ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 68 เสด็จลานประหาร
หลินชิงเวยก้าวเข้ามาเก็บหนังสือบนพื้น เก็บได้สองเล่มพลันถูกเซียวจิ่มกุมมือเอาไว้ เขากล่าวว่า “ไม่ต้องเก็บแล้ว ระวังจะถูกเศษกระเบื้องบาดมือ”
หลินชิงเวยกล่าว “ฝ่าบาทโมโหโทโสเช่นนี้ จะร้อนในโดยง่าย ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพของพระองค์นะเพคะ” เจ้าเด็กคนนี้พยายามอย่างยิ่งที่จะปิดบังความเกรี้ยวกราดของตน ดูท่าแล้วในยามปกติเก็บอัดไว้ดียิ่ง เป็นฮ่องเต้องค์หนึ่งไฉนจะไม่มีเรื่องหงุดหงิดใจเล่า อีกทั้งเขายังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง
ในเรื่องนี้หลินชิงเวยเข้าใจยิ่ง
เซียวจิ่นกล่าว “เมื่อสักครู่ที่เจ้าเข้ามา ล้วนเห็นแล้ว? ขุนนางใหญ่เหล่านั้น คุกเข่าอยู่หน้าประตูตำหนักของเจิ้น ขอความเมตตาให้กับครอบครัวกู้ซื่อ คดีของกู้ซื่อมีหลักฐานพร้อมมูล เจิ้นเชื่อว่าเสด็จอาไม่มีทางใส่ร้ายเขาเด็ดขาด”
“เช่นนั้นฝ่าบาทจะทรงกริ้วอันใดเล่า?”
เซียวจิ่นอึกอัก “เจิ้นโกรธพวกเขา ที่พวกเขาคิดว่าเจิ้นเป็นฮ่องเต้ทรราช”
หลินชิงเวยหัวเราะและกล่าวว่า “อำนาจการตัดสินใจว่าจะให้มีชีวิตอยู่หรือประหารชีวิตอยู่ในมือของเสด็จอา เวลานี้ฝ่าบาทจะทรงกริ้วไปก็ไร้ประโยชน์เพคะ ขุนนางใหญ่เหล่านั้นมาคุกเข่าที่นี่ยิ่งไร้ประโยชน์ยิ่งกว่า ฝ่าบาทไม่สู้ให้พวกเขาไปคุกเข่าที่เสด็จอาทางนั้นเพคะ”
เมื่อฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาลงมา ขุนนางใหญ่ที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูตำหนักเหล่านั้นขอความเมตตาอยู่อีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่บังเกิดผลอันใด ดังนั้นจึงได้แต่ลุกขึ้นจากไปเพื่อรีบรุดไปคุกเข่าที่เซ่อเจิ้งอ๋อง
ดวงตะวันค่อยๆ เคลื่อนตัวสูงขึ้น ผืนปฐพีแปรเปลี่ยนเป็นสว่างสดใส ดอกไม้ภายในเรือนจึงอบอุ่นตามสภาพอากาศ พากันบานสะพรั่งออกชั้นแล้วชั้นเล่า
ทว่าเซียวจิ่นอ่านหนังสือไม่เข้าสมองแม้แต่น้อย และไม่อยากอนุมัติฎีกา ชัดเจนยิ่งนักว่าจิตใจของเขาไม่สงบ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับคดีใหญ่ที่สุดตั้งแต่ขึ้นครองราชย์มา กู้ซื่อทั้งตระกูลเป็นชีวิตคนร้อยกว่าคน ไม่ใช่ละครเด็กเล่น
หลินชิงเวยกล่าว “ฝ่าบาท ใกล้ยามอู่แล้ว ให้ขึ้นพระกระยาหารเลยหรือไม่เพคะ?”
