ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 10 บทที่ 271 เดินทางนับพันลี้ตามหาเขา
หลินชิงเวย “น่าขันนัก เมื่อคำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากของท่าน ท่านดูสิ นี่มิใช่ไม่ซื่อตรงหรือไร” นางเพียงพูดไปอย่างนั้นเอง พูดแล้วก็บุ้ยใบ้ไปที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้น ในเมื่อคนเราเมื่อถูกบีบบังคับกระทั่งจนตรอก มีอะไรทำออกไม่ได้บ้างเล่า? หากเจ้าหน้าที่เหล่านี้ยังคงไม่ลืมหูลืมตา เช่นนั้นก็เป็นผลกรรมที่พวกเขาสมควรได้รับแล้ว
หลินชิงเวยยอมรับว่าตนไม่ใช่คนมีจิตใจเมตตาอันใดนัก และเซียวอี้ที่อยู่ข้างกายนางนั้นไม่ใช่ยิ่งกว่า
ต่อมาหลินชิงเวยและเซียวอี้เดินออกจากประตูเมืองไปอย่างเงียบเชียบ ได้ยินเสียงสั่นสะท้านของท่านเจ้าเมืองดังขึ้นบนกำแพงท่ามกลางความเหน็บหนาว “ข้าทำตามที่พวกเจ้าต้องการ เปิดคลังก็เปิดคลัง! แจกจ่ายเสื้อผ้าก็แจกจ่ายเสื้อผ้า!”
เพียงแต่เมื่อพวกเขากำลังจะเดินออกประตูเมืองนั้นกลับเห็นหลงจู๊และคนงานสองคนกำลังยืนยิ้มรออยู่ที่นั่น ในมือของคนงานมีม้าสองตัว ในมือของหลงจู๊มีหอสัมภาระหนึ่งห่อ
นางเห็นหลินชิงเวยและเซียวอี้ออกมาจึงเดินเข้ามากล่าวว่า “เคราะห์ดีที่มีทั้งสองท่าน หาไม่แล้วชาวบ้านในเมืองจิงโจวยังไม่รู้ว่าจะต้องได้รับความทุกข์ยากลำเค็ญเพียงใด วิธีการของแม่นางล้ำเลิศนัก”
หลินชิงเวย “เคราะห์ดีที่มีหลงจู๊ให้การช่วยเหลือ เรื่องนี้จึงสำเร็จลงได้”
“สิ่งที่ข้าสามารถทำได้นั้นไม่เพียงพอที่จะนำมากล่าวถึง” หลงจู๊ยื่นหอผ้าออกมาและเอ่ยขึ้นว่า “นี่เป็นเสบียงอาหารแห้งที่ข้าทำขึ้นเล็กน้อย นำมากินเป็นอาหารระหว่างทางได้ หากทั้งสองท่านไม่รังเกียจก็รับไว้เถิด”
หลินชิงเวยสบตาเซียวอี้แวบหนึ่ง ไหล่ของนางสะพายห่อสัมภาระใบหนึ่ง อีกทั้งนี่เป็นสิ่งของที่หญิงงามลงครัวทำด้วยตนเอง อย่างไรเขาก็ควรที่จะรับเอาไว้กระมัง ดังนั้นเซียวอี้จึงรับสิ่งของเอาไว้ “ลำบากหลงจู๊แล้ว”
หลงจู๊หัวเราะ “คุณชายเกรงใจเกินไปแล้ว คุณชายและแม่นางเป็นผู้มีพระคุณของพวกชาวบ้านในเมือง หากวันหน้ามีโอกาสกลับมาเยือนที่นี่อีก ชาวบ้านทั้งเมืองจะต้องยินดีต้อนรับแน่นอน”
