ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 10 บทที่ 278 การเจรจาลับในภูเขา
สำหรับสุสานหลวงและพระราชวังฤดูร้อนที่ถูกทิ้งร้างนั้น ยามนี้ท้องฟ้ามืดเกินไป ทำให้มองไม่เห็นอะไรชัดเจนนัก
ชัดเจนเหลือเกินว่าเซียวเยี่ยนคุ้นเคยกับสภาพพื้นที่ของที่นี่เป็นอย่างดี ด้านล่างภูเขามีทหารและเซียวเยี่ยนหลบหลีกมาได้อย่างแยบยล เขาพาหลินชิงเวยเดินเข้ามาในป่าแห่งหนึ่งท่ามกลางความมืด
สุสานหลวงโบราณนั้นตั้งอยู่บริเวณกลางภูเขา ส่วนพระราชวังฤดูร้อนกลับไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสูงเพียงนั้น มันตั้งอยู่ห่างจากตีนเขาไม่มากนัก พวกเขาเดินเท้าราวๆ ครึ่งชั่วยามก็ทะลุผ่านป่าแห่งนั้น ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ หลินชิงเวยมองออกไปเห็นหอชมทิวทัศน์อยู่ไม่ไกลนัก นั่นก็คือพระราชวังฤดูร้อน
เวลานี้ได้ยินเสียงและเห็นแสงไฟ ข้างในจะต้องมีคนอยู่แน่นอน
ลอบเร้นกายเข้ามาในพระราชวังฤดูร้อนอย่างไม่ง่ายดาย ยามนี้ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าแตกต่างจากที่จินตนาการยิ่ง นี่เป็นพระราชวังฤดูร้อนที่ถูกทิ้งร้างจริงๆ มันมีสภาพชำรุดทรุดโทรม หากมิใช่ด้วยยังมีตำหนักหลายแห่งให้เห็นอยู่ ที่นี่ก็คือซากปรักหักพังอย่างแท้จริง ต่อให้ตำหนักเหล่านั้นไม่ได้ถล่มลงมา แต่นั่นถือเป็นหอที่มีอันตรายมาก
หลินชิงเวยถามขึ้นประโยคหนึ่ง “ข้างในมีผู้ใดบ้าง?”
เซียวเยี่ยนพูดเสียงต่ำ “อวิ๋นหนานอ๋อง ยังมีรัชทายาทอวิ๋นหนาน”
หลินชิงเวยตะลึงงัน กระทั่งอวิ๋นหนานอ๋องก็มาที่นี่ ดูท่าแล้วเรื่องราวน่าจะร้ายแรงกว่าที่คาดเอาไว้ แม้เซียวเยี่ยนจะลอบเข้ามาถึงสถานที่เช่นนี้แล้ว ทว่าชัดเจนยิ่งนักว่าเขามาที่นี่เป็นครั้งแรก หลังจากเข้ามาในพระราชวังฤดูร้อนแล้ว เขาไม่แน่ใจนักว่าอวิ๋นหนานอ๋องและรัชทายาทพำนักอยู่ในจุดใด คนทั้งสองจึงเดินไปมาเหมือนแมลงวันไร้หัว
เวลานี้เองมีคนและม้ากลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาทางพระราชวังฤดูร้อน ทั้งเป็นการมาอย่างอึกทึกคึกโครมพอสมควร พวกเขาผ่านการรายงานแต่ละขั้นตอน มีคนผู้หนึ่งนำองครักษ์ถูกนำทางเข้ามายังพระราชวังฤดูร้อน แม้เวลากลางคืนหลินชิงเวยจะมองไม่ชัดเจนนัก ทว่ากลับมองเห็นถึงเค้าโครงหน้ารางๆ เซียวเยี่ยนกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน เขาพูดเสียงต่ำ “เป็นเซียวอี้ พวกเราตาม”
ร่างของหลินชิงเวยเบาโหวง เซียวเยี่ยนอุ้มนางไปตลอดทาง เหินกายบนหลังคา เดินบนกำแพง หลบหลีกองครักษ์ล้วนไม่ใช่ปัญหาทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงติดตามกลุ่มของเซียวอี้ไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ในที่สุดเมื่อเดินผ่านหอหลายชั้น มาถึงด้านนอกตำหนักโบราณหลังหนึ่ง คนของเซียวอี้ถูกรั้งไว้รออยู่ด้านนอกตำหนัก มีเพียงเขาเดินเข้าไปในตำหนัก ผ่านตำหนักเข้าไปแล้วด้านหลังเป็นลานเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง ภายในเรือนจุดตะเกียงส่องแสงสีเหลืองนวลให้ความอบอุ่น มีคนออกมารับหน้าประตู