ในที่สุดเซียวจิ่นก็ปิดหนังสือที่เขาอ่านไม่รู้เรื่องในมือเล่มนั้นลง จิตใจกระวนกระวายของเขาสงบลงด้วยเขาได้ตัดสินใจในเรื่องบางอย่างได้แล้ว เขาหันมามองหลินชิงเวย “ไม่ต้องแล้ว เจิ้นจะออกจากวัง”
“…”
“เจิ้นจะไปลานประหาร”
หลินชิงเวยกล่าว “พระวรกายของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงแน่พระทัยนะเพคะว่าเสด็จลานประหารได้?” เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่ยืนกรานของเด็กคนนี้ นางได้แต่กล่าวว่า “ได้เพคะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันจะไปเรียกคนมาเก็บข้าวของ”
เซียวจิ่นหันกายกลับมาพร้อมกล่าวว่า “เจิ้นต้องการให้เจ้าออกไปพร้อมกับเจิ้น”
“หม่อมฉันไม่อยากไปเพคะ” นางมิได้ป่วยสักหน่อยที่กินอิ่มเกินแล้วไปหาความรื่นรมย์ที่ลานประหาร โทษประหารตัดคอในยุคสมัยโบราณ ลำพังแค่คิดก็เพียงพอแล้ว นางไม่อยากกินข้าวไม่ลงหลายวันติดกันหลังจากกลับมา
อีกทั้งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสลดหดหู่น่าเวทนา เป็นเรื่องที่นางซึ่งมาจากยุคสมัยปัจจุบันคนหนึ่งมิอาจยอมรับได้
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงปฏิเสธเซียวจิ่นอย่างไม่เกรงกลัว
ทว่าเซียวจิ่นกลับเอ่ยขึ้นว่า “เจิ้นสุขภาพไม่ดี หากออกไปแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้น เสด็จอาไม่มีทางปล่อยเจ้าเอาไว้”
หลินชิงเวยหรี่ตาลงแล้วหันกายกลับมาจ้องหน้าเซียวจิ่น “ฝ่าบาทเริ่มยกเซ่อเจิ้งอ๋องมาข่มขู่หม่อมฉันแล้วหรือเพคะ?”
เซียวจิ่นคลี่ยิ้มอ่อนโยน “เจิ้นเพียงแค่ล้อเล่นกับเจ้าเท่านั้น ขอเพียงมีเจ้าอยู่ด้วย อย่างน้อยเจิ้นก็สบายใจขึ้นบ้าง”
“แต่หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง ไหนเลยจะไปปรากฏกายที่นั่นได้? ฝ่าบาทไม่เกรงกลัวว่าจะถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์หรือเพคะ?”
รอยยิ้มของเซียวจิ่นไม่ลดลงแม้แต่น้อย “ยังไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น”
ดังนั้นหลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลินชิงเวยอยู่ในชุดของขันที ใบหน้ากล้ำกลืนของนางปรากฏอยู่เบื้องหน้าเซียวจิ่น
สวรรค์ เหตุใดนางจึงรับปาก นี่มิใช่การออกไปเที่ยวเล่นธรรมดานะ!