หลังจากอำลาหลงจู๊ หลินชิงเวยและเซียวอี้ควบม้าเหยียบย่ำหิมะขาวโพลนจากไป
ข่าวของเมืองจิงโจวถูกเล่าลือออกไปอย่างรวดเร็ว ต่อมาได้ยินว่าท่านเจ้าเมืองผู้นั้นเปิดคลังแจกจ่ายเสบียงอาหารจริงๆ และนำเงินบรรเทาทุกข์ออกมาซื้อเสื้อกันหนาวแจกจ่าย ทุกๆ ครัวเรือนล้วนได้รับสิ่งของ ทว่าต่อมาไม่รู้ด้วยเหตุใด ท่านเจ้าเมืองเสียชีวิตอยู่ในเรือนของตนในกลางดึกคืนหนึ่ง
ส่วนคณะบรรเทาสาธารณภัยของราชสำนักได้ยินเรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นในจิงโจว จึงย้อนกลับมาดูเหตุการณ์ บังเอิญได้พบกับศพของท่านเจ้าเมือง ท่านข้าหลวงผู้แทนพระองค์ได้รับคำสั่งเร่งด่วนให้รักษาการแทนท่านเจ้าเมืองเป็นการชั่วคราว เพื่อจัดระเบียบศาลาว่าการของเมืองจิงโจว เจ้าหน้าที่ที่เคยกดขี่ข่มเหงชาวบ้านในยามปกติล้วนแปรสภาพเป็นหนูที่เดินอยู่ตามตรอกซอกถนน หอจินหลิงที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูที่สุดในเมืองจิงโจวถูกทำลายเพียงชั่วข้ามคืน ด้วยท่านข้าหลวงผู้แทนพระองค์ตรวจสอบพบความสัมพันธ์มิสามัญระหว่างท่านเจ้าเมืองและหอจินหลิง จึงสั่งปิดและยึดทรัพย์เนื่องจากถือว่าหอจินหลิงเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของท่านเจ้าเมืองเช่นกัน ทรัพย์สินที่ยึดมาได้มีมูลค่าหลายพันล้านตำลึง นั่นล้วนเป็นเงินที่ขูดรีดเลือดเนื้อชาวบ้านมาทั้งสิ้น จึงนำเงินทั้งหมดคืนแก่ชาวบ้าน
ชาวบ้านในเมืองจิงโจวไม่มีใครไม่โห่ร้องอย่างยินดีว่าฝ่าบาทปรีชาสามารถ
ข่าวเหล่านี้ล้วนถูกเล่าลือโจษจันไปถึงหัวเมืองอื่นๆ ย่อมต้องได้ยินมาถึงหูของหลินชิงเวยและเซียวอี้ ในเวลาเดียวกันนี้ หลินชิงเวยและเซียวอี้กำลังกินข้าวอยู่ในโรงเตี๊ยม ลูกค้าในห้องโถงใหญ่ล้วนพูดคุยถึงเรื่องนี้ ต่างเยินยอสรรเสริญผู้ที่มีความกล้าหาญจับตัวท่านเจ้าเมืองไปแขวนไว้บนกำแพงเมืองไม่หยุดปาก
หลินชิงเวยดื่มน้ำชาคำหนึ่งแล้วถามเซียวอี้ “เรื่องที่ท่านข้าหลวงผู้แทนพระองค์ย้อนกลับมาจัดระเบียบเมืองจิงโจว เป็นคนของท่านที่ส่งข่าว?”
