่อนไหว” ไม่รอให้หลินชิงเวยตอบเขาก็เหินกายออกไปและลงสู่พื้นดินอีกครั้ง
หลินชิงเวยคิดในใจ นางไม่จำเป็นต้องพูดจาให้กำลังใจอันใด เซียวเยี่ยนย่อมต้องจัดการได้แน่นอน เสียงร้องคำรามคุ้นหูดังขึ้นท่ามกลางผืนป่า เสือตัวนั้นกำลังไล่ตามมาทางนี้อย่างหักใจไม่ได้
หลินชิงเวยไม่เห็นว่าเซียวเยี่ยนยกมือขึ้นสะบัด แขนเสื้อก็ปรากฏให้เห็นของสิ่งหนึ่งไหลออกมาจากในแขนเสื้อของเขา เขาตรึงด้านหนึ่งไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง ปลายนิ้วของเขาจับอีกด้านหนึ่งไว้แล้วดึงไปหาต้นไม้อีกต้นหนึ่งแล้วตรึงเอาไว้ในระดับความสูงประมาณบั้นเอวของเซียวเยี่ยน
ต่อมาเซียวเยี่ยนก้าวถอยหลังไปประมาณสามจั้งและยืนอยู่ที่นั่น กลิ่นสาบของเสือปนเปมากับสายลมที่พัดชายอาภรณ์และเส้นผมด้านหลังของเขาที่ปลิวพลิ้วราวกับเทพเซียนที่ละทิ้งโลกไว้เบื้องหลังลงมาจุติ หาได้เหมือนคนที่จะเริ่มเปิดศึกกับสัตว์ใหญ่ดุร้ายสักเศษเสี้ยวไม่
เสือตัวนั้นพุ่งทะยานมาข้างหน้าอีกครั้ง ภายในสวนอันเงียบสงบสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าของมันที่เดินผ่านพุ่มไม้จนเกิดเสียงสั่นไหวของกิ่งไม้ชัดเจน เพียงไม่นานก็เห็นเงาร่างของมันในคลองจักษุ กล้ามเนื้อบนร่างกายของมันกระเพื่อมไหว บนร่างของมันเต็มไปด้วยรอยเลือด แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณในการต่อสู้ของมันแม้สักกระผีก
มันเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
เสือตัวนั้นหยุดยืนอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวเมื่อเห็นเซียวเยี่ยน มันร้องคำรามพร้อมกระโจนเข้ามา
ระยะห่างเหลือเพียงห้าจั้ง สี่จั้ง และสุดท้ายสามจั้ง
ต่อมาเสียงพรึ่บดังขึ้น เลือดและเนื้อสาดกระจาย
เสือตัวนั้นจดจ่อจับจ้องเพียงเซียวเยี่ยน มันกลับไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งที่ตรึงอยู่ข้างหน้ามัน ส่งผลให้ขณะที่มันวิ่งทะยานร่างออกมาและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บาดแผลขนาดใหญ่เปิดออกตั้งแต่ส่วนบริเวณลำคอของมันไปจนถึงปากที่อ้ากว้าง ด้วยเรี่ยวแรงที่มันโถมกายพุ่งออกมานั้นมหาศาลอย่างยิ่งจึงหยุดร่างของมันเอาไว้ไม่ได้ ลำคอของมันจึงได้แต่ถูกตัดขาดเป็นสองท่อนทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่!
