ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 10 บทที่ 277 หนึ่งจุมพิตก็ขับไล่ไสส่งหรือ?
ตามที่องครักษ์ลับของเซียวเยี่ยนสืบข่าวมาได้ ณ ภูเขาลึก นอกเมืองผิงหลั่งราวๆ สิบลี้ เคยมีสุสานหลวงแห่งหนึ่ง เพียงแต่เวลาผ่านมาแล้วหลายร้อยปี สุสานหลวงแห่งนี้จึงถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน ได้ยินว่าที่นั่นคือสุสานหลวงของราชวงศ์อวิ๋นหนาน เมื่อหลายร้อยปีก่อน เวลานั้นแผ่นดินของอวิ๋นหนานมิได้มีอาณาเขตเล็กเท่านี้ แต่มีอาณาเขตกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ โดยส่วนใหญ่แล้ว ตำแหน่งของสุสานหลวงมักจะอยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่มากนัก และเมืองหลวงในอดีตของอวิ๋นหนานอยู่ใกล้กับเมืองผิงหลั่งที่อยู่ติดชายแดนของแคว้นต้าเซี่ย เห็นได้ว่าอาณาเขตย่อมต้องกว้างใหญ่ไพศาลกว่าเวลานี้มาก
สุสานหลวงแห่งนั้นก่อสร้างตามแนวของเทือกเขาที่ทอดตัวยาวประดุจลำตัวมังกร มีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ราชนิกุลของราชวงศ์ถูกบรรจุอยู่ในโลงน้ำแข็งที่ปิดสนิทและฝังอยู่ที่นี่ สามารถรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อยเป็นเวลานับร้อยปี แต่เวลาผ่านมาหลายปีเช่นนี้ บรรพกษัตริย์ที่สำคัญของอวิ๋นหนานล้วนได้ทำการเคลื่อนย้ายสุสานไปแล้ว ก่อนหน้านี้หลายปีเคยมีเหตุการณ์โจรปล้นสุสานบุกรุกสุสานหลวง มาบัดนี้ข้างในสุสานหลวงจะมีสภาพอย่างไรไม่มีผู้ใดรู้ได้
ทว่าบริเวณด้านล่างภูเขามีพระราชวังฤดูร้อนที่ถูกทิ้งร้างไว้เช่นเดียวกัน ชาวอวิ๋นหนานที่เดินทางมาล่วงหน้าเพื่อดำเนินตามแผนการล้วนซ่อนตัวอยู่ในพระราชวังฤดูร้อนแห่งนั้นทั้งสิ้น เพื่อสืบข่าวและคุ้มกันเซียวเยี่ยนแล้วนั้น องครักษ์ลับของเซียวเยี่ยนแทบจะเสียชีวิตหมดสิ้น
เมื่อฟ้ามืดลง เทียนไขในห้องถูกจุดให้สว่างขึ้น หลินชิงเวยประคองถ้วยยาเดินเข้ามาในห้องของเซียวเยี่ยน เขากำลังนั่งเอนกายพิงหัวเตียงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงช้อนตาขึ้นมองหลินชิงเวย ดวงตาเรียวรูปหงส์จึงค่อยๆ ทอประกาย
“ดื่มยาเถิด” หลินชิงเวยส่งถ้วยยาให้เขาพร้อมกับยกมือขึ้นกุมข้อมืออีกข้างของเขาเพื่อฟังชีพจรของเขา ชีพจรของเขามั่นคง บาดแผลล้วนไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีก แต่หากต้องการให้ร่างกายฟื้นฟูกลับมาดังเดิมยังจำเป็นต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
ทว่าดูจากสถานการณ์เบื้องหน้าแล้วกลับไม่มีเวลาให้เขารักษาตัวมากเท่าใดนัก
หลินชิงเวย “รอให้ท่านพักผ่อนอีกวันหนึ่ง และพักผ่อนอีกวันหนึ่ง ท่านจะทำอะไรข้าล้วนไม่ขัดขวางท่าน”
เซียวเยี่ยนไม่พูดจา เขาวางถ้วยเปล่าลงแล้วหลุบตาลงมองหลินชิงเวย ในสายตาของเขา สตรีเบื้องหน้าตน งดงามบอบบางปานนี้ แม้บนร่างของนางจะสวมอาภรณ์ของหญิงออกเรือนในเมืองนี้ เป็นเสื้อเขียวกระโปรงผ้าฝ้ายที่แสนธรรมดาสามัญกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ทว่ายังคงมิอาจบดบังความงดงามและอ่อนโยนของนางเอาไว้ได้ นางควรจะเป็นบุปผาบอบบางที่ถูกคนดูแลเลี้ยงดูอย่างดี มิใช่เดินทางไกลออกมาเป็นพันลี้เพื่อมาดูแลเขา ต้องออกมารอนแรมอยู่ข้างนอกเพราะเขา ออกมานอนกลางดินกินกลางทรายเพราะเขา
และบัดนี้ใบหน้าเล็กๆ ของหลินชิงเวยอยู่ในฝ่ามือของเซียวเยี่ยน ใบหน้าของนางเล็กกว่าฝ่ามือของเขาเสียอีก ไฉนเลยจะไม่ทำให้คนปวดใจเล่า เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นของนางสดใสเป็นประกาย นัยน์ตาของนางดำขลับท่ามกลางแสงเทียน มีพลังและความอบอุ่นชนิดหนึ่งและมักจะเปื้อนยิ้มเสมอ
