ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 213 เซ่อเจิ้งอ๋องมิได้มาร่วมงาน
เสี่ยวฉีพูดด้วยสีหน้าปกติ “เหนียงเหนียงโปรดวางใจพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม…กระหม่อมจะปกป้องคุ้มครองนางเป็นอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ”
หลินชิงเวยไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ เพียงแต่เดินผ่านร่างของเขาไป
เมื่อถึงเวลาไปตำหนักคุนเหอ หลินชิงเวยไปหาเซียวจิ่นจึงได้รู้จากเซียวจิ่นว่าวันนี้เซียวเยี่ยนออกจากวัง เมื่อสักครู่ที่ได้พบกับเสี่ยวฉีในตำหนักซวี่หยางด้วยเสี่ยวฉีกลับมารายงานเซียวจิ่นว่าวันนี้เซียวเยี่ยนมีเรื่องสำคัญต้องออกจากวังจึงไม่อาจอยู่ร่วมงานฉลองวันเกิดของไทเฮาได้
หลินชิงเวยและเซียวจิ่นต่างกระจ่างแจ้งแก่ใจดี ตรองดูแล้วเซียวเยี่ยนเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการร่วมงานวันเกิดของไทเฮาจึงหาเหตุออกจากวังไป เมื่อคิดได้เช่นนี้หลินชิงเวยอดที่จะรู้สึกวางใจไม่ได้ พูดจริงๆ แล้วนางไม่ปรารถนาให้เซียวเยี่ยนปรากฏกายที่ตำหนักคุนเหอแม้แต่น้อย ดูท่าแล้วไทเฮาต้องฉลองงานวันเกิดอย่างเหน็บหนาวใจจริงๆ เสียแล้ว
เซียวจิ่นพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวก็มีเพียงชิงเวยที่ไปเป็นเพื่อนเจิ้นแล้ว เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน วางใจเถิด พวกเราไม่รั้งอยู่ในตำหนักคุนเหอเนิ่นนานนัก อย่างมากกินอาหารมื้อเย็นเสร็จ เราก็กลับมา”
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “มีของอร่อยให้กิน มีสถานที่ให้เที่ยวเล่น ซ้ำยังมีฝ่าบาทหนุนหลัง มีอะไรต้องไม่วางใจเพคะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวจิ่นกดลึกขึ้นอีก ดวงตากระจ่างใสทอประกายคู่นั้นจับจ้องแม่นางน้อยงดงามตรงหน้า
ต่อมาหลินชิงเวยเข็นเก้าอี้รถเข็นของเซียวจิ่นนำขบวนนางกำนัลและขันทีของตำหนักซวี่หยางค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังตำหนักคุนเหอ เพื่อไม่เป็นการทำให้ไทเฮาตื่นตระหนก เซียวจิ่นยังคงนั่งเก้าอี้รถเข็นมาจะเป็นการดีกว่า ทำเสมือนว่าตนเองยังยืนขึ้นมาไม่ได้ เซียวจิ่นยังคงอดทนอดกลั้นได้ในเวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยามนี้
ผ่านไปพักหนึ่งประตูตำหนักคุนเหอปรากฏอยู่เบื้องหน้า มีหัวหน้าขันทีของตำหนักคุนเหอยืนรออยู่หน้าประตูตำหนักราวกับมารอรับเสด็จเซียวจิ่นโดยเฉพาะ อีกทั้งยังมีนางสนมใหญ่น้อยของตำหนักในทยอยกันมาถึง พวกนางล้วนเดินอยู่ด้านหลังเซียวจิ่นทั้งสิ้นและเดินเข้าไปในตำหนักคุนเหอพร้อมกัน
เสียงบรรเลงของเครื่องดนตรีนานาชนิดในตำหนักคลอขึ้นเบาๆ ให้ความรู้สึกสบายอกสบายใจ
งานเลี้ยงจัดขึ้นบนสนามหญ้ากว้างของอุทยานตำหนักหน้า โต๊ะตัวยาวเป็นแถวได้จัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อยเนิ่นนานแล้ว มีนางกำนัลประคองถาดน้ำชาและผลไม้มาวางลงบนโต๊ะ
งานเลี้ยงยามค่ำคืนกำลังจะเริ่มขึ้น โคมไฟในตำหนักคุนเหอสว่างไสวกว่ายามปกติกระทั่งบนต้นไม้ก็ยังเต็มไปด้วยโคมไฟที่ส่องสว่างสนามหญ้าให้ดูขาวราวกับแสงสีเงินยวง