เสียงร้องคำรามของเสือพลันหยุดชะงักลง หัวของเสือแยกออกจากส่วนของร่างกายของมัน กลิ่นคาวเลือดสดๆ คละคลุ้งออกมาทันที หัวเสือร่วงลงสู่พื้นแล้วกลิ้งดังขลุกๆ ราวกับได้ยินเสียงทอดถอนใจที่ไม่อาจทำอันใดได้ ร่างของมันค่อยๆ ล้มลงบนพื้น
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลินชิงเวยยังไม่ทันได้มองว่าเซียวเยี่ยนทำได้อย่างไรทุกอย่างก็จบลงแล้ว
นางพยายามที่จะยืดคอมองลงไป ทว่าเห็นเพียงบนพื้นเต็มไปด้วยรอยเลือด หัวและร่างกายของเสือแยกออกจากกัน ระหว่างต้นไม้สองต้นมีเส้นด้ายเปื้อนเลือดสดๆ เส้นหนึ่ง
สิ่งของนั่นคืออะไร เป็นอาวุธของเซียวเยี่ยนหรือ นางไม่เคยเห็นมาก่อน
เซียวเยี่ยนก้าวเท้าเดินไปฝั่งตรงข้ามไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ หัวเสือและร่างที่แยกออกจากกันของมัน เขาใช้ใบไม้เขียวสดเช็ดรอยเลือดบนเส้นด้ายจากนั้นแกะเส้นด้ายออกมาม้วนเป็นวงกลมเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ
ใครจะคิดเล่าว่า หลินชิงเวยมุ่งแต่จะคอยืดคอยาวมองลงไปเบื้องล่าง ร่างของนางจึงบิดไปอีกด้านหนึ่ง ทันทีที่นางไม่ทันระวังร่างของนางพลันสูญเสียสมดุล ทีแรกนางคิดจะคว้ากิ่งไม้เอาไว้แต่จนใจที่ออกแรงมากเกินไป กิ่งไม้กิ่งนั้นจึงหักทันที ร่างของนางจึงร่วงตกจากต้นไม้
หลินชิงเวยร้องด้วยความตกใจ เห็นเพียงเงาร่างในอาภรณ์สีม่วงเหินกายขึ้นมาอย่างว่องไว ก่อนหน้าที่หลินชิงเวยจะสัมผัสพื้นดินกลับสัมผัสกับอ้อมกอดเย็นสบายอ้อมกอดหนึ่งกลางอากาศ เซียวเยี่ยนอุ้มนางค่อยๆ ลงสู่พื้น ชายอาภรณ์ของคนทั้งสองพลิ้วสะบัดตามแรงลมจนเกือบจะรวมเป็นร่างเดียวกัน
หลังจากลงสู่พื้นแล้วหลินชิงเวยซบกายอยู่ในอ้อมกอดของเซียวเยี่ยน ไม่มีผู้ใดพูดจา ภายในป่าแห่งนั้นเงียบสงัดในชั่วพริบตา
ต่อมาหลินชิงเวยจึงสูดหายใจเข้าลึกสองครั้ง เซียวเยี่ยนมองแขนทั้งสองข้างของนางล้วนมีร่องรอยบาดแผลสองแห่ง มีเลือดไหลซึมออกมา คิ้วยาวที่พาดเฉียงขึ้นหาเชิงผมทั้งคู่ของเขาขมวดมุ่นเล็กน้อย หลินชิงเวยมองบาดแผลของตนตามสายตาของเขาแล้วเพิ่งจะรับรู้ถึงความเจ็บปวด
เซียวเยี่ยนยังไม่ทันได้แตะต้องนางก็เริ่มสูดปาก ใบหน้าเล็กๆ นั้นเปรอะเปื้อนเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายวิบวับราวกับหมู่ดาวบนท้องฟ้า
รอบด้านมืดสนิทด้วยฟ้ามืดแล้ว มืดเสียจนหลินชิงเวยเกือบจะมองสีหน้าท่าทางของเซียวเยี่ยนได้ไม่ชัดเจน
นางยื่นมือออกไปลูบไล้บนใบหน้าของเซียวเยี่ยน เมื่อปลายนิ้วอันเย็นเยียบสัมผัสปลายคางของเขา ร่างของเซียวเยี่ยนพลันหยุดชะงักแล้วจะผละออกในนาทีถัดมา
หลินชิงเวย “เซียวเยี่ยน ท่านอย่าขยับ”