ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 243 อดีตฮ่องเต้เข้าฝัน
ไทเฮาพูดเสียงเบา “เปิ่นกงเกรงว่าจะทำเรื่องที่อดีตฮ่องเต้ฝากฝังไม่สำเร็จ ยากที่จะนอนหลับอยู่ในตำหนักบรรทมได้ จึงมาสวดมนต์เพื่อขอประทานอภัยที่ห้องพระ”
หมัวมัวพูดทั้งน้ำตา “ไทเฮาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เพคะ พระองค์ทรงหันกลับมาทอดพระเนตรเถิดเพคะ ฝ่าบาทเสด็จมาเยี่ยมพระองค์แล้ว”
มือที่เคาะไม้มู่อวี๋ของไทเฮาพลันหยุดชะงักลง นางค่อยๆ หันหน้ากลับมาและแทบจะหลั่งน้ำตาในนาทีที่นางเหลือบมาเห็นเงาร่างเหยียดตรงองอาจในอาภรณ์สีเหลืองสว่างนั้น
แต่ไหนแต่ไรมาเซียวจิ่นไม่มีความรู้สึกผูกพันเฉกเช่นบุตรที่มีต่อมารดากับไทเฮาผู้นี้ เพียงแต่ยามนี้เมื่อเขาพบเห็นไทเฮาแล้วอดที่จะรู้สึกตะลึงงันไม่ได้ ด้วยสตรีที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าเขาในขณะนี้ยังคงเป็นไทเฮาที่อดีตอยู่ในวัยสาวใหญ่ ยามนี้กลับดูเหมือนหญิงชรานางหนึ่งราวกับเวลาไม่ได้ต่างกันเพียงแค่วันสองวันเท่านั้น
ดูเหมือนท่าทีเผด็จการและโหดเหี้ยมของนางได้อันตรธานหายไปไม่กลับมา
ในความทรงจำของเซียวจิ่น ไทเฮามีเพียงความเผด็จการและกดข่มผู้อื่นมาโดยตลอด เซียวจิ่นไหนเลยจะเคยพบเห็นไทเฮาในสภาพร่ำไห้น้ำตานองหน้าเช่นนี้ จิตใจของเขาอดที่จะอ่อนไหวไม่ได้ “เจิ้นได้ยินว่าไทเฮาประชวร ในเมื่อประชวรย่อมต้องพักผ่อนให้ดี ยังมาห้องพระเพื่ออันใดกัน?” ดังนั้นเซียวจิ่นจึงหันไปสั่งนางกำนัล “เด็กๆ ส่งไทเฮากลับไปยังตำหนักบรรทม ให้คนไปเชิญหมอหลวงมาตรวจชีพจรเพื่อตรวจพระอาการให้ไทเฮา”
หลังจากไทเฮาถูกส่งตัวกลับไปยังตำหนักบรรทมก็เอาแต่พูดด้วยความเป็นทุกข์ “แม้ข้าจะไม่ได้ให้กำเนิดฝ่าบาทมาก็ตาม แต่เสด็จแม่ของฝ่าบาทได้ฝากฝังกับข้าไว้ก่อนตาย บัดนี้นับว่าฝ่าบาทเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้าเห็นแล้วปลาบปลื้มนัก”
สีหน้าของเซียวจิ่นมีความเย็นชาอยู่เล็กน้อย “ไทเฮาทรงประชวร อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้เลย” เขาไม่เคยพบมารดาผู้ให้กำเนิดของตนมาก่อน เขาไม่รู้ว่านางเป็นใคร ไทเฮาพูดเช่นนี้จึงได้แต่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เท่านั้นเอง
ไทเฮากล่าวอีกว่า “เมื่อคืนข้าฝันถึงอดีตฮ่องเต้และได้ใคร่ครวญเรื่องทั้งหมดที่แล้วมาจึงพบว่าหลายปีมานี้ข้าได้ทำเรื่องไม่เหมาะสมไว้มากมายนัก ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและฝ่าบาทจึงได้จืดจางเยี่ยงนี้ ที่จริงแล้วข้าไม่ควรทำเช่นนี้ หากขอให้ฝ่าบาทอภัยให้ข้าคงเป็นเรื่องฝืนใจอย่างยิ่งกระมัง”
เซียวจิ่นหรี่ตาลงพิจารณาใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาของไทเฮา ไม่อาจไม่ยอมรับว่าสตรีที่อยู่เบื้องหน้าได้เปลี่ยนไปจนเขาแทบจะไม่รู้จัก
การสวดมนต์ไหว้พระด้วยความบริสุทธิ์ใจทำให้คนผู้หนึ่งเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เพียงแต่อย่างไรเขาก็ยังเยาว์วัย สิ่งที่มองเห็นจึงมีเพียงความรู้สึกสำนึกผิดและความจริงใจของไทเฮา กลับมองไม่ออกถึงความเสแสร้งของนางแม้สักกระผีก
เซียวจิ่น “เจิ้นได้ยินว่าเมื่อคืนไทเฮาฝันถึงอดีตฮ่องเต้?”
