ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 215 แผนการของไทเฮา
ซินหรูพยักหน้าแรงๆ สีหน้าปรากฏให้เห็นความตื่นเต้นที่ยังไม่เลือนหาย “คนมากมายเหลือเกินเจ้าค่ะ สิ่งของที่ขายอยู่บนถนนก็มีเยอะเช่นกัน เสี่ยวฉีซื้อพุทราเชื่อมให้ข้า ทั้งเปรี้ยวและหวานเจ้าค่ะ” ซินหรูย้อนรำลึกถึงราวกับความเปรี้ยวของพุทราเชื่อมยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำของนาง นางอดไม่ได้ที่จะสูดปากเข็ดฟัน ต่อมาซินหรูยื่นมือออกมาส่งสิ่งของชิ้นหนึ่งให้กับหลินชิงเวย “พี่สาว สิ่งนี้ให้ท่านเจ้าค่ะ!”
หลินชิงเวยจับจ้องสายตาเห็นในมือของซินหรูมีหน้ากากหนังมนุษย์สองชิ้น เป็นของนางเองชิ้นหนึ่ง และยื่นให้ตนเองชิ้นหนึ่ง หน้ากากหนังมนุษย์ของตนนั้นทำมาได้อย่างประณีตพิถีพิถัน หลินชิงเวยคิดว่ามีความคุ้นเคยถึงสองส่วน ต่อมาเมื่อนางรับมาแล้วคิ้วตาจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มพลางกล่าว “เจ้าไม่ยอมนอนจนดึกเพียงนี้เพื่อรอมอบของสิ่งนี้ให้กับข้า?”
“งามหรือไม่เจ้าคะ” ซินหรูถาม
หลินชิงเวยยิ้มและพยักหน้า นางเลิกคิ้วพร้อมถามอีกว่า “สวยดีอยู่หรอก เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับพี่สาวแล้ว ชัดเจนยิ่งนักว่าตัวจริงของพี่สาวชวนมองกว่าหน้ากากหนังมนุษย์นี้”
ซินหรูหัวเราะคิกออกมา ดวงตาของนางโค้งลง ดูแล้วคืนนี้นางมีความสุขจริงๆ นางเล่นหน้ากากหนังมนุษย์อีกชิ้นในมือของตนแล้วพูดว่า “คนนั้นคือพี่สาว คนนี้คือซินหรู พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปเจ้าค่ะ”
ไม่ว่านี่จะเป็นของเล่นของเด็กๆ แต่หลินชิงเวยกลับพบว่านางถูกเจ้าของสิ่งนี้ทำให้ซาบซึ้งใจ ซินหรูถูกหลินชิงเวยไล่กลับไปนอนที่ห้อง ตัวนางเองหลังจากอาบน้ำผลัดอาภรณ์เปลี่ยนสวมชุดนอนแล้วเอนกายนอนลงบนเตียง ในมือกลับหยิบหน้ากากหนังมนุษย์ที่เลียนแบบใบหน้าของตนมาเล่นต่ออีก เล่นอย่างไรก็ไม่เบื่อหน่าย ดูเหมือนนางขาดช่วงชีวิตในวัยเด็ก ราวกับเมื่อก่อนไม่เคยเล่นอย่างไรอย่างนั้น
แต่เมื่อก่อนนางไม่เคยได้สัมผัสของเล่นพวกนี้จริงๆ
ยามดึกสงัดมีเพียงความเงียบสงบ
ซินหรูนอนหลับลึกอยู่ในห้อง
สายลมด้านนอกพัดรุนแรงขึ้น นำมาซึ่งความเหน็บหนาว หลินชิงเวยกำลังเข้าสู่ห้วงนิทราและรับรู้ได้ว่าคืนนี้อาจจะฝนตก นางเห็นหน้าต่างยังไม่ได้ปิดให้สนิทจึงลุกขึ้นอย่างเกียจคร้านเพื่อไปปิดหน้าต่าง ด้วยเกรงว่าหน้าต่างในห้องของซินหรูจะไม่ได้ปิด เมื่อถึงยามดึกลมพัดแรง นางจะต้องลมเย็นได้โดยง่าย
เมื่อหลินชิงเวยเปิดประตูห้องเดินออกไปถึงห้องของซินหรูที่อยู่ด้านข้าง พบว่าหน้าต่างห้องของซินหรูเปิดอยู่ครึ่งหนึ่งจริงๆ
ยามกลางวันหลินชิงเวยคิดว่าลมพัดมาเย็นสบายยิ่งนัก ไม่มีช่วงเวลาใดอากาศดีเท่าช่วงเวลานี้อีกแล้ว ยามนี้ลมหนาวพัดมา เสื้อนอนเนื้อบางของนางพลิ้วสะบัดไปมา นางกอดแขนทั้งคู่รู้สึกหนาวเข้าไปในกระดูก
