ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 227 รอการมาของนาง
บัดนี้คำพูดและการกระทำของเขาล้วนเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ราวกับเขาไม่เคยมีความรู้สึกงดงามเช่นนี้มาก่อน ในที่สุดเขาปรารถนาที่จะไปที่ใดก็ได้ไปสถานที่แห่งนั้น คิดจะทำอะไรก็ได้ทำสิ่งนั้น สายตาที่เขามองหลินชิงเวยเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนสุดจะเปรียบ ทุกอย่างถูกเขาควบคุมเอาไว้เป็นอย่างดี อยู่ในความเหมาะสม ไม่เกินไปและไม่เร่งรัด แม้สักครึ่งส่วน แต่กลับเต็มไปด้วยความเข้าใจและให้อภัย
ครั้งนี้หลินชิงเวยสามารถออกมาจากตำหนักคุนเหออย่างปลอดภัยได้ ยังต้องขอบคุณที่เซียวจิ่นมาปรากฏกายอย่างทันเวลา และเซียวจิ่นมาเยือนตำหนักฉางเหยี่ยนด้วยตนเองทำให้ข้ารับใช้ภายในตำหนักฉางเหยี่ยนรู้สึกมีหน้ามีตาขึ้นอีกเท่าตัว จึงทุ่มเทจิตใจปรนนิบัติรับใช้อย่างเต็มที่ หลินเจาอี๋ได้รับความโปรดปราน นั่นเป็นเรื่องที่ข้ารับใช้ในวังหลวงต่างรู้ดี และวันนี้ยังได้เห็นเซียวจิ่นเข้ามาในตำหนักฉางเหยี่ยนอย่างเป็นกันเอง เหล่าข้ารับใช้ได้แต่กล่าวโทษว่าตนเองมีตาหามีแววไม่ เขาไหนเลยจะเป็นเช่นเมื่อก่อนที่ต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นตลอดเวลา แม้รูปร่างจะมิได้สูงใหญ่เฉกเช่นเซ่อเจิ้งอ๋อง มีใบหน้าของบุรุษตัวน้อยที่กำลังเติบโต แต่สูงศักดิ์สง่างาม คมสันองอาจ ต่อมาจึงพบว่าไม่เพียงแต่ข้ารับใช้ในตำหนักฉางเหยี่ยนที่มองพลาดไป กระทั่งทั้งตำหนักในล้วนเป็นเช่นนี้
เซียวจิ่นนั่งอยู่ตำหนักฉางเหยี่ยนราวๆ สองถ้วยชาจึงลุกจากไป ก่อนออกไปยังได้กล่าวกับหลินชิงเวย “ชิงเวย เจ้าพักผ่อนให้ดี ไทเฮาสร้างความลำบากใจให้กับเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า เจิ้นย่อมต้องให้คำอธิบายกับเจ้า”
หลินชิงเวย “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
เงาร่างองอาจผึ่งผายของเซียวจิ่นเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่ หลินชิงเวยมองเงาร่างของเขาจนใจลอย ซินหรูบ่นกระปอดกระแปดอยู่ข้างกายนาง “วันนี้โชคดีที่มีฝ่าบาทเจ้าค่ะ หากไม่ใช่ด้วยฝ่าบาทไปถึงทันเวลา ยังไม่รู้ว่าไทเฮาจะสร้างความลำบากให้กับพี่สาวอย่างไรบ้าง พี่สาว ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าหลังจากฝ่าบาทลุกขึ้นยืนได้ ฝ่าบาททรงเปลี่ยนไปนะเจ้าค่ะ”
ปลายนิ้วของหลินชิงเวยลูบไล้ไปตามขอบถ้วยชา นางเลิกคิ้วและพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าอะไรที่เปลี่ยนไปเล่า?”
ซินหรูส่ายหัว “พูดไม่ถูกเจ้าค่ะ อืม อาจเป็นเพราะบุคลิกเปลี่ยนไป จึงทำให้คนดูแล้วสดชื่นแจ่มใสราวกับจะเปล่งประกายได้เจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยดีดหน้าผากซินหรูครั้งหนึ่ง “นั่นเป็นเพราะฝ่าบาทสวมฉลองพระองค์มังกร เดิมทีก็เปล่งประกายด้วยบารมีอยู่แล้ว” คิดๆ แล้วก็พูดเสียงเบาว่า “หรืออาจเป็นเพราะเขารวบรวมความมั่นใจขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง เมื่อเขาสมปรารถนาจึงทำให้เขามีความมั่นใจ”
หลังจากนั้นหลายวันมีคำสั่งลงโทษไทเฮาลงมา ซินหรูดีใจลิงโลดลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น และพระราชโองการให้หลินชิงเวยมีอำนาจควบคุมดูแลตำหนักในก็ลงมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน คนทั้งหมดของตำหนักฉางเหยี่ยนดีใจจนลุกขึ้นมาร้องไชโย ซินหรูคิดว่านางควรจะดีใจแทนหลินชิงเวย แต่เมื่อเห็นพี่สาวไม่ได้ดีใจถึงเพียงนั้น นางจึงคิดว่าอย่าดีใจมากเกินไปจะเป็นการดี
ผู้มาถ่ายทอดราชโองการคือหัวหน้าขันทีของตำหนักซวี่หยาง เขาปฏิบัติต่อหลินชิงเวยอย่างเคารพนอบน้อมยิ่งยวด หลินชิงเวยไม่ยินดีทันที นางเดินหนีมุ่งหน้าไปยังตำหนักซวี่หยาง
จนปัญญาที่คนทั้งหมดของตำหนักซวี่หยางได้แต่ล้อมหน้าล้อมหลังนาง กงกงร้องเสียงแหลม “เหนียงเหนียง เหนียงเหนียง ท่านจะเสด็จไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ?”
