ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 204 ในที่สุดก็ยืนขึ้นมาได้
ไทเฮาแค่นหัวเราะเสียงเย็นอย่างมิยินยอม “อย่างไรเล่า หรือเพื่อหญิงต่ำช้าคนหนึ่งเขาถึงกับต้องการถลกหนังของเปิ่นกง!”
ระยะเวลาสองเดือนผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความร้อนระอุของฤดูคิมหันต์กำลังจะเข้าสู่ช่วงปลายฤดู แสงตะวันที่สาดส่องลงมาทุกวันนั้น ส่องสว่างให้ด้านนอกและด้านในวังหลวงระยิบระยับวับวาว บางครั้งฝนจะตกในช่วงกลางวันหลายครั้ง แต่ละครั้งล้วนมาอย่างเร่งรีบ รุ้งเจ็ดสีปรากฏขึ้นหลังฝนผ่านพ้นไป
ถึงเวลาถอดไม้กระดานที่ประคองขาของเซียวจิ่นออกแล้ว หลินชิงเวยย่อมต้องมาดูแลด้วยตนเองเพื่อถอดไม้กระดานนั้นด้วยตนเอง
ในขณะเดียวกันเซียวจิ่นสามารถขยับเคลื่อนไหวร่างกายของตนเองได้แล้ว เขายื่นขาทั้งคู่ออกไปข้างเตียง หลินชิงเวยค่อยๆ แกะผ้าพันแผลและไม้กระดานออก เซียวจิ่นเต็มไปด้วยความรอคอย “สองเดือนกว่า เจิ้นคิดว่าขาของเจิ้นจะขึ้นราอยู่แล้ว ยามนี้เจิ้นรับรู้ได้ว่าขาทั้งสองข้างสามารถออกแรงได้แล้ว”
หลินชิงเวยพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องรีบเพคะ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป” นางแกะผ้าพันแผล แกะไม้กระดานออก ปรากฏให้เห็นขาขาวๆ สองข้าง เซียวจิ่นรู้สึกเย็นวาบทันที เย็นสบายนัก หลินชิงเวยยื่นมือออกไปบีบขาของเขา ฟื้นฟูได้ไม่เลวเลยทีเดียว นางลูบคลำกระดูกขาของเขาที่เจริญเติบโตได้ตรงยิ่งนัก
เซียวจิ่นมองสีหน้าท่าทางจริงจังของนางแล้วอดที่จะถามไม่ได้ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นพูดว่า “ทุกอย่างล้วนดีเพคะ ฝ่าบาทมิใช่ทรงตรัสว่าเริ่มจะออกแรงได้บ้างเล็กน้อยหรือเพคะ พักผ่อนต่ออีกเพียงไม่กี่เดือนคาดว่าจะลงจากเตียงเดินเหินได้เพคะ”
สีหน้าของเซียวจิ่นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เวลานี้เจิ้นลงจากเตียงแล้วลองเดินได้หรือไม่?”
“ไม่ได้เพคะ ฝ่าบาทยังเดินไม่มั่นคง จะส่งผลให้ล้มลงได้โดยง่ายเพคะ”
เซียวจิ่นมองหลินชิงเวยด้วยดวงตาที่มีละอองน้ำฉาบบางๆ “เจ้าประคองเจิ้นเดินสักก้าวสองก้าวไม่ได้หรือ?” สายตานั้นเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ น่าสงสารและวาดหวัง หากหลินชิงเวยไม่รับปากย่อมกลายเป็นคนโหดร้ายที่สุด
หลินชิงเวยมองเซียวจิ่นที่อยู่เบื้องหน้าตนที่ดูเหมือนจะกลับไปเป็นเด็กน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอีกครั้ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาต้องใช้ชีวิตอยู่บนเก้าอี้รถเข็นเป็นเวลาสิบกว่าปีโดยไม่เคยรับรู้ว่าการมีชีวิตอยู่ด้วยการใช้ขาทั้งคู่ก้าวเดินเป็นความรู้สึกอย่างไร ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยความใจร้อนและไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นย่อมเป็นเช่นนี้เช่นกัน เห็นท่าทางร้อนใจของเขา หลินชิงเวยทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง ชี้ไปที่ขอบหน้าต่างด้านนอกและพูดขึ้นว่า “ตกลงกันก่อนนะเพคะ ไกลที่สุดก็คือเดินไปถึงที่นั่น แล้วย้อนกลับมา”
เซียวจิ่นพยักหน้าด้วยความยินดี “ชิงเวย เจ้าบอกว่าเดินไปถึงที่ใดก็ถึงที่นั่น” พูดแล้วเขาไม่รอให้หลินชิงเวยยื่นมือออกมาประคอง ก็ใช้มือของตนค้ำเตียงแล้วพยายามที่จะยืนขึ้นมา เพียงแต่เขายังเป็นผู้หัดเดินในระดับพื้นฐาน ย่อมเหมือนคนที่เดินโอนไปเอนมาอยู่กลางอากาศคนหนึ่ง
เซียวจิ่นยืดหัวเข่าได้เพียงครึ่งหนึ่งเพื่อจะยืนขึ้นมา ยังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคง เขาพลันรู้สึกว่าขาทั้งคู่ของตนอ่อนปวกเปียก ต่อมาเขาสูญเสียสมดุลของร่างกายแล้วล้มคะมำไปข้างหน้า
หลินชิงเวยตาไวมือไวรีบก้าวขึ้นไปรับเอาไว้ เซียวจิ่นล้มลงบนไหล่ของนางกึ่งๆ ล้มลงมาในอ้อมกอดของนาง
ร่างของหลินชิงเวยมีกลิ่นกายหอมอ่อนๆ ของสาวน้อยบางเบาสดชื่น คล้ายกลิ่นสมุนไพรจากไกลๆ ทว่ากลิ่นหอมกว่าสมุนไพรมากนัก กลิ่นหอมชนิดนั้นกำจายเข้าสู่โพรงจมูกของเซียวจิ่นและเข้าไปกลางใจของเขา
เขาตกตะลึง จังหวะการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นสองจังหวะ การโอบกอดคนคนหนึ่งให้ความรู้สึกอย่างไรกันนะ?
เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ยามนี้เขาพลิกมือกลับมากอดหลินชิงเวย รับรู้ได้เพียงว่าร่างของหลินชิงเวยนุ่มนิ่มเหลือเกิน เขาเบิกตาโต ในแววตานั้นมีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้
เซียวจิ่นวางคางลงบนไหล่ของหลินชิงเวย หลินชิงเวยไม่รู้สึกอะไร ด้านหนึ่งประคองเขาให้มั่นคง อีกทางหนึ่งพูดอย่างเห็นขัน “พระองค์ร้อนพระทัยราวกับลิงน้อยเช่นนี้เพื่ออันใดกันเพคะ ทางนั้นต้องเดินทีละก้าว อีกทั้งขาทั้งคู่ของพระองค์ยังไม่เคยออกแรงมาก่อน ไม่อาจเดินได้ทันทีที่ลุกขึ้นยืนเพคะ”
เซียวจิ่นมองใบหน้าด้านข้างของนาง เส้นผมข้างจอนผมของนางแผ่สยายลงมา คล้ายบดบังและคล้ายไม่บดบังใบหูขาวนวลเล็กๆ น่ารักของนาง
เขาพูดอย่างสงบ “โชคดีที่มีเจ้าประคองเจิ้น หาไม่แล้วเจิ้นยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี”
หลินชิงเวยคว้ามือของเซียวจิ่นวางลงบนไหล่ของตนเอง ไม่มีเวลาเงยหน้าขึ้นมามองเขา เขากลับมองนางอย่างสงบตลอดเวลา หลินชิงเวยจดจ่อสมาธิอยู่กับขาทั้งคู่ของเซียวจิ่นและพื้นกระดานเรียบๆ ทางหนึ่งประคองเซียวจิ่นเดินทีละก้าวๆ อีกทางหนึ่งพูดว่า “หากรู้สึกว่าขาเมื่อยล้าแล้ว พระองค์จะต้องถ่ายน้ำหนักตัวมาบนร่างของหม่อมฉันนะเพคะ เข้าใจหรือไม่เพคะ”
“อืม”
ระยะทางเพียงไม่กี่ก้าว เซียวจิ่นและหลินชิงเวยใช้เรี่ยวแรงไปไม่น้อย ในที่สุดก็เดินมาถึงขอบหน้าต่าง
หลินชิงเวยเหนื่อยเสียจนหอบแฮ่กๆ เซียวจิ่นค้ำอยู่กับขอบหน้าต่าง ยิ้มให้นางอย่างรู้สึกผิดในใจ “ชิงเวย ขอโทษด้วย ดูเหมือนคำขอของเจิ้นจะไร้เหตุผลอยู่บ้าง”
หลินชิงเวยพรูลมหายใจเลิกคิ้วพูดว่า “ยังดีเพคะ ไม่ถึงกับไร้เหตุผล ยังอยู่ในขอบเขตที่หม่อมฉันรับได้เพคะ”
เซียวจิ่นมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงตะวันสาดส่องด้านนอกชายคาเรือน ด้านนอกหน้าต่างเต็มไปด้วยต้นไม้ กิ่งไม้สีเขียวที่ยื่นออกไป ดอกไม้สีแดงเป็นจุดๆ อยู่ท่ามกลางแสงแดดแผดจ้า ท่ามกลางเมฆขาวเคลื่อนคล้อยอยู่บนท้องฟ้า สายลมเย็นพัดโชยกลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าในสวนมาด้วย
เซียวจิ่นหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นลืมตาขึ้น สภาพจิตใจของเขาในเวลานี้เป็นสุขยิ่งนัก “เมื่อก่อนเจิ้นไม่เคยยืนอยู่ข้างขอบหน้าต่างบานนี้ มองทิวทัศน์ภายนอกมาก่อนเลย เจิ้นได้แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น แต่การนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น มองไม่เห็นพื้นดินสีน้ำตาล และมองไม่เห็นรากของต้นไม้ที่ขึ้นมาบนดิน ยิ่งมองไม่เห็นท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขตเช่นนี้ เมื่อก่อนสายตาของเจิ้นมีเพียงบานหน้าต่างบานนี้ แต่ยามนี้สายตาของเจิ้นก็คือฟ้าดินผืนหนึ่งนอกหน้าต่างบานนี้”