เซียวอี้มีสีหน้าไม่ชวนมองนัก เขาพูดเสียงเย็น “ข้าไม่ใช่คนเขลา จะได้ตัดชุดวิวาห์แทนผู้อื่น”
หลินชิงเวยพยักหน้า พูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ก็ใช่ เวลานี้ชาวบ้านต่างโห่ร้องยินดีว่า ราชสำนักจงเจริญ ฝ่าบาททรงพระเจริญ”
เซียวอี้หน้าดำทะมึนอย่างควบคุมไม่อยู่ “ข้าสั่งให้คนไปสังหารท่านเจ้าเมืองนั่นเอง”
“เรื่องนี้คาดเดาได้ไม่ยาก”
เส้นทางข้างหน้ายาวไกล ทว่าใกล้จะถึงปลายทางแล้วในที่สุด ยิ่งใกล้หนานเจียง หลินชิงเวยพบว่าตนเองยิ่งควบคุมจิตใจของตนได้ยากนัก
เมืองชายแดนที่อยู่ระหว่างแคว้นต้าเซี่ยและอวิ๋นหนานคือเมืองผิงหลั่ง เป็นเขตพรมแดนของหนานเจียง
เมืองผิงหลั่งล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสี่ด้าน ล้วนเป็นกลุ่มเทือกเขาน้อยใหญ่ และเมืองผิงหลั่งอยู่ในตำแหน่งตรงกลางที่เป็นพื้นที่ราบ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเมืองติดชายแดนที่เป็นศูนย์รวมของผู้คนทุกประเภทเช่นคนสามลัทธิเก้าสาขาอาชีพ [1]
ด้วยความที่เป็นเมืองที่มีลักษณะภูมิศาสตร์เป็นภูเขาสูงจึงบดบังลมหนาวที่พัดลงมาจากทางเหนือ สถานที่แห่งนี้จึงมีสภาพอากาศอบอุ่นกว่าสถานที่อื่นๆ อยู่บ้าง ไม่พบเห็นหิมะตกเท่าใดนัก แต่ทว่าปีนี้ลมหนาวรุนแรง เมืองผิงหลั่งจึงมีหิมะตกพร้อมกับลมกรรโชกเป็นครั้งคราวทว่าเมื่อตกลงสู่พื้นก็ละลายทันที
หลินชิงเวยและเซียวอี้เข้าพักในโรงเตี๊ยม นางไม่อยากเสียเวลาแม้แต่น้อย คิดจะออกไปตามหาเซียวเยี่ยนทันที เมื่อกลับไปถึงห้องพักหลินชิงเวยสั่งให้คนส่งน้ำสำหรับชำระกายเข้ามา ให้เซียวอี้ส่งอาหารขึ้นมาหลังจากที่นางชำระกายเสร็จแล้ว
น้ำร้อนถูกเทลงในถังอาบน้ำแล้ว ทว่าหลินชิงเวยกลับไม่มีกะจิตกะใจจะชำระกาย นางผลักประตูหน้าต่างเปิดออก หน้าต่างหันหน้าไปทางลานเรือนด้านในของโรงเตี๊ยม ภายในลานเรือนมีบ่าวรับใช้ชายกำลังให้อาหารม้า ลานเรือนแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก ผูกม้าได้เพียงไม่กี่ตัว มุมด้านหนึ่งยังปลูกต้นไม้อีกหลายต้น
ยังไม่รอให้หลินชิงเวยเรียกไป๋เสวี่ยไปแกะรอยของเซียวเยี่ยน เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้เซียวเยี่ยมย่อมอยู่ไม่ไกลจากนางแล้ว ขอเพียงให้ไป๋เสวี่ยบินออกไปหาจะต้องหาพบแน่นอน ทว่าในเวลานี้เองหลินชิงเวยได้ยินเสียงร้องกรู๊ๆๆ นกพิราบสีขาวตัวหนึ่งบินมาเกาะกรอบหน้าต่างของนาง
ไม่ใช่ไป๋เสวี่ย แต่เป็นหยางชุน นกพิราบตัวที่ติดตามอยู่ข้างกายเซียวเยี่ยนตัวนั้น
หลินชิงเวยยื่นมือไปลูบขนสีขาวมันวับของมัน ในใจอดที่จะตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งไม่ได้ “เขารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าข้ามาตามหาเขา? ดังนั้นจึงส่งเจ้ามารับข้า?”
“กรู๊ๆๆ”
“เขาได้พบกับอันตรายหรือไม่?”