สภาพอากาศในวันนี้ดูเหมือนจะรับรู้ว่าเป็นวันลงโทษประหาร แสงแดดจากดวง9t;yoเจิดจ้า เซียวจิ่นนั่งอยู่บนเสลี่ยงมังกร มีองครักษ์คุ้มกันแน่นหนา ออกจากวังหลวงไปอย่างเต็มพิธีการ
หลินชิงเวยในฐานะของขันทีคนสนิทของเซียวจิ่น อยู่ในขบวนม้าที่ล้อมหน้าล้อมหลัง
“ฝ่าบาทช่างใช้สอยผู้คนได้เปรื่องปราชญ์ยิ่งนัก ให้เงินเดือนเพียงตำแหน่งเดียว แต่ให้หม่อมฉันทำงานสามหน้าที่”
เซียวจิ่นกล่าวกลั้วหัวเราะ “แล้วเจิ้นจะขึ้นเงินเดือนให้เจ้า”
ลานประหารซึ่งเป็นสถานที่ลงทัณฑ์เหล่าขุนนางอยู่ประตูเจิ้งเสวียน ที่นั่นในทุกๆ ยามอู่ ดวงตะวันที่สาดส่องลงมาทำให้เงาที่เกิดขึ้นสั้นที่สุด เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความชอบธรรม ด้วยเหตุนี้มแเซียวจิ่นกล่าวว่าตนเองต้องการออกไปจากตำหนัก ทว่ากลับมิได้ออกจากวังหลวงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยมากนัก
หาไม่แล้วหากพาเขาออกไปเดินเล่นบนถนนนอกวัง อาจพบกับมือสังหารได้โดยบังเอิญ ศีรษะของหลินชิงเวยก็ไม่ต้องรักษาไว้แล้ว
มาถึงประตูเจิ้งเสวียนเมื่อมองออกไป ลานจัตุรัสโล่งอันกว้างใหญ่ บันไดภายในประตูเจิ้งเสวียน ราวบันไดหินล้วนให้ความรู้สึกเคร่งขรึม มุมที่ประทับที่ตั้งตระหง่านอยู่บนที่สูงนั้นยิ่งให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่เกรียงไกรและทรงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่
และอีกด้านหนึ่งของบันไดหินของบนลานจัตุรัส ด้านล่างมีนักโทษคุกเข่าอยู่เป็นแถว พวกเขาสวมชุดนักโทษสีขาว ข้างกายของนักโทษมีมือเพชฌฆาตรูปร่างกำยำแบกดาบไว้บนหลังส่องประกายวาววับอยู่ทุกคน
นักโทษเหล่านั้นตั้งแต่หัวแถวไปจนถึงท้ายแถว อายุมากที่สุดราวๆ หกเจ็ดสิบปี อายุน้อยที่สุดราวๆ หกเจ็ดขวบ บรรยากาศภายในลานประหารเยียบเย็น
“ฝ่าบาทเสด็จ–”
เซียวเยี่ยนในฐานะของขุนนางผู้ตัดสินโทษในคดีนี้ กำลังยืนอยู่ในตำแหน่งตรงกลาง เขาอยู่ในอาภรณ์ชุดขุนนางสีม่วง เส้นผมสีดำราวกับน้ำหมึกของเขาถูกรัดตรึงด้วยเกี้ยวหยกสีเขียวอ่อน สีหน้าท่าทางที่ปรากฏบนใบหน้าเต็มไปด้วยความเยือกเย็น คมสันทว่าแข็งแกร่ง
เมื่อได้ยินเสียงขันทีร้องขาน ใบหน้าของเซียวเยี่ยนปรากฎให้เห็นความประหลาดใจ
เขาหันกลับไปมองและพบว่าท่ามกลางขบวนของขันที เซียวจิ่นกำลังถูกยกเข้ามา บรรดาขุนนางและเหล่าองครักษ์ที่อยู่ในลานประหารต่างพากันคุกเข่าเพื่อรับเสด็จ
ทว่าเซียวเยี่ยนกลับยืนขึ้นมา ยังมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายเขา ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้ม กล่าวขึ้นอย่างไม่ประสงค์ดีว่า “ครานี้ท่าจะสนุก”
เซียวเยี่ยนเดินลงไป เซียวจิ่นลงมาจากเสลี่ยงมังกร ถูกประคองให้นั่งลงบนเก้าอี้รถเข็นของเขา เก้าอี้รถเข็นถูกเข็นโดยหลินชิงเวย หลินชิงเวยอยู่ในอาภรณ์ของขันทีน้อย รูปร่างของนางเล็กแบบบางอย่างยิ่ง ผิวพรรณของนางทั้งขาวและส่องประกายอ่อนเยาว์ประดุจดอกหลี
เซียวเยี่ยนมองเซียวจิ่น สายตาของเขาเลื่อนขึ้นตกลงบนร่างของหลินชิงเวย เขามองเพียงแวบเดียวก็จดจำหลินชิงเวยได้ในทันที ดวงตาหงส์คู่นั้นเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ความเกรี้ยวกราดที่เขาไม่เคยมีต่อหลินชิงเวย
ความเกรี้ยวกราดที่แล้วๆ มานั้นเป็นเพียงความโมโหโทโสเล็กๆ น้อยๆ ทว่าความเกรี้ยวกราดในเวลานี้จึงจะเป็นความเกรี้ยวกราดใหญ่โต
เขากล่าวเสียงต่ำ “เจ้ามีชีวิตอยู่นานเกินไปแล้วใช่หรือไม่ ใครให้ความกล้าหาญเช่นนี้กับเจ้า! เปิ่นหวางให้เจ้าดูแลฝ่าบาทให้ดี เจ้ากลับกล้าหาญถึงกับพาฝ่าบาทมาที่นี่! เจ้าคิดว่าตนเองอยู่ในฐานะอะไร ที่นี่คือฝ่ายหน้าเป็นสถานที่ที่เจ้ามาได้หรือไร?!”