วันนี้ไทเฮาสวมฉลองพระองค์กระโปรงสีทองอ่อนๆ อันหรูหรา ขับให้ผิวขาวประดุจหยกมันแพะ ใบหน้าถูกประทินโฉมอย่างพิถีพิถัน บนหน้าผากติดดอกไห่ถังดอกหนึ่ง งดงามจับตาประหนึ่งบุปผาบานสะพรั่ง ดูแล้วทำให้อ่อนเยาว์กว่าความเป็นจริงมาก
ดูแล้วนางแต่งตัวอย่างตั้งอกตั้งใจและประณีตยิ่ง ไม่รู้เช่นกันว่าแต่งตัวเพื่อผู้ใด อย่างไรในตำหนักในแห่งนี้ย่อมไม่มีผู้ใดชื่นชม อีกทั้งเซ่อเจิ้งอ๋องไม่ได้มาร่วมงานในวันนี้
ช่างน่าเสียดาย
ทว่าหลินชิงเวยยังคงลอบตะลึงงันในใจ นางชื่นชมไทเฮาจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ค่อนมาด้านหน้า ไทเฮาผู้นี้เป็นสตรีเจนโลกที่อยู่ในวัยกำดัด ท่วงท่าการขยับเคลื่อนไหวของนางล้วนเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนชวนมองยิ่ง ความงดงามนั้นไม่สามัญ เมื่อเปรียบเทียบกับนาง หลินชิงเวยอดที่จะเชิดปลายจมูกขึ้นไม่ได้ นางรู้สึกว่าตนเองช่างเป็นเด็กสาวที่ขนก็ยังขึ้นไม่ครบคนหนึ่งเท่านั้น
หากว่ากันตามตำแหน่ง ที่นี่เซียวจิ่นมีตำแหน่งใหญ่ที่สุด ในเมื่อไทเฮาฉลองวันเกิดย่อมต้องเป็นเซียวจิ่นที่นั่งในตำแหน่งประธาน แต่หากว่ากันตามเหตุผล ก็คือไทเฮาใหญ่ที่สุด ไทเฮาเป็นเสด็จแม่ของเซียวจิ่น เซียวจิ่นสมควรที่จะเคารพนางสามส่วน ยามนี้ไทเฮาประทับนั่งในตำแหน่งประธานอย่างสมเหตุสมผลและไม่คิดจะรั้งเก้าอี้ให้ เซียวจิ่นจึงนั่งลงในตำแหน่งด้านข้างด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ชัดเจนยิ่งนักว่าเขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าใดนัก
งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้น มีสาวงามออกมาร่ายรำบนสนามหญ้าคลอกับเสียงบรรเพลงพิณประดุจงานเลี้ยงของเทพเซียนที่จุติลงมา ให้ความรู้สึกงดงามและเลื่อนลอย อาภรณ์ผ้าโปร่งปลิวพลิ้วสะบัดไปตามแรงลมเบาๆ ทว่ากลับนำมาพร้อมกับกลิ่นหอมชนิดหนึ่งที่อวลอยู่ในอากาศ
ไทเฮากวาดสายตามองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง นางสนมของตำหนักในคนใดมาร่วมงานหรือไม่ นางล้วนไม่ใส่ใจ แต่เมื่อเห็นหลินชิงเวยนั่งอยู่ในตำแหน่งถัดลงไป นางรู้แต่แรกแล้วว่าหลินชิงเวยมาร่วมงานเป็นแน่ แต่ในใจยังคงรู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง นางไม่เห็นเงาร่างของเซียวเยี่ยนจึงเสแสร้งถามกับเซียวจิ่นราวกับไม่ตั้งใจว่า “ฝ่าบาท เซ่อเจิ้งอ๋องราชกิจรัดตัวหรือ ไฉนเปิ่นกงไม่เห็นเขามาร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำด้วยกันเล่า? ล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจเช่นนี้”
เซียวจิ่นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ทูลเสด็จแม่ หลายวันนี้เสด็จอาราชกิจรัดตัวจริงๆ ยามบ่ายเขาส่งคนมาบอกความกับเจิ้นว่า มีเรื่องด่วนต้องออกจากวัง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะกลับมาไม่ทันร่วมงานวันเกิดเสด็จแม่ ยังขอเสด็จแม่อย่าได้กล่าวโทษ เจิ้นขออภัยเสด็จแม่แทนเสด็จอา”
ในใจไทเฮาโกรธขึ้งยิ่งยวด มีเรื่องด่วนกลับมาไม่ทันงั้นหรือ นางว่าเซ่อเจิ้งอ๋องจงใจที่จะหลบหน้านางมากกว่ากระมัง!