หลินชิงเวยตอบทั้งที่ไม่หันกลับมา “ยังจะไปไหนได้เล่า ย่อมต้องไปหาฝ่าบาท”
“เฮ้อ ฝ่าบาทไม่อยู่ตำหนักซวี่หยางพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทประทับอยู่ในตำหนักชิงหลวน”
ดังนั้นหลินชิงเวยเดินไปได้ครึ่งทางก็ย้อนกลับไปตำหนักชิงหลวน
เมื่อมาถึงประตูหน้าตำหนักยังไม่ได้ให้คนไปกราบทูล องครักษ์ก็เปิดทางให้นาง มีกงกงรออยู่หน้าประตูเนิ่นนานแล้ว เมื่อเห็นคนจึงพูดขึ้นว่า “บ่าวถวายคำนับเจาอี๋เหนียงเหนียง ฝ่าบาททรงมีพระกระแสรับสั่ง เมื่อเหนียงเหนียงมาถึงให้บ่าวเชิญเหนียงเหนียงเข้าไปทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
หลินชิงเวยพูดเรียบๆ “เขาก็รู้ว่าข้าจะมาเช่นนั้นหรือ”
“หลังจากประชุมเช้าเสร็จสิ้น ฝ่าบาททรงประทับรออยู่ในห้องทรงพระอักษรมาตลอด ทางหนึ่งเพื่อสะสางงานราชกิจ อีกทางหนึ่งเพื่อรอเหนียงเหนียงพ่ะย่ะค่ะ”
มาถึงห้องทรงพระอักษร ขันทีหน้าประตูขานเรียกครั้งหนึ่ง เสียงของเซียวจิ่นดังออกมาจากข้างใน “ให้นางเข้ามาเถิด” ขันทีเปิดประตูออกเบาๆ เชิญหลินชิงเวยเข้าไป
หลินชิงเวยยกเท้าเดินเข้าไป นางช้อนตาขึ้นมองเห็นเซียวจิ่นกำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะตัวหนึ่ง เขากำลังยุ่งอยู่กับงานบนโต๊ะ มีฎีกาที่ส่งมาเมื่อเช้ากองโต
เขามีท่าทางของฮ่องเต้ในยามเยาว์ ท่านั่งเหยียดตรง สายตาไม่ว่อกแว่ก กระดูกข้อนิ้วนั้นชัดเจน มือหนึ่งถือฎีกาอีกมือหนึ่งถือพู่กันจูซา กำลังจดจ่อสมาธิกับการอนุมัติฎีกา
เมื่อก่อนเมื่อนางเข้ามาที่นี่ล้วนเห็นเซียวเยี่ยนนั่งอยู่ที่นั่น หลินชิงเวยอดที่จะรู้สึกหัวใจวูบโหวงไม่ได้ เมื่อเซียวเยี่ยนนั่งอยู่ที่นั่นอย่างสงบเงียบ ในมือถือพู่กันจูซาตวัดเขียนอย่างรวดเร็ว ปลายพู่กันสะบัดปราดๆ ราวกับหางมังกรฉวัดเฉวียน แต่เมื่อนางละเลื่อนสายตาก็อดที่จะตื่นตะลึงในใจไม่ได้ ในใจเหมือนถูกสิ่งของบางอย่างทำให้ตีบตันจนหายใจไม่ออกอยู่บ้าง
ไม่พบกันหลายวัน เซียวเยี่ยนอยู่ในห้องทรงพระอักษรเช่นกัน เพียงแต่ยามนี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ในตำแหน่งถัดลงมา มีตำราเล่มหนึ่งอยู่ในมือ กำลังพลิกอ่านหนังสืออย่างสงบ
พูดให้ถูกต้องก็คือนับตั้งแต่เกิดเรื่องราวในคืนนั้นแล้ว หลินชิงเวยยังไม่ได้พบหน้าเขา มาตรว่าตนเองและเขาต่างรู้สึกเหมือนกันคือไม่รู้ว่าเมื่อเผชิญหน้ากันแล้วควรจะพูดสิ่งใด
เซียวเยี่ยนได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้ว่านางมาถึงแล้ว แต่ยังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกระทั่งไม่ยอมเปิดเปลือกตาขึ้น ราวกับผู้ที่เข้ามาเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตน ไม่มีความจำเป็นให้เขาเหลือบตาขึ้นมอง
