ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 254 สุนัขไล่ตามมาอีกแล้ว
คนผู้นั้นเข้าไปหยิบห่อผ้าของนางมาเปิดดู ข้างในนอกจากเสื้อผ้าเล็กน้อยแล้ว ล้วนเป็นยาที่บรรจุอยู่ในขวดกระเบื้อง นิ้วเรียวยาวของเขากำลังเลือกเฟ้นขวดยาในห่อผ้า เขาตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเลือกขวดใดดี จึงได้แต่ลังเลใจ
ทันใดนั้นเสียงไพเราะน่าฟังประดุจเสียงหิมะที่ตกอยู่นอกหน้าต่างพลันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ “ไม่ว่าท่านจะเลือกขวดใดล้วนไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น สำหรับยาถอนพิษของท่าน ข้างในนั้นไม่มียาตัวใดสามารถใช้เพียงตัวเดียวได้ ล้วนต้องให้ข้าปรุงยาเมื่อต้องการใช้”
เขายืนถอนใจเฮือกหนึ่งด้วยท่าทีของผู้แพ้ “เจ้าไม่ได้หลับ?”
หลินชิงเวยค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง “ข้านอนหลับไปแล้ว น่าเสียดายที่ถูกท่านปลุกให้ตื่น ยาสลบปลายแถวและควันสลบ ช่างน่าขันยิ่งนัก เซี่ยนอ๋องทำตัวลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ หากรู้ไปถึงหูผู้อื่นคงทำให้คนหัวเราะกันฟันร่วงกระมัง”
เดิมทีเขาคิดจะจากไปในความมืดภายในห้อง ไม่คิดว่าหลินชิงเวยกลับรู้ตัวตั้งแต่แรกว่าเป็นเขา เขาจึงจุดเทียนไขภายในห้องให้สว่างขึ้นด้วยไม่คิดจะปิดบังอำพรางอันใดอีก
เมื่อมีแสงสว่าง ผู้ที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะมิใช่เซียวอี้แล้วจะเป็นใครได้ เซียวอี้ลูบจมูก “เจ้าถึงกับรู้แต่แรกว่าข้าวางยาสลบในอาหารของเจ้า?”
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของนางกระจ่างใสท่ามกลางแสงเทียนนั้นวับวาวราวกับกระจก “มิใช่ท่านบอกข้าหรอกหรือ?”
เซียวอี้จำไม่ได้ว่าระหว่างที่เขาและนางกินอาหารนั้นเขาได้พูดอะไรออกไปบ้าง แต่เขาไม่ใช่คนเขลาจึงรู้ได้ในทันทีเช่นกันว่า ขณะที่นางกำลังกินอาหารนั้นเขาจับจ้องมองนางไม่วางตา ตรองดูแล้วน่าจะเป็นสายตาของเขาที่เปิดโปงตัวเอง สตรีนางนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าไก่เสียอีก!
หลินชิงเวยหัวเราะเสียงเย็น “หากมีครั้งต่อไป ข้าจะไม่ให้ยาถอนพิษใดๆ แก่ท่าน”
พูดจาไม่เข้าหูประโยคเดียวก็เปลี่ยนใจ
เซียวอี้รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม หญิงงามอยู่เบื้องหน้า ทว่าตนกลับมิอาจแตะต้องได้ ชีวิตของตนอยู่ในกำมือของนางไม่ว่า ด้วยมีบทเรียนจากครั้งก่อนเขาจึงไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่ามวู่วาม จึงได้แต่หันกายกลับไปพร้อมกับเอ่ยวาจาอาฆาต “ทางที่ดีที่สุด อย่าให้มีวันที่เจ้าต้องตกมาอยู่ในกำมือข้า ข้าจะทำให้เจ้าร้องขอชีวิต ร้องขอความตาย”
หลินชิงเวยไม่ใช่ผู้ถูกข่มขู่จนเติบใหญ่เช่นกัน จึงสวนกลับไปว่า “ก่อนจะถึงเวลานั้นข้าจะทำให้ท่านอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้”
วันรุ่งขึ้นเมื่อพวกเขาออกจากโรงเตี๊ยม ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าล้วนขาวโพลน ทว่าสภาพอากาศดูเหมือนจะสดใส