ขณะที่นางคิดจะปิดหน้าต่างแทนซินหรู ปิดจากด้านนอกก็พอแล้วจะได้ไม่ต้องไปรบกวนนิทรารมณ์ของนาง ทว่าหลินชิงเวยกลับคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาทำหน้าที่ก่อนหน้านางก้าวหนึ่ง
เห็นเพียงเงาร่างสีดำสายหนึ่งยืนอยู่ข้างกรอบหน้าต่างห้องของซินหรู กำลังดึงประตูหน้าต่างปิดเบาๆ
ภายใต้แสงสว่างของโคมไฟใต้ชายคาเรือน หลินชิงเวยจดจำเขาได้ เป็นเสี่ยวฉี
ฮึ เจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวโต คิดถึงแต่ลูกแกะน้อยที่อยู่ข้างในล่ะสิ
เสี่ยวฉีมองหลินชิงเวยเช่นกัน เขาไม่กล้าเสียมารยาทจึงรีบก้มหน้าลงพูดเสียงต่ำ ด้วยหลินชิงเวยแต่งกายไม่เรียบร้อยนัก “กระหม่อมถวายคำนับเหนียงเหนียง เหนียงเหนียงอยู่ที่นี่ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลินชิงเวยกวักมือเรียกเขา “เจ้ามานี่” เสี่ยวฉีเดินมาถึงในลานเรือน หลินชิงเวยกอดอกมองประเมินเขาขึ้นๆ ลงๆ “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าแล้ว ดูเหมือนข้าไม่สมควรอยู่ที่นี่งั้นหรือ ผู้ที่ไม่สมควรอยู่ที่นี่เป็นเจ้ามากกว่ากระมัง ดูเหมือนเจ้าจะว่างเหลือเกินนะ กลางดึกกลางดื่นยังมาช่วยซินหรูของข้าปิดหน้าต่าง เจ้ามาอยู่ที่นี่เสียเลยจะดีกว่า” ลูกแกะน้อยในเรือนตนถูกผู้อื่นถวิลหา ในใจหลินชิงเวยไหนเลยจะยินดีได้
เสี่ยวฉีเงียบงัน “กระหม่อมเพียงแต่เห็นเข้าเมื่อผ่านมาจึงช่วยปิดให้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” หยุดไปครู่หนึ่งเขารีบกล่าวเสริมอีกว่า “กระหม่อมไม่ได้มาหาซินหรู แต่มาหาเหนียงเหนียงโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ”
หลินชิงเวยขมวดคิ้ว “มาหาข้าเพื่ออันใด? หรือเซ่อเจิ้งอ๋องกลับมาแล้ว?”
เสี่ยวฉีตอบ “กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ไทเฮาถึงกับให้คนไปดักรอด้านนอกประตูวังแต่แรก ทันทีที่ท่านอ๋องกลับมาก็ถูกไทเฮาเชิญตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของหลินชิงเวยเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา “ไปนานแค่ไหนแล้ว”
“หนึ่งชั่วยามพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวฉีไม่อาจไม่กังวลใจ “กระหม่อมเกรงว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ดังนั้น…” เขายังพูดไม่จบหลินชิงเวยก็หันกายเดินกลับเข้าไปในห้อง ไม่ถึงอึดใจหนึ่งนางก็เดินออกมาพร้อมกับเสื้อคลุมกันลมตัวหนึ่ง “ยังยืนโง่งมอะไรอยู่ ยังไม่นำทางข้าไปอีก”
แน่นอนว่ามิใช่นำทางเดินไป หาไม่แล้วรอให้ไปถึงตำหนักคุนเหอ อาหารคงเย็นชืดเสียหมดแล้ว เสี่ยวฉีพูด “ล่วงเกินแล้วพ่ะย่ะค่ะ” คำหนึ่งแล้วอุ้มหลินชิงเวยขึ้นพร้อมใช้วิชาตัวเบาเหินกายมุ่งหน้าไปตำหนักคุนเหอ วรยุทธ์ของเขาเป็นเลิศ องครักษ์ที่ลาดตระเวนอยู่ในวังหลวงพบเห็นเขาได้ไม่ง่ายดายนัก
ระหว่างทางได้ยินเสี่ยวฉีพูดว่าก่อนหน้านี้เซ่อเจิ้งอ๋องไม่เคยพบหน้าไทเฮาเพียงลำพังในเวลากลางคืน อีกทั้งไปที่นั่นเป็นเวลานานเช่นนั้น สถานการณ์ในครั้งนี้ไม่ปกติ ไทเฮาส่งคนไปดักรอหน้าประตูวังบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องการปรึกษาหารือ เซ่อเจิ้งอ๋องย่อมต้องไปเยือนจึงละเลยจุดนี้ไป ด้วยคนที่นำความมาบอกแจ้งแก่เซ่อเจิ้งอ๋องว่าไทเฮาต้องการหารือเรื่องของหลินเจาอี๋ เมื่อเซ่อเจิ้งอ๋องได้ยินเช่นนั้นจึงตรงไปทันที
