ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 223 ลงมือขึ้นมาดูสิว่าใครกลัวใครกันแน่
หลินชิงเวยไปถึงตำหนักคุนเหอ ยามนี้ไทเฮารอนางกระทั่งสิ้นความอดทนแล้ว ทันทีที่นางเดินเข้าไปร่างของไทเฮาก็กระโจนออกมาด้วยแววตาของเสือดุร้าย ขาดแต่ยังไม่ได้ลงมือทำร้ายนางให้ตายจริงๆ เท่านั้น
สีหน้าของไทเฮาอิดโรยเหนื่อยล้าอย่างยิ่งยวด ผงแป้งประทินโฉมหนาเตอะมิอาจปิดบังผิวพรรณเหลืองคล้ำของนางเอาไว้ได้ แม้อาภรณ์ยังคงหรูหราสมฐานะ มงกุฎหงส์และปิ่นหงส์ที่อยู่บนศีรษะยังคงสง่างามสูงศักดิ์เหลือประมาณ เครื่องประดับที่ส่องประกายระยิบระยับเหล่านั้นกลับยิ่งส่งให้ใบหน้าของนางดูดำคล้ำแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง
หลินชิงเวยเพิ่งจะยอบกายถวายคำนับอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม “ถวายพระพรไทเฮาเพคะ วันนี้สีพระพักตร์ไทเฮาไม่เลวเลยเพคะ”
คำพูดเพียงประโยคเดียวส่งผลให้ไทเฮาเดือดดาลได้ทันที ขาดเพียงยังมิได้บันดาลโทสะเท่านั้น
ไทเฮาตบลงบนเก้าอี้หงส์ พูดอย่างกราดเกรี้ยวว่า “เจ้าช่างลืมตาพูดปดได้เหมือนจริงยิ่งนัก!”
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “มิกล้าเพคะ ไทเฮาสีพระพักตร์ไม่ย่ำแย่ แววตาที่ทรงทอดพระเนตรหม่อมฉันปกติดียิ่ง เพียงแต่ชราภาพกว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพียงสิบปี ทว่าเช่นนี้กลับทำให้ดูแล้วเหมือนไทเฮาพระองค์หนึ่งมากขึ้นอีกเพคะ”
“เปิ่นกงรู้ว่าเป็นฝีมือของเจ้า!” หน้าอกของไทเฮากระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโมโห “พูด! เจ้าทำอะไรกับเปิ่นกงกันแน่?! หากวันนี้เจ้าไม่พูดออกมา เปิ่นกงไม่มีวันปล่อยให้เจ้ามีชีวิตออกไปจากตำหนักคุนเหอเด็ดขาด!”
“พูดอะไรเพคะ?” หลินชิงเวยหรี่ตาลง “ต้องการให้หม่อมฉันพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้นออกมาหมดเปลือกหรือเพคะ?”
ที่นี่ยังมีนางกำนัลและขันทีอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือเป็นเท็จขอเพียงหลินชิงเวยพูดออกมา ต่อให้เป็นเท็จก็ยังถูกเล่าลือจนกลายเป็นเรื่องจริงไปได้ ไทเฮาจึงให้ข้ารับใช้ทั้งหมดถอยออกไป เหลือเพียงหมัวมัวที่รู้ตื้นลึกหนาบางดีเพียงสองคนเอาไว้เท่านั้น
ไทเฮารู้เช่นกันว่าหากไม่ต้องการให้เรื่องในคืนนั้นแดงขึ้นมา นางย่อมมิอาจลงโทษหลินชิงเวยอย่างเปิดเผยได้
หลังจากข้ารับใช้ออกไปหมดแล้ว ไทเฮาเดินลงมาจากเก้าอี้หงส์ ถามน้ำเสียงคาดคั้นว่า “ถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าทำอะไรกับเปิ่นกงกันแน่?!”