คนทั้งสองเร่งเดินทางมุ่งหน้าลงใต้ต่อไปอีกสองสามวันจึงเข้าเมืองเพื่อพักแรมในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อชำระกาย การเดินทางนี้ค่อนข้างราบรื่นโดยไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายใดๆ
เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้ อากาศเริ่มแล้งแล้วอีกทั้งยังเป็นเวลาใกล้จะถึงปีใหม่ บนถนนหนทางล้วนครึกครื้นยิ่ง ผู้คนที่เดินทางเข้ามาในตลาดเพื่อจับจ่ายใช้สอยของใช้ในวันปีใหม่มีไม่น้อยทีเดียว ส่วนการค้าของโรงเตี๊ยมกลับดูเงียบเหงาผิดสามัญ เนื่องจากผู้คนที่ออกมาทำงานต่างเมืองล้วนกลับไปร่วมเทศกาลปีใหม่กับครอบครัวที่บ้านเดิม ผู้ที่เดินทางอยู่ข้างนอกเช่นหลินชิงเวยและเซียวอี้พบเห็นได้น้อยมาก
หลินชิงเวยและเซียวอี้มาถึงเมืองแห่งนี้ในยามกลางวัน เมื่อมาถึงได้เห็นความคึกคักของเมืองแห่งนี้ พวกเขาจึงหาโรงเตี๊ยมเพื่อเข้าพักก่อน เมื่อไปถึงที่นั่น มีคนอีกสองคนมาเปิดห้องพร้อมกับพวกเขา
คนผู้นั้นเป็นบุรุษรูปร่างอวบท้วมกำลังโอบกอดสตรีรูปร่างบอบบางนางหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็นเวลากลางวันแสกๆ กลับไม่คิดจะหลบเลี่ยงสายตาผู้คน เมื่อเข้ามาถึงด้านในโรงเตี๊ยมก็เอ่ยกับหลงจู๊ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมว่า “หลงจู๊ เปิดห้องชั้นดีให้ข้าห้องหนึ่ง”
เขาแซงคิวเซียวอี้และหลินชิงเวยด้วยใบหน้ายโสโอหัง เพียงแต่เมื่อสายตากวาดผ่านมาเห็นหลินชิงเวยพลันอดที่จะมองใบหน้าหลินชิงเวยอีกครั้งไม่ได้ สายตานั้นปรากฏรอยยิ้มหยอกเย้าขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงหันไปมองเซียวอี้ที่อยู่ด้านข้าง “คุณชายทั้งสองท่านนี้ อ้อไม่สิ แม่นางน้อยท่านนี้มาเปิดห้องกับผู้อื่นเช่นกันหรือ?”
บนร่างของหลินชิงเวยสวมอาภรณ์ผ้าสำลีของหนุ่มน้อย แต่การจะมองออกว่านางเป็นสตรีนางหนึ่งไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน ผิวพรรณของนางขาวนวลเนียน ติ่งหูยังมีรอยเจาะหู อีกทั้งใบหน้าของนางเป็นบุรุษหรือสตรีนั้นไม่ยากแก่การแยกแยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นบุรุษอันธพาลเจ้าชู้เสเพลที่ผ่านสตรีมานับไม่ถ้วนประเภทนี้ ยิ่งไม่อาจรอดพ้นสายตาของพวกเขาไปได้ เพียงแต่หลินชิงเวยสวมอาภรณ์ของบุรุษเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ต่อให้ถูกมองออกว่าเป็นสตรีก็ไม่ใช่เรื่องประดักประเดิดอันใด
หลินชิงเวยหรี่ตามองบุรุษเสเพลและพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “พวกข้าเป็นคนสัญจรผ่านมา ไม่มีอุปนิสัยเช่นคุณชายท่านนี้ เพียงแต่คนหนุ่มยังคงต้องควบคุมตนเองสักหน่อย ข้าดูคุณชายลมหายใจลอยแผ่ว ภายนอกดูแข็งแรง ทว่าภายในกลับอ่อนแอเกรงว่าร่างกายของท่านใกล้จะเหลือเพียงความว่างเปล่าแล้ว”
คุณชายผู้นั้นไม่โมโห ทว่ากลับหัวเราะ “หึ ยังเป็นคนปากคอเราะรายผู้หนึ่ง”
สตรีในอ้อมกอดเป็นสตรีหน้างดงามเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนนางหนึ่ง เมื่อได้ยินวาจาเช่นนั้นจึงทุบกำปั้นลงบนอกของเขา พร้อมกับพูดเสียงแง่งอน “ท่านชมชอบผู้อื่นแล้วใช่หรือไม่? ในเมื่อเป็นเช่นนี้บ่าวขอลาก่อน จะได้ไม่อยู่ขวางหูขวางตาเรื่องดีๆ ของคุณชาย”