ผู้ที่ออกมารับสวมอาภรณ์ของชาวอวิ๋นหนานทั้งชุด บนไหล่ของเขาสวมเสื้อเกราะ แม้จะมีส่วนแตกต่างจากบุรุษของแคว้นต้าเซี่ย ทว่าบุรุษมีความสูงราวๆ เจ็ดฉื่อเช่นกัน รูปร่างทะนงองอาจ บริเวณเอวของเขามีดาบโค้งเล่มหนึ่ง มือข้างหนึ่งของเขาประทับอยู่บนด้ามดาบ คิ้วและดวงตาหนาใหญ่ ทว่าคมปลาบ คนทั้งคนแผ่กำจายความเย็นชาราวกับเดือนสิบสองในฤดูหนาว
คนผู้นี้ก็คือรัชทายาทของแคว้นอวิ๋นหนาน นามของเขาคือ ถ่าซิงฮ่าว เขาป้องกันชาวต้าเซี่ยอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียวอี้ผู้นี้ เขามองกิริยาอันเป็นธรรมชาติของเซียวอี้แล้วราวกับเดินเข้ามาในเรือนของตนเองอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก อีกทั้งหมอผีและมือสังหารชาวอวิ๋นหนานก่อนหน้านี้ล้วนเป็นคนที่เขาส่งไป เดิมทีควรจะสังหารเซียวเยี่ยนสำเร็จ ทว่ากลับถูกเซียวอี้ขัดขวาง
เซียวอี้ผู้นี้เป็นศัตรูหรือมิตร ยังเป็นข้อกังขาสำหรับเขา
ไม่ทันรอให้เซียวอี้ก้าวเข้าไปในประตูบานที่อยู่ด้านหลังถ่าซิงฮ่าว กลับถูกถ่าซิงฮ่าวก้าวขึ้นมาขวางเอาไว้เบื้องหน้า เซียวอี้พูดกลั้วหัวเราะ “องค์รัชทายาทหมายความอย่างไร?”
“หมายความอย่างไร?” ถ่าซิงฮ่าวพูดเสียงเย็น “นี่ควรจะเป็นข้าถามเจ้า ข้าได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในป่านอกเมืองผิงหลั่งแล้ว เจ้าขัดขวางพวกเราสังหารเซ่อเจิ้งอ๋องของพวกเจ้า ยังปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้ เจ้าเจตนากระมัง เจ้าไม่ได้ร่วมมือกับพวกเราอย่างจริงใจ!”
เซียวอี้พูดอย่างมีน้ำอดน้ำทน “องค์รัชทายาทเข้าใจผิดแล้ว ข้ามาครั้งนี้ด้วยต้องการอธิบายเรื่องนี้ กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ตัวข้าเองนั้นต้องพิษหนอนกู่ ยังต้องรบกวนให้หมอผีของท่านถอนพิษหนอนกู่ให้ข้า”
ถ่าซิงฮ่าวตกตะลึง เขากำลังสงสัยว่าเซียวอี้พูดจริงหรือพูดเท็จ เสียงอันเต็มไปด้วยพลังอำนาจดังขึ้นมาจากในห้องเวลานี้เอง “เชิญเซี่ยนอ๋องเข้ามา”
ถ่าซิงฮ่าวร้องฮึเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วจึงหลีกทางให้เซียวอี้ผลักประตูเข้าไป
บุรุษที่อยู่ในห้องมีอายุราวๆ ห้าสิบปี เส้นผมของเขาเป็นสีขาวประปราย เขาได้ยินเสียงประตูเปิดออกจึงค่อยๆ หันกายกลับมา สายตาของเขาตกลงบนร่างของเซียวอี้ หากจะกล่าวว่าคนทั้งสองมีสิ่งใดที่ร่วมสนทนากันได้นั่นก็คือความทะเยอทะยานในจิตใจที่ปรากฏในแววตาของคนทั้งคู่แล้ว
ถูกต้อง คนผู้นี้ก็คืออวิ๋นหนานอ๋อง
เซียวอี้เพิ่งจะยกมือคารวะยังไม่ทันได้พูดจา อวิ๋นหนานอ๋องก็เอ่ยขึ้นว่า “เซี่ยนอ๋องไม่ต้องมากพิธี เปิ่นหวางอยากฟังเช่นกันว่าหลายวันก่อนเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เซี่ยนอ๋องจะอธิบายอย่างไร? เซี่ยนอ๋องบอกว่าต้องพิษหนอนกู่ เป็นการโป้ปดเปิ่นหวางหรือไม่? ชาวจงหยวนของพวกท่านมีคนแตกฉานในศาสตร์ของหนอนกู่หรือ?”