“กรู๊ๆๆ”
หลินชิงเวยรอไม่ได้อีกต่อไป นางฉวยโอกาสที่เซียวอี้ยังไม่เข้ามาในห้อง นี่เป็นโอกาสอันดีงามที่จะสลัดเขา แม้ชั้นสองจะสูงอยู่บ้างและหลินชิงเวยไม่มีวรยุทธ์ หากลงไปเช่นนี้ย่อมต้องได้รับบาดเจ็บ แต่ยังดีที่ข้างใต้กรอบหน้าต่างนี้มีต้นไม้ต้นหนึ่ง หลินชิงเวยจึงสะพายห่อสัมภาระของตนแล้วปีนต้นไม้กัดฟันกระโดดลงไป
กิ่งไม้ของต้นไม้นั้นยืดหยุ่นได้เล็กน้อย ทำให้นางกระโดดลงมาด้วยน้ำหนักที่เหมาะสม แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้มืออันบอบบางของนางก็ถูกเสียดสีจนผิวหนังถลอกเช่นกัน หลินชิงเวยไหนเลยจะมีเวลาใส่ใจเรื่องเหล่านี้ นางรีบปีนลงจากต้นไม้แล้วจูงม้าของตนออกไป
นางอ้อมออกไปจากโรงเตี๊ยมแล้วควบม้าทะยานไปข้างหน้าตามทิศทางที่หยางชุนนำไป
ตลอดเวลานั้น เซียวอี้ยืนอยู่ในห้องของตน นิ้วมือเรียวยาวของเขาเปิดหน้าต่างเบาๆ มองทุกการกระทำของหลินชิงเวยตกอยู่ในสายตา เขาหรี่ตาลงแค่นหัวเราะเสียงเย็นแล้วหันมาสั่งคนชุดดำในห้องว่า “ตามนางไป”
คิดดูแล้วการเดินทางร่วมกันระหว่างพวกเขาคงสิ้นสุดลงที่นี่ ในเมื่อต่างเดินคนละเส้นทางย่อมไม่อาจร่วมทางกันได้ สิ่งที่เขาและหลินชิงเวยต้องการนั้นสวนทางกัน
หยางชุนบินออกจากเมืองผิงหลั่งมุ่งหน้าลงใต้ ส่วนหลินชิงเวยควบม้าไปทางทิศใต้ตามไป สายลมของเหมันตฤดูพัดบาดใบหน้าของนาง ราวกับมีหิมะบางๆ ชั้นหนึ่ง ดินสีเหลืองบนถนนนั้นเปียกชื้นด้วยความหนาวเย็นกลายเป็นสีขาวอีกทั้งยังลื่นเล็กน้อย
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจทำให้หลินชิงเวยควบม้าช้าลงได้
ม้าเร็ววิ่งผ่านภูเขาลูกหนึ่ง พื้นดินส่งไอเย็นขึ้นมาจนสัมผัสได้ เมื่อมองออกไปไกลๆ เห็นเพียงภูเขาสูงเป็นแนว นางไม่รู้เช่นกันว่าตนเองกำลังไปที่ใด แต่นางรับรู้ได้ว่าเซียวเยี่ยนอยู่ใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆ เซียวเยี่ยนจะต้องอยู่ใกล้ๆ นี้เป็นแน่
ข้างหน้าเป็นป่าแห่งหนึ่ง ต้นไม้ในป่านั้นมีแทบจะนับได้ และสภาพพื้นที่ข้างหน้าค่อนข้างชันกว่าก่อนหน้านี้ พื้นดินในป่าถูกหิมะปกคุลมเป็นชั้นๆ ราวกับหากเหยียบลงไปเท้าคงจมลงไปในหิมะ
หลินชิงเวยสะบัดแส้ในมือพร้อมกับร้องว่า “ย่าห์!”
สายลมหนาวในป่าพัดกรรโชกใบไม้เสียงดังพรึ่บๆ
———————
[1] 3 ลัทธิ ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาขงจื๊อ ศาสนาเต๋า และ 9 สาขาอาชีพ แบ่งเป็น 3 ระดับ ระดับที่หนึ่ง คือ 9 สาขาอาชีพระดับบน ได้แก่ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์, เซียน, จักรพรรดิ, ขุนนาง, ต้มสุรา, โรงรับจำนำ, พ่อค้า, เจ้าที่ดิน, ชาวนา) ระดับที่สอง คือ 9 สาขาอาชีพระดับกลาง ได้แก่ (บัณฑิต, แพทย์, หมอดูฮวงจุ้ย, หมอดูพยากรณ์โชคชะตา, จิตรกร, หมอดูลักษณะนรลักษณ์, ปัญญาชน, หลวงจีนพุทธศาสนา, นักพรตลัทธิเต๋า) ระดับที่สาม 9 สาขาอาชีพระดับล่าง ได้แก่ (หมอผีเขียนเลขยันต์, นางคณิกา, ม้าทรง, ยามรักษาการณ์, กัลบกหรือช่างตัดผม, นักดนตรี, นักแสดงปาหี่, กระยาจก, คนขายน้ำตาลเป่า)