หลินชิงเวยคิดในใจ หรือวันนี้ตนเองมาอย่างหุนหันพลันแล่น นางไม่ควรมาที่นี่ในเวลานี้ นางไม่ปรารถนาให้เซียวเยี่ยนได้ยินเรื่องที่นางต้องการเจรจาพูดกับเซียวจิ่นแม้แต่น้อย
การพบกันกะทันหันโดยไม่คาดฝันทำให้หลินชิงเวยยืนอยู่ในห้องทรงพระอักษรโดยที่ไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร
ค่อยมาพูดคุยกันวันอื่นดีกว่า
ทว่าชัดเจนยิ่งนักว่าเซียวจิ่นไม่หยิบยื่นโอกาสนี้กับนาง หรือเป็นเพราะเป็นความเคยชินเสียแล้วที่การกระทำทุกเรื่องล้วนต้องมีเซ่อเจิ้งอ๋องนั่งอยู่ด้วย ดังนั้นเซียวจิ่นจึงไม่มีสิ่งใดต้องหลบเลี่ยง กระทั่งเรื่องภายในตำหนักในของเขาก็พูดจากับเซ่อเจิ้งอ๋องได้อย่างเปิดเผย
ยามนี้เขาวางฎีกาเล่มหนึ่งและพู่กันจูซาในมือลง ช้อนตาขึ้นมองหลินชิงเวย สายตาอันอบอุ่นนั้นเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ส่งผลให้ใบหน้าของเขาสดใสขึ้นหลายส่วน “ชิงเวย เจ้ามาแล้ว เจิ้นรู้ว่าเจ้าจะมา”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินชิงเวยเกร็งค้าง “ฝ่าบาททรงทราบว่าหม่อมฉันจะมา แต่ยังคงทำเช่นนั้นหรือเพคะ?”
เซียวจิ่นพูดไม่เร็วไม่เช้า “เจ้าจะมาพูดกับเจิ้นเรื่องที่เจิ้นให้เจ้าดูแลตำหนักในกระมัง? เจ้าควรจะได้รับราชโองการแล้ว ดังนั้นจึงมาที่นี่ เจิ้นคิดว่าเจ้าเหมาะสมที่สุดแล้ว”
หลินชิงเวยสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหันไปมองเซียวจิ่น “ฝ่าบาททรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าหม่อมฉันไม่มีความตั้งใจจะรั้งอยู่ในตำหนักใน ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะไปแย่งชิงกับสตรีในตำหนักใน ไม่ว่าจะเป็นเจาอี๋ พระสนม กุ้ยเฟย หรือฮองเฮา หม่อมฉันล้วนไม่ใส่ใจทั้งสิ้นเพคะ เรื่องนี้หม่อมฉันได้ทูลฝ่าบาทแต่แรกแล้วมิใช่หรือเพคะ?” รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวจิ่นค่อยๆ จางลงแทนที่ด้วยความเศร้าสลดอยู่สองส่วน หลินชิงเวยพูดต่ออย่างไม่เกรงใจ “ดังนั้นฝ่าบาทเลือกคนผิดหรือไม่เพคะ? หม่อมฉันไม่เหมาะสมที่จะทำเรื่องนี้ หากฝ่าบาทยังคงยืนกรานให้หม่อมฉันทำหน้าที่นี้ หม่อมฉันต้องสร้างเรื่องวุ่นวายแน่เพคะ ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาเพคะ”
เซียวเยี่ยนก้มหน้าลง ดวงตาหงส์นั้นตกลงบนมือที่อยู่บนตำรา เพียงแต่ตัวอักษรในตำรานั้นยิ่งดูยิ่งพร่าเลือน เนิ่นนานเช่นนั้นเขายังอ่านไม่หมดหน้านี้ และไม่ได้พลิกไปหน้าอื่น
หลังจากหลินชิงเวยพูดจบ บรรยากาศภายในห้องทรงพระอักษรดูเหมือนจะแข็งค้าง เซียวจิ่นเงียบงันไปอึดใจหนึ่งจึงพูดขื่นๆ ว่า “เจิ้นคิดว่า…เจ้าเข้าใจเจิ้นผิดแล้ว เจิ้นรู้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เจ้าปรารถนา แต่มองไปทั่วทั้งตำหนักใน เจิ้นไม่เคยรู้จักสนิทชิดเชื้อกับนางสนมในวังทั้งหมด เจิ้นคุ้นเคยกับเจ้าเท่านั้น ตำหนักในแห่งนี้ย่อมต้องมีคนมาดูแลมิใช่หรือ?”