ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 75 จิตใจละเอียดอ่อนประดุจเถ้าธุลี
หลินชิงเวยยกมือขึ้นดึงรากของต้นไทรที่ห้อยตกลงมา จากนั้นนำรากของต้นไทรเหล่านั้นม้วนเก็บขึ้นมาทำเป็นเชือกที่แข็งแรงเส้นหนึ่ง นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เมื่อสักครู่หากเจ้าไม่มีความคิดชั่วร้าย ข้าอาจจะไตร่ตรองเรื่องไว้ชีวิตของเจ้า แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าสุนัขไม่อาจเปลี่ยนนิสัยกินอาจมมิใช่รึ?”
หลินชิงเวยหันหลังให้เขา ให้ชิงหลันพันรัดลำคอขององครักษ์ตามอำเภอใจ ยิ่งรัดยิ่งแน่น องครักษ์เริ่มออกแรงดิ้นรนต่อสู้ เขาหายใจอย่างยากลำบาก จึงอ้าปากกว้างเพื่อช่วยในการหายใจ เขาคิดถึงกระบี่ที่ข้างเอวของตนจึงยื่นมือลูบไปที่ลำเอว ทันทีเขาดึงกระบี่ออกมาเสียงของโลหะเยียบเย็นสัมผัสโสตประสาท หลินชิงเวยดึงปิ่นปักผมที่อยู่บนศีรษะ หันกลับมาแทงลงบนหลังมือขององครักษ์เต็มแรง
โลหิตสดๆ ไหลออกมา คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอุ่นๆ
ทันทีที่องครักษ์ได้รับความเจ็บปวดจึงหดมือกลับไป แม้กระทั่งเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านก็ไม่เหลือได้แต่ยอมรับชะตากรรม
ลมหายใจขององครักษ์รวยริน ดวงตาเบิกกว้าง สติสัมปชัญญะสะลึมสะลือในที่สุด ร่างกายของเขายังคงอุ่นอยู่ เพียงแค่สัมผัสถูกร่างของเขาหลินชิงเวยก็รู้สึกว่าสกปรก ชิงหลันคลายร่างของตน เลื้อยกลับเข้ามาในแขนเสื้อของหลินชิงเวย หลินชิงเวยประคองร่างขององครักษ์ขึ้นมาอย่างมืออาชีพ นำเชือกที่นางทำเป็นบ่วงบาศก์รัดเข้ากับลำคอของเขาแล้วแขวนขึ้นไปบนต้นไทร
ดีที่ใต้ต้นไทรยังมีก้อนหินให้นางได้เหยียบ อีกทั้งองครักษ์คนนี้มีรูปร่างผอมบางอยู่เดิม หาไม่แล้วด้วยรูปร่างบอบบางเช่นหลินชิงเวย คงยากที่นางจะแขวนร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งขึ้นไปบนต้นไม้ได้
หลังจากแขวนร่างเขาขึ้นไปแล้ว หลินชิงเวยใช้เท้าเตะก้อนหินก้อนนั้นออก ร่างขององครักษ์จึงแขวนเติ่งอยู่กลางอากาศ
นางยืนมองอยู่ใต้ต้นไม้ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจากไป ในมือของนางยังกำปิ่นปักผมที่นางใช้ปักลงบนหลังมือขององครักษ์คนนั้นจนทะลุ
ต่อมานางเดินมุ่งหน้าไปตามทางเล็กๆ นางเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาตามเส้นทางเล็กๆ นั้น ในที่สุดนางก็หาทางออกพบและมาถึงริมสระไท่เยี่ยจนได้
นางยืนอยู่ริมสระไท่เยี่ยครู่หนึ่ง สายลมยามราตรีพัดกระโปรงของนางให้สะบัดพลิ้วส่งผลให้นางรู้สึกหนาวเล็กน้อย นางหรี่ตามองออกไป เห็นผิวน้ำในสระอันกว้างใหญ่ดูคล้ายปากขนาดมหึมาของมนุษย์ที่กลืนกินผู้คน สงบนิ่งทว่าอ้างว้างวังเวง
นางเดินไปข้างหน้าอีกสองก้าวเข้าใกล้ริมสระ จากนั้นยกมือขึ้นขว้างปิ่นปักผมในมือลงในสระแล้วก้มลงดูรอยเลือดที่ติดอยู่บนมือ จึงนั่งยองๆ ลงไปใช้น้ำในสระล้างคราบเลือดจนสะอาดสะอ้าน จากนั้นยืดกายขึ้นแล้วเดินกลับไปยังตำหนักฉางเหยี่ยน
ยามนี้ซินหรูเห็นว่าเนิ่นนานเช่นนี้แล้วหลินชิงเวยไม่ยังกลับมา นางเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ นางไปสอบถามที่ตำหนักซวี่หยางมาแล้ว หลินชิงเวยออกจากตำหนักซวี่หยางในเวลาเที่ยงวัน แต่ไม่ได้กลับมายังตำหนักฉางเหยี่ยน เช่นนั้นยามนี้นางจะอยู่ที่ใดกัน?