ราวกับว่าความรู้สึกเป็นสุขและยินดีชนิดนี้สามารถส่งต่อถึงผู้อื่นได้ ส่งผลให้หลินชิงเวยรู้สึกสดชื่นขึ้นมาด้วย
เซียวจิ่นยืนอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยที่จะยืนหยัดต่อไป หลินชิงเวยจึงพูดขึ้นว่า “พอแล้วเพคะ ควรกลับไปได้แล้ว”
หลินชิงเวยประคองเขาค่อยๆ เดินกลับไปนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง สีหน้าท่าทางของดูออกอย่างชัดเจนว่าเขาตื่นเต้นอย่างยิ่ง
ถึงเวลาพลบค่ำ เซียวจิ่นรั้งหลินชิงเวยให้อยู่กินอาหารมื้อเย็นที่นี่ หลินชิงเวยใจแข็งไม่พอที่จะปฏิเสธเขาจึงรั้งอยู่ต่อ เพียงแต่อาหารมากมายบนโต๊ะเสวย หากกินกันเพียงสองคนดูเหมือนจะเงียบเหงาไปหน่อย
อาหารเหล่านั้นอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่งยวด ต่อให้หลินชิงเวยและเซียวจิ่นหิวขนาดกินวัวได้ทั้งตัวก็ไม่อาจกินอาหารเหล่านี้ลงไปได้ทั้งหมด
แน่นอนว่าเวลาเช่นนี้หลินชิงเวยย่อมต้องคิดถึงเซียวเยี่ยน หลังจากปฏิบัติภารกิจการฝึกนกพิราบเสร็จสิ้น เวลาส่วนใหญ่ของนางล้วนอยู่ตำหนักฉางเหยี่ยน โอกาสที่จะได้พบหน้าเซียวเยี่ยนมีไม่มากนัก
ระยะห่างสามารถก่อให้เกิดความงดงาม ระยะห่างสามารถก่อให้เกิด…ความคิดถึงเช่นกัน เพียงแต่นี่เป็นความรู้สึกที่ยุ่งยากซับซ้อน หลินชิงเวยควบคุมมันเอาไว้อย่างดีตลอดมา
เพียงแต่ไม่รู้ว่าขณะที่นางและเซียวจิ่นกำลังกินอาหารค่ำอยู่ที่นี่ เซียวเยี่ยนกำลังทำอะไรอยู่ในตำหนักชิงหลวน จะงานยุ่งกระทั่งลืมกินข้าวหรือไม่
เซียวจิ่นมองดูท่าทีไม่ยอมขยับตะเกียบของหลินชิงเวย จึงพูดขึ้นว่า “ชิงเวย เป็นเพราะไม่มีเสด็จอาอยู่ที่นี่เจ้าจึงไม่เจริญอาหารหรือ กินข้าวเป็นเพื่อนเจิ้นน่าเบื่อถึงเพียงนี้เลยหรือ”
หลินชิงเวยส่ายหน้า “ฝ่าบาทตรัสไปถึงไหนแล้วเพคะ”
เซียวจิ่นพูดยิ้มๆ อย่างอบอุ่น ทว่าอ้างว้างอยู่บ้าง “เจิ้นรู้ดีว่าระยะนี้ลำบากเสด็จอาแล้ว มีความเป็นไปได้ว่ายามนี้เขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่กับราชกิจ กระทั่งข้าวก็ยังไม่ได้กิน หากเสด็จอางานยุ่งเขาจะจริงจังอย่างมาก เรื่องราวใหญ่เล็กในราชสำนักล้วนต้องให้เขาผ่านตาทั้งสิ้น ขุนนางประเภทที่ต้องการอยู่อย่างคลุมเครือไปวันๆ ไม่อาจผ่านด่านของเสด็จอาได้ ระยะนี้เสด็จอากำลังตัดสินพวกขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงอีกแล้ว คำสรรเสริญเยินยอของไพร่ฟ้าประชาชนนอกวังต่อเซ่อเจิ้งอ๋องมีมากขึ้นทุกวัน”