ทว่าความขุ่นขึ้งในใจทั้งหลายมิอาจแสดงออกมาทางสีหน้าได้ ได้แต่กดข่มกล้ำกลืนไว้ในใจ นางจึงเอ่ยขึ้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร เซ่อเจิ้งอ๋องมีราชกิจรัดตัว ยังคงเห็นเรื่องบ้านเมืองต้องมาก่อน งานวันเกิดของสตรีเช่นเปิ่นกงไม่มาก็ไม่กระไร”
ไม่ว่านางจะพยายามใช้น้ำเสียงราบเรียบเพียงใด ทว่าหากเป็นคนสายตาเฉียบคมสักหน่อย ย่อมมองเห็นถึงความผิดปกติว่ายามนี้ไทเฮาไม่ค่อยพึงพอใจนัก
ต่อมาไทเฮาไม่มีท่าทีปีติยินดี โบกไม้โบกมือให้เริ่มงานเลี้ยงได้
หลินชิงเวยทางหนึ่งกินอาหาร อีกทางหนึ่งมองใบหน้าบูดบึ้งและเย็นชาของไทเฮา รู้สึกเจริญอาหารเป็นอย่างยิ่ง ไทเฮาทุ่มเทจิตใจแต่งองค์ทรงเครื่องมิใช่เสียแรงเปล่าๆ ปลี้ๆ หรือ
เห็นหลินชิงเวยคล้ายมีคล้ายไม่มีหยักยิ้มมุมปาก ไทเฮาจึงเกิดโทสะขึ้นในบัดดล “หลินเจาอี๋ ดูเหมือนเจ้าจะเบิกบานใจเหลือเกิน”
หลินชิงเวยลุกขึ้นตอบ “ไทเฮาทรงมีเมตตาจัดงานเลี้ยงรับรอง นางรำงดงามและดนตรีล้วนไพเราะเสนาะหูยิ่ง กินอาหารก็ทำให้เจริญอาหาร วันนี้ไทเฮาทรงพระสิริโฉมงดงามมากเพคะ ไทเฮาฉลองวันพระราชสมภพไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกหรือเพคะ?”
ไทเฮาตบโต๊ะและพูดอย่างมีน้ำโห “นั่งลง! ช่างทำให้เปิ่นกงหมดความสุขนัก!”
หลินชิงเวยนั่งลงอย่างไม่ได้รับกระทบใดๆ ทั้งสิ้น นางกินอาหารและสิ่งของบนโต๊ะไปไม่น้อย ทางด้านไทเฮานั้นไม่เจริญอาหาร ทำให้อาหารบนโต๊ะแทบจะไม่ถูกแตะต้อง
ต่อมาเหล่านางสนมหน้าใหม่ในตำหนักใน ราวกับได้ยินข่าวคราวมาบ้างแล้วล่วงรู้ว่าขาทั้งคู่ของเซียวจิ่นกำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นฟู มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง; เมื่อดูท่าทางของเซียวจิ่นแล้วอาจจะยังเยาว์ไปสักหน่อย แต่อย่างไรเขามีเชื้อสายของราชสกุลอย่างแท้จริง สีหน้าแววตาอบอุ่นอ่อนโยนและหล่อเหลาคมสัน อย่างไรก็มีหน้าตาชวนมองยิ่ง เหล่านางสนมจึงผลัดกันออกมาแสดงการร่ายรำเพื่ออวยพรวันเกิดให้ไทเฮาและอยากจะสร้างความประทับใจในการพบกันครั้งแรกกับเซียวจิ่น
เมื่อก่อนไม่มีใครถามไถ่ถึงเซียวจิ่น แต่ยามนี้เขาจะกลายเป็นก้อนแป้งหอมก้อนหนึ่งในไม่ช้าก็เร็ว
ดังนั้นบรรดาสาวงามล้วนออกมาแสดงการร่ายรำท่ามกลางสายลมที่พัดโชยผ่านส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั้งสนามหญ้า ทำให้คนดูละลานตายิ่งนัก
ในที่สุดงานเลี้ยงสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ราวกับไทเฮาดูหญิงสาวเหล่านั้นร่ายรำจนปวดศีรษะ สีหน้าเต็มไปด้วยความอดทนอดกลั้น ต่อมาจึงลุกขึ้นออกจากงานเลี้ยงด้วยสีหน้าเย็นชา หลินชิงเวยและเซียวจิ่นออกจากที่นี่ตามหลัง งานเลี้ยงฉลองวันเกิดในครั้งนี้จึงผ่านไปอย่างจืดชืดและเงียบสงบ
ออกมาจากตำหนักคุนเหอ เซียวจิ่นจึงพูดกับหลินชิงเวยว่า “ชิงเวย เจิ้นไปส่งเจ้ากลับตำหนักฉางเหยี่ยนก่อนเถิด”
หลินชิงเวยตกตะลึง พูดยิ้มๆ ว่า “ไม่ใช่หม่อมฉันควรไปส่งฝ่าบาทกลับตำหนักก่อนหรือเพคะ?”
“ให้เจิ้นไปส่งเจ้าบ้างไม่ได้หรือไร? นอกจากเจ้าจะรังเกียจที่เจิ้นไปส่งเจ้า” เซียวจิ่นพูดอย่างมีอารมณ์ขัน
หลินชิงเวยจนปัญญาจึงได้แต่เข็นเขาไปยังตำหนักฉางเหยี่ยนก่อน นางแจ่มแจ้งในความคิดของเซียวจิ่น หากมิใช่ด้วยนำนางกำนัลและขันทีของตำหนักซวี่หยางมาด้วยมากมายเช่นนี้ ส่งนางกลับไปก่อนจึงจะปลอดภัยสักหน่อย หลินชิงเวยจึงมิได้ปฏิเสธ