หลินชิงเวยยักไหล่ “เกิดแก่เจ็บตาย ล้วนเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่อาจฝ่าฝืนได้ ไทเฮารู้สึกไม่สบายพระวรกาย เช่นนั้นเรียกตัวหมอหลวงมาตรวจว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นก็พอแล้ว หรือจะกล่าวว่าไทเฮาไร้เดียงสาถึงขนาดไม่อาจยอมรับที่ตนเองชราภาพลงอย่างรวดเร็วเยี่ยงนี้? เช่นนั้นย่อมไร้ประโยชน์ที่จะเรียกหมอหลวง ด้วยนี่เป็นโรคทางใจอย่างแท้จริงเพคะ”
“เจ้า!”
หมัวมัวทั้งสองก้าวขึ้นมาข้างหน้าทันที เตรียมที่จะเข้าไปขนาบซ้ายขวา
หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นอย่างเบิกบานใจ “คิดจะตบตีคนหรือ มาสิ ตีสิ หลังจากตีแล้ว เจ้าก็ยังคงมีสภาพแก่ชราเยี่ยงนี้” หมัวมัวทั้งสองคนได้รับสัญญาณจากไทเฮาจึงได้แต่หยุดฝีเท้า หลินชิงเวยพูดขึ้นอีกว่า “ขอไทเฮาทรงไตร่ตรองให้ดี วันนี้เรียกหม่อมฉันมาที่นี่ด้วยเหตุใด หากเพียงแค่ต้องการหาคนมาเป็นที่ระบายโทสะ หม่อมฉันยินดีเพคะ หม่อมฉันยังไม่คลายโทสะดีเช่นกันเพคะ”
ประสานสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง ต่อมาไทเฮาถามขึ้นว่า “เจ้าใช้เวทมนตร์อันใดทำให้เปิ่นกงกลายเป็นเช่นนี้? เจ้าทำให้เปิ่นกงชราภาพได้ เจ้าย่อมทำให้เปิ่นกงเป็นสาวได้เช่นกัน ใช่หรือไม่?”
หลินชิงเวย “ใช่แล้วอย่างไรเพคะ”
ไทเฮาเดินมาทีละก้าวๆ กระทั่งหยุดเบื้องหน้านาง แววตานั้นเหี้ยมโหด “หากเจ้าทำให้เปิ่นกงกลับไปเหมือนเดิมได้ เปิ่นกงอนุญาตให้เจ้าถือเสียว่าเรื่องราวก่อนหน้านี้ เปิ่นกงจะไม่ถือสาหาความกับเจ้าอีก ว่าอย่างไรเล่า?”
หลินชิงเวยประสานสายตากับนางอย่างไร้แรงกดดัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหัวเราะเสียงชั่วร้ายออกมา “ขออภัยท่านย่าท่านนี้ด้วย เจ้าไม่ถือสาหาความข้า ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่ถือสาหาความเจ้า อีกทั้งข้าคิดว่าเจ้ามีสภาพเช่นนี้เหมาะสมดีอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเป็นสาวกลับไปเหมือนเดิมอีก”
ไทเฮาคำรามเสียงต่ำ “ดูท่าทางเจ้าแล้ว ให้ดื่มสุราคารวะกลับไม่ดื่ม ต้องการดื่มสุราลงทัณฑ์ใช่หรือไม่?!”
หลินชิงเวย “ไทเฮา อารมณ์ฉุนเฉียวเกินไปย่อมไม่ใช่เรื่องดีเพคะ อารมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไปจะทำให้ยิ่งชราภาพเร็วขึ้น ในหลายเดือนนี้ระดูของพระองค์จะไม่สม่ำเสมอ อีกสองเดือนให้หลัง พระองค์จะเข้าสู่วัยหมดระดูจริงๆ ถึงยามนั้นพระองค์จะชราภาพเร็วกว่านี้ ภาษาชาวบ้านเรียกว่าวัยหมดระดูหรือวัยทองเพคะ”
ครั้งที่แล้วไทเฮาถูกหลินชิงเวยบิดข้อมือหักไปข้างหนึ่ง ไม่ว่าครั้งนี้นางจะเดือดดาลเพียงใดก็ต้องอดทนอดกลั้นไม่ลงไม้ลงมือด้วยตนเอง นางพูดกับหลินชิงเวยด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “เจ้าคิดว่าเจ้าไม่ยินยอม เปิ่นกงก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้หรือไร? บอกเจ้าเอาไว้ เปิ่นกงมีวิธีการที่จะทำให้เจ้าอยู่มิสู้ตายเช่นกัน เปิ่นกงอยากจะดูนักว่าเจ้าจะต่อสู้กับเปิ่นกงจนถึงที่สุด หรือจะรักและถนอมชีวิตของตนเอง!”