นางทำให้ความกระวนกระวายในจิตใจของผู้คนสงบลงได้
หลินชิงเวย “ท่านมองข้าเช่นนี้ ปวดใจแล้วใช่หรือไม่? เช่นนั้นไม่สู้ตอบแทนด้วยตัวของท่าน”
แววตาของเซียวเยี่ยนหม่นลง เขาเอนกายนั่งพิงหัวเตียงโน้มหัวไหล่ลงมาเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะแนบชิดหลินชิงเวย สายตาของเขาดำสนิทยิ่งกว่าท้องฟ้ายามรัตติกาลข้างนอก
…
หลินชิงเวยเฝ้าเขาตลอดทั้งคืน เซียวเยี่ยนเห็นนางฟุบหลับอยู่ข้างเตียง จึงอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ เมื่อล่วงเลยมาถึงค่อนคืนหลัง หลินชิงเวยไม่รู้ว่าเข้าไปนอนในผ้าห่มได้อย่างไร นางซุกกายหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดอันกว้างใหญ่ของเซียวเยี่ยน
ถึงกลางคืนของวันรุ่งขึ้นหลินชิงเวยยืนกรานจะไปกับเซียวเยี่ยน อีกทั้งมีนางอยู่ด้วยแม้จะไม่เป็นวรยุทธ์ ทว่าเรื่องงัดแงะนางไม่แพ้เซียวเยี่ยน เซียวเยี่ยนไม่อาจต้านทานนาง หากนางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไป เช่นนั้นเขาเดินออกไป นางย่อมเดินตามหลังทันที เช่นนั้นไม่สู้ไปด้วยกันตั้งแต่เริ่มต้นย่อมปลอดภัยกว่า
กู้เฟิ่งหมิงไปหาเสื้อผ้าของชาวอวิ๋นหนานมาจากที่ใดก็สุดรู้ หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี กู้เฟิ่งหมิงทำงานรอบคอบถี่ถ้วน เมื่อเป็นเช่นนี้ หากพบเจอชาวอวิ๋นหนานย่อมรับมือได้ง่ายขึ้น บนเสื้อผ้าเหล่านี้มีสีสันฉูดฉาดลวดลายบนเสื้อผ้านั้นสามัญไม่ละเอียดนัก พูดง่ายๆ ก็คือให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง หลังจากหลินชิงเวยสวมแล้วรู้สึกว่าบนร่างของตนเต็มไปด้วยสีสัน เมื่อหันไปมองเซียวเยี่ยน ใบหน้าเย็นชาของเซ่อเจิ้งอ๋องแปรเปลี่ยนเป็นท่านอาเพื่อนบ้านไปในทันที…
หลังจากคนทั้งสองแต่งกายเรียบร้อยแล้ว หลินชิงเวยหยิบสัมภาระที่ตนเตรียมมา ทั้งสองเดินออกไปจากเรือนหลังเล็กควบม้าสองตัวที่อยู่ด้านนอก ฉวยโอกาสที่ฟ้ามืดแล้วออกจากเมืองผิงหลั่งมุ่งหน้าสู่ทิศใต้
เรือนหลังเล็กที่พวกเขาพำนักอยู่นั้นอยู่นอกเมืองผิงหลั่ง เช่นนี้แล้วเมื่อต้องการออกจากเมืองจึงไม่ได้ต้องผ่านด่านตรวจ จะทำการใดล้วนสะดวกยิ่ง
ยามนี้สำหรับหลินชิงเวยแล้วต่อให้ควบม้าเร็วเท่าใดสำหรับนางก็ไม่กังวล เพื่อดูแลนางเซียวเยี่ยนจึงผ่อนความเร็วในการควบม้าลงเล็กน้อย
คนทั้งสองควบม้ามุ่งไปข้างหน้าท่ามกลางความมืด อากาศที่พัดมาให้ความรู้สึกอิสระและสดชื่นมันปนเปไปด้วยความหนาวเย็น พวกเขาควบม้าทีเดียวไปถึงภูเขานอกเมืองผิงหลั่งราวๆ สิบลี้ ยามนี้เป็นเวลากลางดึก
ภูเขาลูกใหญ่แต่ละลูกที่ทอดตัวอยู่ใกล้ไกลและสูงต่ำ ราวกับถูกย้อมด้วยหมึกสีดำเข้ม ท่ามกลางความเงียบวังเวง ทำให้ดูลึกลับ
ออกจากเมืองผิงหลั่งแล้วยังไม่นับว่ามาถึงเขตแดนของอวิ๋นหนาน นอกเมืองผิงหลั่งออกมาทางทิศใต้ล้วนเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเทือกเขาเรียงตัวเป็นแนวยาว ถือเป็นพื้นที่ไร้พรมแดน และถือเป็นพื้นที่ระหว่างแคว้นต้าเซี่ยและอวิ๋นหนาน ไม่ว่าแคว้นต้าเซี่ยหรืออวิ๋นหนานล้วนไม่อาจเข้ามาในดินแดนเขตนี้โดยพลการ หาไม่แล้วจะทำเป็นการละเมิดกฎ
เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยมาถึงภูเขาลูกหนึ่ง ต่อมาพวกเขาลงจากหลังม้าและเดินเท้าเข้าไปในภูเขา
ที่นี่เป็นพื้นที่สำหรับปลูกธัญพืชแห่งหนึ่ง ทั้งสี่ทิศล้วนมีภูเขาสูง หลินชิงเวยเงยหน้ามองไปเห็นเพียงภูเขาสูงใหญ่ที่พวกเขากำลังจะเดินขึ้นไป ราวกับพวกเขาขึ้นมาถึงระดับก้อนเมฆส่งผลให้คนรู้สึกราวกับก้อนเมฆกำลังถล่มลงมา เหมือนมีมือมหัศจรรย์กำลังจะกดทับลงมา ทำให้คนหายใจไม่ค่อยออก