เซียวอี้ “หากอวิ๋นหนานอ๋องไม่เชื่อข้า ไยจึงมาร่วมมือกับข้าเล่า ข้าต้องพิษหรือไม่เรียกหมอผีมาตรวจดูก็รู้แจ้ง มีคนต้องการรักษาชีวิตของเซ่อเจิ้งอ๋อง จึงนำชีวิตของข้าไปผูกกับเซ่อเจิ้งอ๋อง วันนั้นข้าไม่ยื่นมือขัดขวางไม่ได้ ด้วยไม่มีทางเลือกอื่น” เขาพูดแล้วก็มองอวิ๋นหนานอ๋อง รอยยิ้มบนใบหน้านั้นกึ่งหยอกเย้ากึ่งนิ่งลึก “เมื่อแรกนั้นองค์หญิงของท่านเข้าไปในวังหลวงของแคว้นต้าเซี่ยเรา วางพิษหนอนกู่ให้กับข้าก็ไม่ได้บอกให้ข้ารู้ตัว? บัดนี้ข้ามิใช่ร่วมมือทำการใหญ่กับอวิ๋นหนานอ๋องหรือไร?”
สายตาของอวิ๋นหนานอ๋องดำทะมึน หากมิใช่เพราะเซียวอี้ส่งข่าวแล้วละก็คนของพวกเขาไม่มีทางสืบข่าวเข้าไปถึงวังหลวงของแคว้นต้าเซี่ยได้ และพวกเขาย่อมไม่มีทางล่วงรู้ถึงการตายขององค์หญิง บัดนี้เซียวอี้เอ่ยวาจาเช่นนี้มิใช่ต้องการบอกกับอวิ๋นหนานอ๋องว่าเขามิใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นที่จดจำแต่ความแค้นในอดีต และปรารถนาให้อวิ๋นหนานอ๋องใจกว้างสักหน่อย
ต่อมาหมอผีมาถึงแล้วจึงตรวจอาการให้เซียวอี้ เขาต้องพิษหนอนกู่จริงๆ เซียวอี้จึงได้รับการถอนพิษหนอนกู่จากหมอผี
เสียงหัวเราะของอวิ๋นหนานอ๋องดังก้องภายในห้อง “ดูแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความเข้าใจผิดจริงๆ เปิ่นหวางกล่าวโทษเซี่ยนอ๋องผิดไป ช่างน่าละอายใจนัก เปิ่นหวางเชื่อว่าเซี่ยนอ๋องมีคุณธรรม ขอเพียงเราร่วมมือทำการใหญ่ย่อมจะสำเร็จลุล่วง” อวิ๋นหนานอ๋องหยุดไปอึดใจหนึ่งแล้วถามขึ้นอีกว่า “ไม่รู้ว่าผู้ที่วางพิษหนอนกู่เซี่ยนอ๋องคือผู้ใด? การตายของอวิ๋นเอ๋อร์ของข้าเกี่ยวพันกับคนผู้นี้หรือไม่?”
เซียวอี้หรี่ตากล่าวกลั้วหัวเราะ “องค์หญิงตายเพราะถูกฮ่องเต้ทำร้าย ส่วนผู้ที่วางพิษหนอนกู่ข้านั้น อวิ๋นหนานอ๋องไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะต้องทำให้นางสูญเสีย” เขาไม่ปรารถนาให้หลินชิงเวยตกอยู่ในมือของอวิ๋นหนานอ๋อง เขาต้องการลงโทษนางด้วยตนเอง ให้นางเสียใจที่นางเลือกผิดข้าง และเสียใจในการกระทำอันโง่เขลาของนาง
หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนซ่อนตัวอยู่ในความมืด ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเซียวอี้และอวิ๋นหนานอ๋องสนทนาเรื่องอันใด ทว่าหลินชิงเวยคิดว่าต่อให้ประสาทการได้ยินของเซียวเยี่ยนดีกว่านี้ แต่อยู่ห่างไปอีกเรือนหนึ่ง ทั้งยังมีประตูคั่นอีกบานหนึ่ง เขาก็น่าจะได้ยินไม่ชัดเจนนัก
หลินชิงเวยยังคงถามว่า “พวกเขาสนทนาอะไรกัน?”
เซียวเยี่ยน “ไม่แน่ใจ ได้ยินแต่เสียงคนกำลังหัวเราะ”
หลินชิงเวยหรี่ตามองถ่าซิงฮ่าวที่ยืนอยู่หน้าประตูและเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปล่อคนผู้นั้นออกไป ท่านฉวยโอกาสเข้าไปฟังว่าพวกเขาสนทนาอะไรกัน”
หลินชิงกำลังจะลุกขึ้นแต่ข้อมือถูกยึดไว้แน่นหนา นางก้มหน้าลงมองเป็นเซียวเยี่ยนยึดข้อมือของนางเอาไว้ ชัดเจนยิ่งนักว่าเขาไม่ต้องการให้นางออกไปเสี่ยงอันตราย
หลินชิงเวยยกยิ้มพลันจุมพิตลงบนแก้มของเซียวเยี่ยน นางพูดเสียงอ่อนว่า “ไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหาอันใด หากท่านจะออกไป อย่าลืมเรียกข้าก็พอ”