ซินหรูและปี้หลิงออกไปตามหาคนทั้งคืน หลินชิงเวยกลับมาถึงตำหนักฉางเหยี่ยนในเวลานี้เอง
แม้ปี้หลิงจะปรนนิบัติเจ้านายอย่างรู้งานดียิ่ง ทว่าความสามารถในการสังเกตสังกากลับมีไม่มากพอ ไม่สู้ซินหรูที่มีเต็มไปด้วยความระมัดระวังและมีจิตใจละเอียดถี่ถ้วนประดุจเถ้าธุลี ขณะนี้หลินชิงเวยกลับมาแล้ว ซินหรูเอ่ยกับปี้หลิงว่า “พี่ปี้หลิงไปช่วยตักน้ำมาให้พี่สาวอาบน้ำก่อนเถิด”
น้ำร้อนได้เตรียมไว้นานแล้ว
ปี้หลิงรับคำแล้วออกไป ซินหรูคล้องแขนเข้ากับแขนของหลินชิงเวยแล้วเดินเข้าห้องไป เพียงไม่นานปี้หลิงเดินนำหน้านางกำนัลที่หิ้วน้ำร้อนเข้ามา ซินหรูรอรับอยู่หน้าประตู นางกล่าวอีกว่า “ในเมื่อพี่สาวกลับมาแล้วย่อมไม่จำเป็นต้องกังวลอันใดอีก ที่นี่มีข้าดูแลอยู่พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเร็วหน่อยเถิด”
ปี้หลิงพยักหน้ารับคำ “ได้ หากต้องการสิ่งใดค่อยเรียกพวกเรา”
ซินหรูกล่าวอย่างมีมารยาท “อืม ขอบคุณพี่ปี้หลิงเจ้าค่ะ”
ซินหรูอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนไม่นับว่าเป็นบ่าว นางเรียกหลินชิงเวยว่าพี่สาว คนในตำหนักล้วนต้องให้เกียรตินางสองส่วน เพียงแต่นางมิได้วางท่าว่าตนเป็นเจ้านาย อีกทั้งยังทำงานอย่างขยันขันแข็งด้วยความเต็มใจ มีนางดูแลหลินชิงเวย งานของปี้หลิงลดลงไม่น้อย อีกทั้งนางยังถ่อมตนและรู้ธรรมเนียมมารยาท คนในวังล้วนชมชอบนาง
ซินหรูปิดประตู หันกายกลับมาเทน้ำร้อนลงในถังอาบน้ำ “พี่สาวรีบมาอาบน้ำเถิดเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยเดินมาทางห้องอาบน้ำ นางเดินเข้ามาพร้อมกับปลดอาภรณ์ออกไปด้วย บนเสื้อของนางมีรอยเลือดเป็นหยดๆ ปรากฏชัดเจนบนผ้าสีเขียวอ่อน ปรากฏให้เห็นเป็นรอยสีเข้มและจาง
ซินหรูเห็นแล้วใบหน้าเล็กๆ ในวัยเยาว์ของนางปรากฏให้เห็นความสุขุมของผู้ใหญ่
หลินชิงเวยก้าวเท้าเข้าไปในน้ำร้อน นางกอบน้ำร้อนมาล้างใบหน้าของตนเป็นลำดับแรก ซินหรูหยิบผ้าขนหนูมาซับน้ำให้เปียกช่วยหลินชิงเวยขัดถูรอยเลือดที่จางลงเพราะสายน้ำกระทั่งไม่เหลือร่องรอยอันใด
“พี่สาวท่าน…”
ยังไม่ทันได้กล่าวออกไปก็ถูกหลินชิงเวยย้อนกลับไปว่า “เจ้าไม่อยากรู้ดอกว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น กลับไปเข้านอนเถิด พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าตรู่ ต่อไปอีกหลายวันเจ้ายังต้องรับผิดชอบไปต้มยาสมุนไพรให้ฝ่าบาทอาบน้ำแช่ตัวที่ตำหนักซวี่หยางทุกวัน เรื่องเหล่านั้นที่ข้าสอนเจ้า เจ้าเชี่ยวชาญดีแล้วกระมัง”
ซินหรูตื่นตะลึง ถามว่า “พรุ่งนี้พี่สาวไม่ไปพร้อมกับข้าหรือเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยกล่าวอย่างสงบว่า “ไม่ไปแล้ว พี่สาวเพียงแค่รับปากเซ่อเจิ้งอ๋องช่วยรักษากระทั่งเด็กคนนั้นไข้ลดลง ยามนี้ไม่มีอะไรต้องกังวลย่อมไม่ติดค้างสิ่งใดต่อพวกเขา เจ้าไปทำภารกิจขั้นตอนสุดท้ายให้เรียบร้อยแล้วกลับมา อย่าได้เสียเวลาอยู่ที่นั่น”
ซินหรูเงียบขรึม “แม้สุขภาพของฝ่าบาทจะกระเตื้องขึ้นบ้างสแล้ว แต่ขาของเขา…” หลินชิงเวยขัดถูร่างกายของตน ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร ซินหรูมองนางแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ดูออกว่าฝ่าบาทเป็นคนดีคนหนึ่ง เขาปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอ่อนโยนสุภาพมีมารยาท กับคนเช่นข้าเขาก็ยังยินดีที่จะพูดจาด้วยอย่างอ่อนโยน” หยุดไปอึดใจหนึ่ง เอ่ยอีกว่า “พี่สาว ท่านมีวิธีรักษาขาทั้งสองข้างของฝ่าบาทให้หายดี ให้เขายืนขึ้นมาได้หรือไม่เจ้าคะ?”