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นจึงร่ำไห้หนักขึ้นและเอ่ยถึงอดีตฮ่องเต้เมื่อครั้งยังมีพระชนม์ชีพอยู่ สุดท้ายนางจึงเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อคืนในฝันอดีตฮ่องเต้ทรงตรัสว่าฝ่าบาททรงเจริญวัยแล้ว ต่อไปจะต้องเป็นฮ่องเต้ทรงคุณธรรม เพียงแต่อดีตฮ่องเต้มีพระโอรสไม่มากนัก และบัดนี้ฝ่าบาททรงอยู่ในวัยอันสมควรที่จะมีลูกหลานสืบสกุล อดีตฮ่องเต้ปรารถนาให้ฝ่าบาททรงมีบุตรหลานเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลในเร็ววัน”
เซียวจิ่นค่อยๆ นั่งลง ดื่มน้ำชาไปคำหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ไทเฮาพูดอีกว่า “ข้าถามอดีตฮ่องเต้ว่าผู้ใดจึงจะเป็นผู้เหมาะสมกับฝ่าบาท อดีตฮ่องเต้ตรัสกับข้าเพียงประโยคเดียว”
เดิมทีเซียวจิ่นไม่ใส่ใจอันใดนัก ไม่ว่าใครย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าไทเฮาพูดจริงหรือพูดเท็จ จึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า “อดีตฮ่องเต้ตรัสอะไร?”
ไทเฮา “หยกเจียระไนเมื่อพานพบกับเวย”
เซียวจิ่นตะลึงงัน นิ้วเรียวขาวที่ลูบไล้ขอบถ้วยน้ำชาหยุดชะงักงัน “นั่นหมายความอย่างไร?”
ไทเฮา “เมื่อแรกข้าไม่เข้าใจความหมายนั้น ต่อมาเมื่อครุ่นคิดอยู่ค่อนคืนจึงกระจ่างแจ้งขึ้นเล็กน้อย ชื่อแรกของฝ่าบาทมีคำว่า “จิ่น” ก็คือ หยก ส่วนคำว่า “หลิน” นั้นทั้งวังหลวงมีเพียงหลินเจาอี๋คนเดียวที่มาจากสกุลหลินมิใช่หรือ?” ชั่วขณะนั้นดวงตาดำขลับของเซียวจิ่นพลันไหววูบดูเหมือนเปล่งประกายระยิบระยับ
“บิดาของหลินเจาอี๋คือมหาเสนาบดีของราชวงศ์ เป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่ ย่อมต้องช่วยเหลือสนับสนุนและประคับประคองฝ่าบาทได้ และคำว่าได้พบกับ เวย จึงอธิบายได้ว่า นางและฝ่าบาทรู้จักกัน กลับเป็นผู้อุปถัมภ์ในชีวิต และชื่อเดิมของหลินเจาอี๋มีคำว่า “เวย” ซึ่งออกเสียงเหมือนกัน” ไทเฮากล่าว “ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงคิดว่าความหมายของอดีตฮ่องเต้น่าจะหมายถึงทรงเลือกหลินเจาอี๋กระมัง บุตรหลานของราชวงศ์ย่อมต้องถือกำเนิดจากนาง”
เซียวจิ่นเงียบขรึมเนิ่นนาน
ไทเฮากล่าวอีกว่า “แม้หลินเจาอี๋ผู้นั้นจะไม่ลงรอยกับข้ามาตลอดก็ตาม แต่อย่างไรนางก็เป็นนางสนมของฝ่าบาท ต่อไปย่อมต้องเป็นคนข้างหมอนของฝ่าบาท ในเมื่อนี่เป็นเรื่องที่อดีตฮ่องเต้ฝากฝังเอาไว้ ข้าจึงได้แต่นำความมาบอกกับฝ่าบาทตามความจริง บัดนี้พระพลานามัยของฝ่าบาทแข็งแรงดีแล้ว คงทำตามความฝันของอดีตฮ่องเต้ได้ เรียกตัวหลินเจาอี๋เข้าถวายงาน”
วันนี้เรื่องที่ตำหนักคุนเหอถูกถอดถอนคำสั่งกักบริเวณและเรื่องอดีตฮ่องเต้เข้าฝันถูกลือไปทั่วทั้งตำหนักใน
ไม่รู้ว่าเรื่องอดีตฮ่องเต้เข้าฝันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ แต่ได้ยินว่าไทเฮาตกใจตื่นจากบรรทมกลางดึก เห็นสิ่งของแทนพระองค์ของอดีตฮ่องเต้วางอยู่บนหมอนอีกใบที่อยู่ด้านข้าง สิบส่วนต้องมีแปดเก้าส่วนที่เชื่อว่าเป็นจิตวิญญาณของอดีตฮ่องเต้แน่แล้ว
