ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 9 ไม่เอาคืน
กำแพงทุกด้านของบ่อน้ำเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ทั้งเปียกชื้นและลื่น รูปร่างของตนนั้นบอบบางด้วยถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาอย่างทะนุถนอมราวกับไข่ในหิน เมื่อต้องมาประสบพบเจอกับสถานการณ์ลำบากเช่นนี้จึงไม่มีเรี่ยวแรงแม้สักกระผีก เมื่อครู่ที่ตกลงมานั้นแขนได้ถูกเสียดสีจนผิวหนังถลอกเป็นแผลให้รู้สึกเจ็บปวดและแสบร้อน
นางทดลองดึงเชือกเส้นนั้นดูแล้วเห็นว่าแน่นหนาดี คิดในใจว่าคงไม่ง่ายดายนักหากตนคิดจะปีนขึ้นไปตามเชือกเส้นนี้ เกรงว่าเมื่อปีนขึ้นไปได้ครึ่งทางแล้วจะลื่นไถลตกลงมาอีกครั้ง นางยกมือขึ้นคลำไปตามผนังบ่อน้ำพบว่าบ่อน้ำแห่งนี้เคยใช้ก้อนหินก่อขึ้นมาก่อน ระหว่างก้อนหินมีช่องว่างเล็กๆ หากนางสามารถเหยียบร่องเล็กๆ เหล่านี้แล้วปีนขึ้นไป คาดว่าคงต้องใช้เรี่ยวแรงไม่น้อยเลยทีเดียว
ขณะที่นางกำลังเตรียมตัวที่จะเคลื่อนไหว ขอบบ่อด้านบนศีรษะพลันปรากฏเงาร่างหนึ่ง
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นดู เห็นใบหน้าเล็กๆ ปรากฏอยู่ข้างบน ดวงตาคู่นั้นสุกสกาวและใสบริสุทธิ์ ใสสะอาดจนเห็นเงาสะท้อน
หลินชิงเวยได้แต่เงียบขรึม ที่เห็นนั้นเป็นเพียงเด็กน้อยผู้มีรูปร่างซูบผอมอ่อนแอนางหนึ่ง แต่นางมิอาจแน่ใจได้ว่าเด็กน้อยคนนี้มาเพราะประหลาดใจหรือมาเพราะมีเจตนาดี
เด็กน้อยที่อยู่ข้างบนถามว่า “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?”
หลินชิงเวยยังคงปฏิบัติต่อเด็กน้อยคนนั้นอย่างระมัดระวังป้องกันตัว นางเพียงแต่ส่ายหน้าเบาๆ ไม่เอ่ยวาจา
เด็กน้อยคนนั้นยืดกายข้ามมาเพื่อจะจับเชือกที่อยู่บนรอกนั้น พร้อมทั้งมองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง “เจ้าไม่ต้องกลัวพวกนางไปหมดแล้ว เจ้าจับเชือกเส้นนั้นเอาไว้ข้าจะชักรอกดึงเจ้าขึ้นมาเอง”
หลินชิงเวยเห็นสายตายืนกรานแน่วแน่ไม่ล่อกแล่กของนาง เด็กคนนี้คงจะเป็นเด็กที่มีจิตใจดีงามคนหนึ่ง หากมีนางคอยชักรอกอยู่ข้างบนหลินชิงเวยที่อยู่ข้างล่างย่อมขึ้นไปได้อย่างง่ายดายมากขึ้น ขอเพียงนางจับเชือกเอาไว้ให้แน่นย่อมถูกดึงขึ้นไปข้างบนทีละน้อยได้