ที่นี่เป็นตำหนักบรรทมของไทเฮา ไทเฮาหันไปบัญชาหมัวมัวสองคน “จับตัวนางเอาไว้ ส่งไปที่ห้องลับ!”
หลินชิงเวยเห็นหมัวมัวคนหนึ่งลูบมือไปบนชั้นวางหนังสือที่วางติดกำแพงกลางตำหนักบรรทม บนชั้นวางหนังสือมีหนังสือวางอยู่เพียงไม่กี่เล่ม ที่วางอยู่มีเพียงเครื่องประดับหยกไม่กี่ชิ้น หมัวมัวหมุนรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมหยกหนึ่งในนั้น ชั้นวางหนังสือตัวนั้นถึงกับเป็นชั้นวางหนังสือที่พับได้ตัวหนึ่ง มันเคลื่อนออกจากกันไปทางซ้ายขวาด้วยตัวของมันเอง ปรากฏให้เห็นประตูหินบานหนึ่ง
ด้านข้างมีปุ่มเปิดประตูหิน หลังจากหมัวมัวบิดปุ่มเปิดปิด พลันปรากฏให้เห็นเส้นทางเดินลงไปยังใต้ดิน เสมือนประตูมืดมิดบานใหญ่บานหนึ่ง
ต่อมาหมัวมัวทั้งสองเดินเข้ามาหาหลินชิงเวยเพื่อนำตัวนางไปขังไว้ในห้องลับโดยไม่พูดไม่จา
เมื่อเปรียบเทียบกับหมัวมัวที่มีร่างกายใหญ่โตและนิสัยดุร้ายแล้ว หลินชิงเวยย่อมต้องเปราะบางเรี่ยวแรงน้อยกว่ามาก ต่อให้นางมีวิธีการรับมือแบบละมุนละม่อม ย่อมไม่อาจปะทะกับหมัวมัวที่แข็งแรงประดุจวัวถึงสองคนในเวลาเดียวกันได้
เสียงหัวเราะแหลมสูงของไทเฮาดังขึ้นในยามนี้ “เจ้าไม่ยินยอม เช่นนั้นก็ดี เปิ่นกงจะทรมานเจ้าจนกว่าเจ้าจะยินยอม! จะไม่มีผู้ใดพบว่าเจ้าถูกกักขังอยู่ในสถานที่ใด ต่อให้พวกเขาตรวจค้นตำหนักในทั้งหมดก็ไม่มีทางหาเจ้าพบเด็ดขาด! หลินชิงเวย เปิ่นกงเป็นประมุขดูแลตำหนักในเป็นเวลาหลายปีเช่นนี้ คิดว่าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้หรือ?”
หญิงชราผู้นี้เป็นคนโรคจิตอย่างแท้จริง
หากวันนี้ตนถูกนางขังไว้ในห้องลับจริงๆ ย่อมถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างเด็ดขาด ต่อให้เซียวจิ่นมาหาย่อมหานางที่นี่ไม่พบ ขอเพียงไทเฮายืนกรานว่าปล่อยนางกลับไปตั้งนานแล้ว เซียวจิ่นคงจนปัญญาเช่นกัน นางไม่รู้ว่าห้องลับนี้มีอันตรายอะไรรออยู่บ้าง ลำพังเพียงจุดนี้คิดว่าจะยอมถูกกักขังอยู่ในนั้นหรือ น่าขัน!
หลินชิงเวยทำทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนมุมปากของนางทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกเกรียว นาทีถัดมานางหันหน้าแล้วโผเข้าไปที่โต๊ะ หยิบกาน้ำชากระเบื้องเคลือบขึ้นแล้วหันกลับมาทุ่มใส่หน้าผากของหมัวมัวทันที
นาทีที่เสียงของเครื่องกระเบื้องแตกร้าวบนหน้าผากของหมัวมัว ส่งผลให้หน้าผากของหมัวมัวปริแตกเป็นปากแผลใหญ่โลหิตอาบใบหน้าทันที เลือดสดๆ ไหลพลั่งออกมา หมัวมัวกุมหน้าผากของตนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด โลหิตนั้นไหลผ่านใบหน้าและกระโปรงของนางอย่างรวดเร็ว ไหลทะลักเข้ามาในดวงตาบดบังการมองเห็นของนาง
หมัวมัวอีกคนเห็นเหตุการณ์เช่นนี้อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงในใจ ส่วนหลินชิงเวยหันหน้ากลับมาได้ก็หยิบโคมไฟผ้าโปร่งบนโต๊ะ ภายในโคมไฟผ้าโปร่งมีเชิงเทียนสีทองเล่มหนึ่ง สิ่งนี้มีอานุภาพในการโจมตีมากกว่าเครื่องกระเบื้องหลายเท่านัก ทั้งแข็งแกร่งและไม่บุบสลาย
หลินชิงเวยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เข้ามาสิ”
ไทเฮาเห็นหมัวมัวลังเลใจ จึงตวาดเสียงเข้มงวด “ยังโง่งมอะไรอยู่อีก จับกุมนางเอาไว้เดี๋ยวนี้! เปิ่นกงไม่เชื่อว่าคนมากมายเช่นนี้ยังสู้นางเพียงคนเดียวไม่ได้!”
หมัวมัวได้ยินแล้วจิตใจฮึกเหิมขึ้นมาทันที นางพุ่งเข้ามาอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด หลินชิงเวยเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไวเป็นเลิศพร้อมกับใช้เชิงเทียนทุบตีไปบนร่างของหมัวมัวดังขวับๆๆ หลายหน ดูเหมือนเชิงเทียนตีลงไปบนร่างกายของนาง อีกทั้งกล้ามเนื้อแข็งแรงน่าจะไม่ส่งผลกระทบอันใดนัก ไฉนหลังจากหมัวมัวถูกทุบตีเพียงไม่กี่ครั้งกลับเจ็บปวดจนไม่อาจทานทน หลินชิงเวยแทงเข้าไปที่รักแร้ของหมัวมัว แต่หมัวมัวกลับกุมเอวของตนแล้วส่งเสียงร้องโอดโอย
ยามนี้หมัวมัวผู้มีโลหิตอาบทั้งใบหน้าพุ่งเข้ามาอีกครั้ง หลินชิงเวยยกเท้าขึ้นขัดขาของนาง นางมองทางไม่ชัดเจนหลินชิงเวยจึงหลบเพียงไปด้านข้าง หมัวมัวยังไม่ทันจับตัวนางได้ก็ล้มลงไปบนพื้นเองเสียแล้ว
ไม่รอให้หลินชิงเวยหอบหายใจ ไทเฮาหันกายกลับไปปิดช่องประตูลับแล้วหัวเราะขึ้นมาอย่างคลุ้มคลั่ง นางร้องตะโกนลั่น “ใครก็ได้! รีบเข้ามา! หลินเจาอี๋กำเริบเสิบสาน กล้าลอบสังหารเปิ่นกง ยังทำร้ายหมัวมัวคนสนิทของเปิ่นกงจนได้รับบาดเจ็บ!”
ครานี้ต่อให้หลินชิงเวยไร้ความผิดก็มีความผิดแน่แล้ว หมัวมัวทั้งสองถูกนางทุบตีจริงๆ นางไม่อาจรอดตัวจากความผิดนี้ได้ ไทเฮาโยนความผิดฐานลอบสังหารให้กับนาง นางไม่อาจแก้ต่างให้ตัวเองได้และไม่อาจไม่ตอบโต้เมื่อหมัวมัวลงไม้ลงมือกับนางเช่นกัน
แผนการของปีศาจเฒ่านางนี้! ที่แท้ต้องการวางกลลวงให้นางเดินเข้าไปในหลุมพรางเอง!