แม้หลินชิงเวยจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว ทว่าเมื่อถูกเซียวเยี่ยนตวาดใส่นางเยี่ยงนี้ นางยังคงตื่นตะลึงอยู่บ้าง เวลานี้มิใช่เวลาที่นางจะมาต่อปากต่อคำกับเซียวเยี่ยน ต่อให้ภายในใจมีโทสะ ก็ไม่อาจไม่อดทนอดกลั้นเอาไว้
ดูเถิด ไม่มาก็ไม่ได้ มาแล้วก็ไม่ได้ นางมีสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน! ท่านอ๋องร้ายกาจคนหนึ่ง มีอะไรเก่งกาจ!
เซียวจิ่นกล่าว “เสด็จอาอย่าได้กล่าวโทษนาง เป็นเจิ้นที่ยืนกรานจะมาให้ได้ และเป็นเจิ้นเองที่ยืนกรานจะพานางมาด้วย”
ต่อมาบุรุษคนนั้นจึงเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน เอ่ยขึ้นว่า “กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท ต่อให้เซ่อเจิ้งอ๋องไม่พอใจยิ่งกว่านี้ แต่กระหม่อมคิดว่าอย่างไรฝ่าบาทก็ควรเสด็จมาพ่ะยะค่ะ ฝ่าบาทเติบโตขึ้นไม่น้อย เซ่อเจิ้งอ๋องจะทำเหมือนไม่ให้ฝ่าบาทมีส่วนร่วมในทุกเรื่องเช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะยะค่ะ”
คำพูดประโยคนี้ฟังแล้วดูเหมือนใช่และเหมือนไม่ใช่
หลินชิงเวยอดที่จะเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ เห็นบุรุษคนนั้นแต่งกายด้วยอาภรณ์ผ้าแพรสูงศักดิ์ไปทั้งตัว บนใบหน้านั้นยังปรากฏรอยยิ้มแฝงความหมายอื่น รูปร่างหน้าตาของเขาหล่อเหลาเอาการ ทว่าคำพูดแต่ละประโยคและพฤติกรรมแต่ละอย่างของเขากลับให้ความรู้สึกไม่น่าไว้วางใจชนิดหนึ่งกับผู้คน
ใจของนางวูบโหวง บุรุษคนนี้…เหมือนจะเคยพบที่ไหนมาก่อน
ยังไม่รอให้หลินชิงเวยถอนสายตากลับมา ชายหนุ่มคนนั้นก็มองข้ามมา ประจวบเหมาะจับได้ว่านางเองก็มองเขาอยู่เช่นกัน รอยยิ้มบนริมฝีปากจึงกดลึกขึ้น “ขันทีน้อยข้างกายฝ่าบาทเป็นขันทีที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่หรือพ่ะยะค่ะ หน้าตาอ่อนเยาว์ยิ่งนัก เพียงแต่ดูแล้วรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้างพ่ะยะค่ะ”
อ่อนเยาว์อะไรของเจ้า!