คุณชายผู้นั้นรีบกล่าววาจาปลอบประโลม ชำระเงินค่าห้องรับกุญแจห้องพร้อมพูดกับหลงจู๊ว่า “รีบส่งน้ำร้อนขึ้นไปหนึ่งถังและเตรียมอาหารชั้นดีของร้านเจ้ามาด้วย” หลงจู๊รับคำ เขาจึงโอบกอดสตรีรูปร่างบอบบางราวไร้กระดูกขึ้นบันไดไป
หลินชิงเวยมองเงาร่างด้านหลังของสองคนนั้น ได้ยินคนที่นั่งกินอาหารอยู่ในร้านส่ายหัวกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ ไม่รู้ว่าไปล่อลวงหญิงออกเรือนบ้านใดมาหาความสุข”
แท้จริงแล้วในยุคสมัยโบราณเปิดเผยเช่นนี้ ทันทีที่สบตาก็เปิดห้อง
ต่อมาเซียวอี้และหลินชิงเวยขึ้นบันไดไปชั้นสองของโรงเตี๊ยมเช่นกัน บังเอิญอย่างยิ่งว่าห้องของพวกเขาอยู่ติดกับห้องของคุณชายผู้นั้น ทั้งสองต่างรีบเร่งกินอาหารมื้อเที่ยง เซียวอี้กลับห้องของตนเอง จากนั้นยังไม่ทันรอให้หลินชิงเวยขึ้นเตียงเพื่อพักผ่อน เซียวอี้มาเคาะประตูห้องอย่างกะทันหัน ไม่รอให้หลินชิงเวยตอบคำก็ใช้กำลังภายในซัดดาลประตูจนหักแล้วเผ่นแผล็วเข้ามาในห้อง
เขาหันมามองหลินชิงเวยด้วยดวงตาเปื้อนยิ้ม ทว่าสีหน้ากลับมีความเคร่งเครียดสองส่วน “สุนัขไล่ตามมาอีกแล้ว พวกเขาตามกลิ่นของเจ้ามาตลอดทางหรือไร”
หลินชิงเวยตะลึงงันและรีบเร่งเดินมาถึงข้างๆ ประตูมองลอดช่องประตูออกไปดูด้านนอก เห็นคนชุดดำหลายคนเข้ามาในโรงเตี๊ยมและยืนไต่ถามอยู่ที่โต๊ะเก็บเงินของหลงจู๊
คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมีความอดทนเช่นนี้ เดินทางออกมาไกลเช่นนี้เดิมทีคิดว่าสลัดพวกเขาหลุดเนิ่นนานแล้ว ทว่าถึงกลับไล่ตามมาทันอีก
นางและเซียวอี้อยู่ด้วยกันย่อมไม่จำเป็นให้องครักษ์ลับเหล่านั้นสะกดรอยตามอีก อยู่กับเซียวอี้โดยเปิดอกพูดจากันย่อมดีกว่าเล่นซ่อนหากับพวกเขามากมายนัก
ที่สำคัญที่สุดก็คือนางไม่ปรารถนาให้เซียวจิ่นพบว่านางและเซียวอี้เดินทางร่วมกัน การทำเช่นนั้นไม่ส่งผลดีอันใดต่อนางและเซียวอี้
องครักษ์ลับเหล่านี้แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ ความสามารถในการแกะรอยเหนือธรรมดา ชัดเจนยิ่งนักว่ามิได้เอาแต่นั่งรอคอย เซียวอี้เอ่ยขึ้นว่า “แม้แต่คนของข้าก็ไม่อาจรั้งพวกเขาไว้ได้ เซ่อเจิ้งอ๋องรู้หรือไม่ว่าข้างกายฝ่าบาทยังมีคนเช่นนี้อยู่กลุ่มหนึ่ง?”
หลินชิงเวยสงบใจอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่สู้ท่านเป็นห่วงตัวเองก่อนเถิด”
เซียวอี้หัวเราะ “ก็ใช่ หลานชายตัวน้อยของข้าผู้นั้น แม้กระทั่งในฝันก็ยังปรารถนาให้ข้าตาย พวกเราหนี” พูดแล้วก็ยื่นแขนออกมาโอบรอบเอวหลินชิงเวย ทั้งยังไม่ลืมหยิบห่อผ้าของหลินชิงเวย หันกลับมาก็พุ่งกายออกไปทางหน้าต่าง
เขาอุ้มหลินชิงเวยเปิดหน้าต่างและกระโดดลงไปทันที
เพียงแต่เมื่อกระโดดออกไปแล้วกลับมิได้ลงสู่พื้นในทันที เขาพลันยื่นแขนอีกข้างหนึ่งเกาะกรอบหน้าต่างเอาไว้อย่างไม่กินแรงอันใด คนทั้งคนค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ขาทั้งคู่เหยียบอยู่บนกรอบหน้าต่างของห้องข้างๆ
ลำพังแขนข้างเดียวเขาก็สามารถรับน้ำหนักของตนเองและหลินชิงเวยเอาไว้ได้ จากนั้นพุ่งเข้าไปในห้องข้างๆ ทางหน้าต่างเช่นกัน เขาทำทุกอย่างแผ่วเบาที่สุดด้วยไม่ต้องการทำให้คนในห้องตื่นตระหนก เพียงพริบตาเดียวก็ลงสู่พื้นแล้วหันกายพร้อมกับปิดหน้าต่างกลับไป