ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 60 เสด็จอาร้ายกาจนัก
เซียวจิ่นยิ้มอ่อนโยนและกล่าวว่า “เจิ้นคิดเช่นนี้เช่นกัน เวลานี้หลินเจาอี๋เบิกบานใจขึ้นบ้างหรือไม่?”
หลินชิงเวยกล่าว “เบิกบานใจขึ้นเล็กน้อยเพคะ ฝ่าบาทช่างมีเมตตาและเข้าอกเข้าใจผู้อื่นยิ่งนัก” นางพูดแล้วก็หันไปมองเซียวเยี่ยนที่ยืนหน้าบูดหน้าบึ้งอยู่ที่นั่น นางยิ้มหว่านเสน่ห์เต็มที่ “รบกวนเสด็จอาช่วยเรียกหมอหลวงเข้ามาได้หรือไม่เพคะ ข้าต้องการใช้เข็มเงินในล่วมยาของหมอหลวง”
เซียวจิ่นกล่าว “ไม่ต้องแล้ว บนโต๊ะทางนั้นมีล่วมยาอยู่ใบหนึ่ง เจ้าไปหยิบมาใช้เถิด”
หลินชิงเวยเลื่อนสายตามองข้ามไป เห็นบนโต๊ะตัวนั้นมีล่วมยาขนาดกะทัดรัดใบหนึ่งวางอยู่ ล่วมยาใบนี้แตกต่างจากล่วมยาของหมอหลวง ดูกะทัดรัดสักหน่อย ดูไปแล้วไม่เหมือนล่วมยา ดังนั้นหลินชิงเวยจึงไม่ได้สังเกตเห็นตั้งแต่แรก
หลินชิงเวยหิ้วล่วมยาข้ามมา สิ่งของข้างในนั้นมีน้ำหนักพอตัว เมื่อเปิดออกดูนางถึงกับทึ่มทื่อไปเลยทีเดียว ข้างในนั้นมีชั้นในสามชั้นชั้นนอกสามชั้น อย่าได้ดูว่าล่วมยาใบนี้เหมือนจะเล็ก ทว่าด้านในกลับมีช่องมากมายวางสิ่งของได้ไม่น้อย หลินชิงเวยหยิบกระเป๋าผ้าสำหรับใส่เข็มเงินเปิดออกดูก่อน ข้างในมีเข็มเงินขนาดต่างๆ มันสะท้อนแสงวิบวับ อีกทั้งล้วนเป็นของใหม่ทั้งสิ้น ทำให้ดวงตาของหลินชิงเวยเป็นประกายขึ้นทันที
เซียวจิ่นกล่าวอีกว่า “เมื่อวานได้ยินเจ้าเอ่ยถึง เจิ้นเองคิดว่าเจ้าควรจะมีล่วมยาเป็นของตนเองสักใบ เช่นนี้เจ้าพอใจหรือไม่?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินชิงเวยงดงามดึงดูดสายตายิ่งนัก “ไม่อาจพอใจได้มากไปกว่านี้แล้วเพคะ เชิญฝ่าบาทนอนลงเพคะ หม่อมฉันจะปรนนิบัติฝ่าบาทให้สบายเนื้อสบายตัวไปทั้งร่างเลยทีเดียวเพคะ” พูดแล้วนางก็ยื่นมือทั้งสองข้างออกมาเป็นกรงเล็บ ทำท่าบีบนวด และกล่าวอย่างทะลึ่งตึงตังว่า “ยามนี้หม่อมฉันจะปลดเสื้อผ้าอาภรณ์ของฝ่าบาทแล้วนะเพคะ”
เซียวจิ่น “…”
เซียวเยี่ยนกล่าวเสียงเย็นว่า “ให้เปิ่นหวางทำเถิด”
“ไม่ต้อง ให้เจิ้นทำเองดีกว่า” เซียวจิ่นยกมือทั้งคู่ของตนปลดเสื้อคลุมชั้นนอกของตนออก เพียงแต่เขาไม่อาจถอดกางเกงของตนได้ ด้วยขาทั้งสองข้างมิอาจงอเพื่อยกขึ้นมาได้ ไม่รอการช่วยเหลือจากเซียวเยี่ยน หลินชิงเวยลงมืออย่างรวดเร็ว นางจับเอวกางเกงของเซียวจิ่นมั่นมือ จากนั้นปลดกางเกงของเขาลง
หลินชิงเวยมีสีหน้าประหลาดใจ “ได้ ครานี้ไม่อาจทักทายกับสหายน้อยของฝ่าบาทได้แล้วเพคะ”
เซียวจิ่นยังกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนดังเดิม “เจิ้นคิดว่า เช่นนี้แล้วก็ไม่ต้องปลดกางเกงชั้นในกระมัง ยังเป็นเสด็จอาที่สอนวิธีการนี้ให้กับเจิ้น”
หลินชิงเวยหันหน้าไปถลึงตาใส่เซียวเยี่ยนครั้งหนึ่ง เซียวเยี่ยนกล่าวว่า “หลินเจาอี๋ตั้งใจถวายการรักษาฝ่าบาทเถิด ส่วนเรื่องเหล่านั้นที่จะมีหรือไม่มีนั้น คิดให้น้อยจะดีที่สุด”
“สิ่งใดที่ว่ามีหรือไม่มี?” เสียงหัวเราะของหลินชิงเวยพร่างพราวไปด้วยเสน่ห์จับใจผู้คน “เสด็จอาร้ายกาจยิ่งนัก!”