หลินชิงเวยทำเยี่ยงนี้ด้วยเด็กน้อยมีเรี่ยวแรงไม่มากนัก นางหมุนชักรอกอยู่ข้างบนจึงค่อนข้างกินแรงสักหน่อย ภายใต้แสงแดดใบหน้าเล็กๆ นั้นแดงระเรื่อ นางกัดฟันซี่เล็กๆ ที่ขาวราวกับหิมะแน่น หลินชิงเวยขึ้นมาได้ครึ่งทางยังเห็นเหงื่อที่ผุดอยู่ตามหน้าผากของนาง
หลินชิงเวยรู้สึกผิดต่อเด็กน้อยคนนี้อยู่บ้าง ตนเองอยู่ในวัยของคุณน้าแล้วยังต้องให้เด็กน้อยคนหนึ่งมาช่วยเหลือ เพื่อช่วยนางเด็กน้อยคนนี้แทบจะใช้เรี่ยวแรงจากร่างกายอันผอมบางเสียจนกระดูกแทบแหลกลาญ
เมื่อเห็นว่าใกล้จะขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว หลินชิงเวยจึงจับเชือกมั่นมือแล้วออกแรงปีนออกมา เด็กน้อยคนนี้พรูลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งในที่สุด นางนั่งลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงพร้อมส่งยิ้มให้กับหลินชิงเวย
นางดูแล้วน่าจะมีอายุราวๆ เจ็ดแปดขวบ ผิวพรรณค่อนข้างเหลือง เส้นผมของนางแห้งแตกเพราะได้รับโภชนาการทางอาหารไม่เพียงพอ
หลินชิงเวยหอบหายใจพร้อมยิ้มตอบ เวลานี้นางเปียกไปทั้งตัว ท่าทางน่าอเนจอนาถนี้น่าขันยิ่งยวด แต่เด็กน้อยคนนั้นตกตะลึงและเหนียมอายเล็กน้อย
ยามนี้มีคนพบพวกนางเข้าแล้ว นางเดินมาทางเด็กน้อยพร้อมกับก่นด่าคำพูดหยาบคายไม่น่าฟัง ทันทีที่เด็กน้อยหันกลับไปเห็นก็ถึงกับตกใจเสียจนหน้าเขียวคล้ำ นางรีบผลักไสหลินชิงเวย “เจ้ารีบหนีไปเถิดหากถูกพวกนางพบเข้า เจ้าจะไปจากที่นี่ไม่ได้”
สตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาหิ้วตัวเด็กน้อยคนนั้นอย่างง่ายดายพร้อมกับตวัดฝ่ามือตบปากของเด็กน้อยอย่างไร้เมตตาสองครั้ง “ที่แท้เป็นคนต่ำช้าเช่นเจ้านี่เอง นางคนชั้นต่ำเช่นเจ้า ยังกล้ามาทำลายเรื่องดีๆ ของทุกคน! ดูสิว่าข้าจะตีเจ้าให้ตายหรือไม่”
เด็กน้อยเมื่ออยู่เบื้องหน้าสตรีนางนั้นแล้วตัวเล็กและอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด ท่าทางของนางราวกับทำความผิดเอาไว้ ได้แต่กุมศีรษะของตนเอาไว้แล้วแต่ผู้อื่นจะตบตีด่าทอ นางย่อมรู้กฎของการอยู่ที่นี่ดี หากยิ่งต่อต้านรุนแรงจุดจบยิ่งน่าสมเพชเวทนา ดังนั้นแต่ไรมานางล้วนปฏิบัติตนเช่นถูกตีไม่เอาคืน ถูกด่าทอไม่ตอบโต้
ดูเหมือนสตรีนางนั้นตบปากนางไม่แล้วยังไม่สาแก่ใจ จึงกำมือเป็นหมัดแล้วทุบลงไปบนศีรษะของนาง ทางหนึ่งทุบไปอีกทางหนึ่งด่าทอว่าคนต่ำช้า เด็กน้อยถูกทุบที่บริเวณจมูกหนึ่งหมัดเลือดกำเดาไหลออกมาจากโพรงจมูกสองสายทันที ดวงตาทั้งคู่ของนางแดงก่ำทว่ายังคงไม่กล้าตอบโต้