ยามนั้นเสี่ยวฉียังเข้าใจว่าเจตนาที่ไทเฮาส่งคนมาบอกความ เป็นเพราะหลินชิงเวยตกอยู่ในเงื้อมมือขอไทเฮา ทว่าเซ่อเจิ้งอ๋องไปนานเกินไป เสี่ยวฉีไม่วางใจอย่างยิ่งจึงได้แต่มาสอบถามที่ตำหนักฉางเหยี่ยนให้แน่ใจว่าหลินชิงเวยอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนหรือไม่ เมื่อมาถึงที่นี่จึงพบว่าก่อนหน้านี้ไทเฮาวางกลลวงให้เซ่อเจิ้งอ๋องไปที่นั่น
เมื่อหลินชิงเวยฟังแล้วจึงด่าทอออกมาอย่างอดรนทนไม่ได้ กระทบกระเทียบต้นบรรพบุรุษของไทเฮาไปถึงสิบแปดรุ่น ขาดเพียงไม่ได้เอาท่อนเหล็กไปเคาะสุสานบรรพชนของไทเฮาเท่านั้น ต่อมาจึงด่าทอเซียวเยี่ยนอีกพักหนึ่ง แต่ฟังออกจากน้ำเสียงของนางว่าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและเป็นกังวล “เจ้ายังรู้จักมาดูว่าข้าอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนหรือไม่ เซียวเยี่ยนเขาเบาปัญญาหรือไร ซ้ำยังเป็นการพูดคุยเรื่องของข้า ไทเฮามิใช่มารดาของข้าเสียหน่อย เรื่องของข้าต้องให้นางเป็นคนเจรจาตั้งแต่เมื่อใดกัน หากจะเจรจาย่อมต้องมาเจรจากับข้า!”
“คงเป็นเพราะท่านอ๋องเป็นห่วงจนจิตใจระส่ำระสายพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ เขาเป็นคนโง่เขลา คนโง่ผู้นั้น!”
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ หลังจากเซียวเยี่ยนไปตำหนักคุนเหอพร้อมขันทีของตำหนักคุนเหอ พบว่าภายในตำหนักคุนเหอสงบเงียบ บรรดาขันทีและนางกำนัลล้วนถูกสั่งให้ออกจากตำหนัก หมัวมัวหันกลับมาเห็นเซียวเยี่ยนยืนอยู่ในห้องโถงหน้าจึงพูดขึ้นว่า “เซ่อเจิ้งอ๋อง พระวรกายไทเฮาเหนียงเหนียงไม่ค่อยดีนักจึงไม่สะดวกจะเสด็จออกมาต้อนรับ ยามนี้กำลังรออยู่ในตำหนักหลัก เชิญท่านอ๋องมากับบ่าวทางนี้เพคะ”
เซียวเยี่ยนรู้เช่นกันว่าไทเฮาพบแขกในห้องโถงหน้าน้อยยิ่งนัก โดยส่วนใหญ่ล้วนรับรองแขกในตำหนักหลัก ในเมื่อนางกล้าเชิญเซียวเยี่ยนมาในเวลาเช่นนี้ ซ้ำยังให้นางกำนัลและขันทีหลบออกไปจนหมด คิดดูแล้วย่อมต้องเตรียมการอย่างดี นางไม่เกรงกลัวว่าเมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไปแล้วจะทำให้เกิดคำติฉินนินทา แล้วเขายังต้องกลัวอันใด?
อย่างไรผู้ที่เสียเปรียบมิใช่เซ่อเจิ้งอ๋อง หากเรื่องนี้เล่าลือกันในราชสำนักย่อมเป็นโอกาสอันดีงามที่เขาจะคืนอำนาจในการบริหารราชกิจให้แก่ฮ่องเต้ นี่เป็นสิ่งที่ไทเฮาไม่ปรารถนาที่จะเห็นเป็นที่สุด แต่นางยังคงยืนกรานที่จะทำเยี่ยงนี้
ก่อนหน้านี้เซียวเยี่ยนยังคำนึงถึงหน้าตาของไทเฮาสองส่วน ด้วยคำนึงถึงชื่อเสียงของนางจึงแทบจะไม่เคยย่างกรายมาในตำหนักในยามกลางคืน ทว่าเวลานี้แตกต่างกันออกไป เขาไม่คิดจะอดทนอดกลั้นต่อนางแม้สักกระผีก
เซียวเยี่ยนเดินตามหลังหมัวมัวเข้าไปในตำหนักหลัก