เซียวเยี่ยน “…”
จากนั้นหลินชิงเวยนั่งลงริมเตียงนอนของเซียวจิ่น นางเอ่ยขึ้นทั้งที่มิได้หันหน้ามาว่า “รบกวนเสด็จอาจุดเทียนมาวางไว้ข้างมือหม่อมฉันได้หรือไม่?”
การกระทำของเซียวเยี่ยนรวดเร็วยิ่งนัก ปลายนิ้วทั้งสิบของหลินชิงเวยจับเข็มเงินเอาไว้ นางลนปลายเข็มกับเปลวไฟ จากนั้นฝังลงบนร่างกายของเซียวจิ่น ไม่อาจประเมินนางต่ำไปจริงๆ ลำพังเพียงแค่การฝังเข็มก็เพียงพอที่จะทำให้หมอหลวงทั้งสำนักหมอหลวงต้องอยู่อย่างอับอายขายหน้า
หลินชิงเวยขับเลือดที่มีพิษในร่างกายของเซียวจิ่นออกมาได้อีกคำหนึ่ง
ต่อมาเซียวจิ่นจึงพักผ่อนอยู่ในตำหนักบรรทม หลินชิงเวยเก็บล่วมยาออกไปนอกตำหนักบรรทม นางเอ่ยถามเซียวเยี่ยนว่า “พิษที่เหลืออยู่ในร่างกายของฝ่าบาท ส่วนหนึ่งเป็นพิษที่สะสมจากการที่หมอหลวงใช้ยาไม่ถูกกับโรคมาโดยตลอด อีกส่วนหนึ่งก็คือพิษที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เสด็จอาทราบหรือไม่ว่าด้วยเหตุใดร่างกายของฝ่าบาทจึงได้มีโรครุมเร้าเช่นนี้?”
เซียวเยี่ยนกล่าว “เจ้าสอบถามเรื่องเหล่าเพื่ออันใดกัน?”
หลินชิงเวยกล่าว “ต้องรู้สาเหตุที่แท้จริงของโรคจึงจะใช้ยาให้ถูกกับโรค”
เซียวเยี่ยนหลุบตาลงมองหน้านาง “เปิ่นหวางว่าเจ้าเพียงแต่อยากรู้อยากเห็นมากกว่า”
หลินชิงเวยยิ้มจนตาหยี เสียงหัวเราะของนางเหมือนลูกแมวน้อยเกียจคร้านตัวหนึ่ง “เสด็จอาช่างเข้าใจหม่อมฉันยิ่งนัก”
“ฮึ เมื่อคืนเปิ่นหวางทำสิ่งของหายไป”
“เอ๊ะ ท่านอ๋องไฉนจึงไม่ระมัดระวังเช่นนี้ ระยะนี้มักจะทำสิ่งของตกหล่นเสมอ?” หลินชิงเวยกล่าวซ้ำเติม “ครั้งนี้ท่านอ๋องทำสิ่งของอันใดตกหล่นเล่า? เป็นของล้ำค่าอีกหรือ?”
เซียวเยี่ยนหรี่ตามองนางอย่างเย็นชาพลางกล่าวอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “เป็นเครื่องประดับสวมเอว เปิ่นหวางไม่เชื่อว่าไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า”
หลินชิงเวยแตะคางของตนและกล่าวราวกับกำลังครุ่นคิด “ที่ท่านพูดถึงเป็นหยกทรงกลมสีม่วงชิ้นหนึ่งใช่หรือไม่? งดงามไม่เลว แต่มันตกเป็นของเจ้าของคนใหม่แล้ว”
“เจ้าคืนสิ่งของมาจะดีที่สุด”
หลินชิงเวยเอนกายเข้าใกล้เซียวเยี่ยน นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “เมื่อคืนนี้ใครใช้ให้เสด็จอารังแกข้าเล่า นั่นเป็นเพียงการชดเชยอย่างหนึ่ง แหะๆ วันนี้ข้าไม่ได้นำติดตัวมาด้วย ท่านต้องการสิ่งของคืน ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้”
เซียวเยี่ยนโกรธเสียจนไม่อาจเอ่ยวาจาออกมาได้
หลินชิงเวยฮัมเพลงแล้วประสานมือไว้ด้านหลังพร้อมกับทำทีจะเดินจากไป จะมาแข่งหน้าหนากับพี่สาวเช่นนั้นหรือ เจ้ายังอ่อนหัดไปหน่อย
“ยืนอยู่ตรงนั้น” เซียวเยี่ยนร้องเรียกอยู่ด้านหลัง
หลินชิงเวยหันกลับไป กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เสด็จอายังมีอะไรจะชี้แนะ?”