หลินชิงเวยเลิกคิ้วสูง “ขาของเขาเป็นเช่นนั้นตั้งแต่กำเนิด ข้าไม่มีวิธีการรักษา”
แม้หลินชิงเวยจะพูดจาตัดบทอย่างไร้เยื่อใย แต่ซินหรูกลับเข้าใจนางอย่างยิ่ง คำพูดประโยคใดของนางเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ดวงตาของซินหรูทอประกายวาบ “ที่จริงพี่สาวมีวิธีรักษาขาของเขาให้หายดีใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
หลินชิงเวยมองซินหรูแวบหนึ่ง “เจ้าหูตึงรึ พี่สาวบอกแล้วว่าไม่มีวิธีรักษา”
ซินหรูทำปากบู้ “แต่ข้าฟังดูแล้ว ดูเหมือนพี่สาวโมโหจึงกล่าวว่าไม่มีวิธีการรักษานี่เจ้าคะ…”
หลินชิงเวยลุกขึ้นยืนในถังส่งผลให้เกิดเสียงซ่าของน้ำ นางหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดร่างกายด้วยตนเอง แล้วสวมเสื้อนอนพร้อมกล่าวเรียบๆ ว่า “ซินหรู เจ้าควรจะกลับไปนอนได้แล้ว”
“อ้อ” ซินหรูเห็นหลินชิงเวยไม่มีท่าทีอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย จึงได้แต่เดินคอตกกลับไปนอนที่ห้องของตน
หลินชิงเวยเดินมาถึงข้างเตียงของตนเตรียมจะเอนกายลงไปนอน มือของนางลูบไปถูกสิ่งของเย็นๆ ชิ้นหนึ่งใต้หมอนจึงหยิบออกมาดูด้วยสายตาเย็นชา เป็นหยกประดับเอวของเซียวเยี่ยน นางไม่รู้สึกแปลกใหม่กับสิ่งของชิ้นนี้นานแล้ว นางโยนหยกประดับชิ้นนี้ลงไปในกล่องเครื่องประทินโฉมอย่างไม่เหลียวแล
เรื่องที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปแล้วไม่ได้อะไรคืนมา นางทำมามากพอแล้ว ยามนี้นางหงุดหงิดใจอย่างมาก ยังต้องไปให้ผู้อื่นลบหลู่ดูหมิ่นอีกเช่นนั้นหรือ? น่าขัน!
แม้ว่า เซียวจิ่น เด็กคนนั้นจะเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว ต่อให้รักษาขาทั้งสองข้างของเขากระทั่งหายดีแล้วอย่างไรเล่า นั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตโดยการต้องมองสีหน้าผู้อื่นอีกต่อไป
เซียวเยี่ยนคนชั่วช้า พี่สาวจะรอให้ท่านมาเจรจาตกลงเงื่อนไขกับพี่สาว
ล่วงเลยเข้าสู่ยามรัตติกาล
ศพร่างหนึ่งที่ถูกแขวนอยู่บนต้นไทรแกว่งไปมาท่ามกลางสายลม หมดลมหายใจเนิ่นนานแล้ว
เวลานี้อีกด้านหนึ่งของสวนดอกไม้ กลับมีแสงไฟสว่างสว่างขึ้นเล็กน้อย มันลอยขึ้นลงไปมา ปรากฏอยู่บนทางเดินอันมืดมิด ดูเหมือนดวงไฟของวิญญาณภูติผีในป่าลึก