อดีตฮ่องเต้ทรงประทานอภัยให้กับความผิดทั้งหมดของไทเฮา หากเซียวจิ่นยังไม่ถอดถอนคำสั่งกักบริเวณไทเฮาไว้ในตำหนักคุนเหอ ย่อมกลายเป็นเซียวจิ่นไม่เห็นอดีตฮ่องเต้อยู่ในสายตา ในขณะเดียวกัน เรื่องที่อดีตฮ่องเต้เข้าฝันมาเพื่อฝากฝังนั้นถูกเล่าลือจากหนึ่งเป็นสิบ สิบเป็นร้อย ในที่สุดก็ไปถึงหูของหลินชิงเวย นี่ถึงกับต้องการให้นางร่วมหอกับเซียวจิ่น
ทางด้านเซียวจิ่นยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เขาไม่ได้แสดงท่าทีว่าเห็นชอบด้วยและไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน
แต่นี่เป็นเรื่องที่อดีตฮ่องเต้เข้าฝันมาเพื่อฝากฝัง ย่อมไม่อาจมองข้ามได้ หากเซียวจิ่นยังคงไม่แสดงท่าทีนั่นหมายถึงเขาไม่เคารพและไม่กตัญญูต่ออดีตฮ่องเต้
เรื่องเหล่านี้ถูกโจษจันกันอย่างหนักในตำหนักใน หลินชิงเวยนั้นมีชาติกำเนิดเป็นคุณหนูพันชั่งจากจวนมหาเสนาบดี ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ หากฮ่องเต้เรียกตัวนางเข้าปรนนิบัตินั่นย่อมเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว
หลังจากไทเฮาถูกปล่อยตัวจากการถูกกักบริเวณ นางมิได้ไปหาเรื่องหลินชิงเวย หลินชิงเวยได้ยินเรื่องเหล่านั้นแล้วจึงอารมณ์ไม่ดีนักเช่นกัน ซินหรูเข้าใจจิตใจของนางจึงไม่ได้เข้าไปรบกวน ปล่อยให้นางอ่านตำราอยู่ในห้องทั้งวัน
ไม่รู้ว่าเซียวฉีปรากฏกายขึ้นจากที่ใด เขาพักผ่อนอยู่กับซินหรูในมุมหนึ่งของตำหนักฉางเหยี่ยน หลินชิงเวยอารมณ์ไม่ดี ซินหรูย่อมต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นกัน เขามองซินหรูแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อย่าขมวดคิ้วอีกเลย ขืนเจ้ายังขมวดคิ้วอีก หน้าจะไปกองรวมอยู่ที่เดียวกันแล้ว”
ซินหรูขึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง “เจ้าว่าฝ่าบาทจะเรียกพี่สาวเข้าปรนนิบัติจริงๆ หรือไม่?”
เสี่ยวฉีนึกถึงอะไรขึ้นได้จึงพลอยขมวดคิ้วไปด้วย “ไม่รู้” หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้านายของเขาจะทำอย่างไรเล่า? ยามนี้เซ่อเจิ้งอ๋องเดินทางไกลไปถึงหนานเจียง เขาจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงเอ่ยอีกว่า “ขอเพียงได้ปรนนิบัติฝ่าบาท ต่อไปย่อมได้กุมอำนาจในตำหนักใน ไม่ว่าเป็นผู้ใดย่อมปรารถนากระมัง”
ซินหรูกระทืบเท้า “เสี่ยวฉี เจ้าช่างดีนัก พี่สาวของข้าไหนเลยจะเป็นคนเช่นนั้น! ทั้งๆ ที่คนที่นางชอบไม่ใช่ฮ่องเต้ ความรู้สึกที่นางมีต่อฮ่องเต้ก็คือความรักเฉกเช่นพี่สาวและน้องชายเท่านั้น!”
เสี่ยวฉีพูดอย่างยอมรับกลายๆ ว่า “ที่ข้าพูดไม่ได้รวมพี่สาวของเจ้า”
“ชัดเจนยิ่งนักว่าเจ้าปรามาสพี่สาวของข้า!” ซินหรูพูดอย่างขุ่นเคือง “หากท่านอ๋องผู้เป็นเจ้านายของเจ้าคิดเช่นเดียวกับเจ้า เช่นนั้นพี่สาวของข้า…”
เสี่ยวฉีกล่าวขัดด้วยสีหน้าจริงจัง “ระวังกำแพงมีหู”
“ฮึ!”
ได้ยินว่าวันนี้ไทเฮานำขบวนนางกำนัลไปเยือนห้องทรงพระอักษรของเซียวจิ่น เพื่อเร่งรัดให้เซียวจิ่นร่วมหอกับหลินชิงเวยโดยเร็วจะได้มีทายาทสืบสกุลโดยไว
เซียวจิ่นยังคงไม่แสดงท่าทีตอบโต้แต่อย่างใดเช่นเคย
ไทเฮาจึงพูดทั้งร่ำไห้ “ฮ่องเต้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของอดีตฮ่องเต้ หรือปรารถนาจะเป็นลูกอกตัญญู? เปิ่นกงถูกอดีตฮ่องเต้ไหว้วานฝากฝัง หรือฝ่าบาทต้องการให้เปิ่นกงคุกเข่าให้ท่านวันนี้ ท่านจึงจะทำ?”