เซียวเยี่ยนก้าวเข้ามาสองก้าว ยืนอยู่บนระเบียงทางเดินกับนาง อากาศในวสันตฤดูของวันนี้แจ่มใสนัก แสงแดดที่ส่องผ่านมุมชายคาเรือนสะท้อนกลับมาบนพื้น หลินชิงเวยสวมกระโปรงสีเขียวอ่อน ขับให้ผิวพรรณของนางยิ่งขาวผ่อง ผมหน้าม้าที่งองุ้มลงเล็กน้อยแนบติดไปกับหน้าผากของนาง ดวงตาที่อยู่บนใบหน้านั้นเจิดจ้ากว่าแสงแดดในวสันตฤดู
“เปิ่นหวางได้ยินมาว่า เมื่อคืนจ้าวเฟยไปเยือนตำหนักของเจ้า ถูกงูกัดใช่หรือไม่?”
“ข่าวของเสด็จอาช่างรวดเร็วแม่นยำจริงๆ” หลินชิงเวยกล่าว “เสด็จอามีราชกิจล้นมือ ไม่เพียงแต่ต้องยุ่งอยู่กับงานในราชสำนัก ยังต้องมากังวลเรื่องภายในตำหนักใน ใช่แล้วอย่างไรเล่า? จ้าวเฟยควรจะได้รับบทเรียน งูที่กัดนางนั้นไม่มีพิษ หาไม่แล้ววันนี้จะต้องเตรียมงานศพของจ้าวเฟยเป็นแน่”
เซียวเยี่ยนกล่าวเสียงหนักปนเปไปด้วยการตักเตือน “เปิ่นหวางไม่ใช่เคยพูดกับเจ้าแล้วหรือไร ให้เจ้าเก็บสิ่งของเหล่านั้นให้ดี เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ถวายการรักษาพระอาการของฮ่องเต้แล้ว เจ้าจะกระทำการตามอำเภอใจได้อย่างนั้นหรือ?”
หลินชิงเวยตื่นตะลึง “เสด็จอาพูดเช่นนี้ไม่มีเหตุผล เป็นจ้าวเฟยเองที่มารนหาที่ถึงที่ ไม่ใช่ข้าสั่งให้งูไปหานาง อีกทั้งนางยังต้องการจะวางเพลิงเผาแปลงสมุนไพรที่ข้าปลูกขึ้นมาอย่างมิง่ายดาย แล้วยังเตรียมจะกระทำการรังแกข่มเหงซินหรูของข้า ในวังหลวงแห่งนี้ข้ามิอาจพึ่งพาอาศัยผู้ใดได้ ยิ่งไม่ต้องคาดหวังว่าเสด็จอาจะช่วยเหลือข้า ข้าช่วยตนเองด้วยตนเองก็มีความผิด?” นางมองตาเซียวเยี่ยน “ให้จ้าวเฟยทำลายความทุ่มเทกายใจของข้าให้มอดไหม้ แล้วเผาข้าและซินหรูจนกลายเป็นศพสองศพ เสด็จอาจึงจะพอใจใช่หรือไม่?”
ดูเหมือนนางจะเข้าใจความหมายของเขาผิดไปแล้ว…
เขาดูเหมือนจะฟังออกถึงความเคียดแค้นของนาง ด้วยคิดว่าเขากล่าวโทษนางเพราะจ้าวเฟย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้เขาก็คร้านที่จะอธิบาย
หลินชิงเวยยังคงกล่าวอีกว่า “อ้อ ข้ากระจ่างแจ้งแล้ว เสด็จอามาซักไซ้ไล่เรียงความผิดของข้า หรือระหว่างจ้าวเฟยและเสด็จอาก็มีความเกี่ยวข้องกันเช่นกัน? ข้าดูแล้วจ้าวเฟยผู้นั้นแม้จะมิได้มีรูปโฉมงดงามประดุจเทพเซียน แต่ก็ถือได้ว่าไม่เลวเลยทีเดียว เสด็จอาจะชมชอบนางก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ เพียงแต่เสด็จอาคงต้องควบคุมตนเองสักหน่อย จ้าวเฟยเป็นผู้หญิงของฝ่าบาท”
หลินชิงเวยพูดแล้วก็หัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย
เซียวเยี่ยมโมโหจนแทบจะกระอักเลือด “หากเจ้ายังพูดจาส่งเดชอีก เปิ่นหวางคงต้องพิจารณาจริงๆ แล้วว่าควรจะเย็บปากของเจ้า!”