ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 10 บทที่ 279 ยุแยงตะแคงรั่ว
เซียวเยี่ยนต้องการรู้ว่าอวิ๋นหนานอ๋องและเซียวอี้สนทนาเรื่องใดเช่นกัน เมื่อเห็นหลินชิงเวยมีความมั่นใจเช่นนี้จึงทำให้เขาอดที่จะเชื่อไม่ได้ว่านางต้องมีวิธีการรับมือแน่นอน เซียวเยี่ยนสงบใจแล้วพูดกับนางว่า “ต้องระวังให้มาก หากถูกจับได้เจ้าก็ชี้ตัวข้า อย่างน้อยก็รักษาชีวิตของเจ้าเอาไว้ได้”
หลินชิงเวยฟังแล้วอดที่จะรู้สึกอุ่นวาบในใจไม่ได้ นางเลิกคิ้วยิ้มร้ายกาจ “ท่านมองข้าเหมือนคนที่จะถูกจับได้ง่ายดายหรือไร?”
“เหมือน”
นางหัวเราะเสียงต่ำ “ช่างไม่เชื่อถือกันจริงๆ” พูดแล้วก็บิดข้อมือของตนออกจากมือของเซียวเยี่ยนพร้อมกับพลิ้วกายออกไปท่ามกลางความมืดราวกับนกนางแอ่น นางวิ่งผ่านเรือนด้านหน้าพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะแล้ววิ่งลับหายไปอีกด้านหนึ่ง
“ใคร?!” ถ่าซิงฮ่าวผู้นั้นเป็นคนระแวดระวังยิ่ง เขาจะไม่ได้ยินได้อย่างไร อีกทั้งยังเห็นเงาร่างสายหนึ่งวิ่งผ่านไปย่อมต้องไล่ตามไป
เซียวเยี่ยนซ่อนตัวอยู่ในเงามืด หลังจากถ่าซิงฮ่าวออกไปแล้วเขามิได้ออกมาทันที เซียวอี้ที่อยู่ด้านในต่อกรไม่ง่ายดายนัก เขาได้ยินความเคลื่อนไหวจากด้านนอกจึงออกมาดูเล็กน้อย กระทั่งหมอผีที่อยู่ด้านในก็ออกจากห้องและเดินออกไป
ต่อมาอวิ๋นหนานอ๋องเดินตามออกมา เมื่อเห็นภายในลานเรือนว่างเปล่าและเงียบสงบ เมื่อมีสิ่งของบินผ่านในยามกลางคืนต่อให้เป็นเสียงกระพือปีกล้วนได้ยินชัดเจน
เซียวอี้ถาม “องค์รัชทายาทไล่ตามผู้ใดไปแล้ว?”
อวิ๋นหนานอ๋องกล่าว “เซี่ยนอ๋องโปรดวางใจ เปิ่นหวางวางกำลังทหารไว้อย่างแน่นหนา คิดจะขึ้นมาบนภูเขายังมิใช่เรื่องง่ายดายปานนั้น ยามกลางคืนในภูเขามีค้างคาวจำนวนมากจะทำร้ายคนได้โดยง่าย ถ่าซิงฮ่าวไม่ปล่อยแม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้า ทหารและค้างคาวก็สุดแต่เขาเถิด”
เซียวอี้ได้ยินแล้วจึงหัวเราะ “เป็นเปิ่นหวางคิดมากเกินไป”
ต่อมาคนทั้งสองจึงเข้าไปในเรือนและปิดประตูอีกครั้ง เซียวเยี่ยนจึงปรากฏกายขึ้นในเวลานี้ เขาเดินอ้อมเรือนด้านหลังไป
หลินชิงเวยไม่รู้เช่นกันว่าตนเองวิ่งมาถึงที่ใด อย่างไรท้องฟ้าก็มืดทางก็มืด นางเพียงแต่วิ่งไปข้างหน้าไม่หยุดก็พอแล้ว แต่นางแจ่มแจ้งแก่ใจดีเช่นกันว่าสำหรับผู้ที่มีวรยุทธ์แล้วนางคงหนีไปได้ไม่ไกลนัก
ถ่าซิงฮ่าววิ่งไล่ตามมาติดๆ อยู่ด้านหลัง อีกทั้งด้วยความเร็วของเขาทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนใกล้มากขึ้น
ในที่สุดเมื่อนางวิ่งมาถึงเรือนหลังเล็กไร้ผู้คนที่อยู่ห่างไกลไร้ผู้คน ด้านหนึ่งของเรือนหลังนี้ทรุดตัวลงแล้ว รอบๆ ด้านเต็มไปด้วยวัชพืชที่ขึ้นเต็มไปหมด เป็นสถานที่เปลี่ยวยิ่ง ถ่าซิงฮ่าวอยู่ข้างหลังนี่เอง หลินชิงเวยหมดหนทางหนี ดาบโค้งถูกดึงออกจากฝักและเขวี้ยงใส่นางตรงๆ
หลินชิงเวยพลิ้วกายหลบอย่างว่องไว ทว่าคมดาบกลับตัดเส้นผมของนางไปปอยหนึ่ง เส้นผมปอยนั้นตกลงบนคมดาบ
พระจันทร์แขวนตัวอยู่บนท้องฟ้า โคมไฟสว่างวาบ
ถ่าซิงฮ่าวกลับเห็นเส้นผมของสตรีที่อยู่ข้างหน้าปลิวพลิ้ว ชายกระโปรงของนางสะบัดกางออกราวกับดอกโบตั๋น นางหมุนกายหลบดาบโค้งของเขาราวกับกำลังร่ายรำอย่างไรอย่างนั้น งดงามสุดจะเปรียบ
เขาเห็นเส้นผมปอยหนึ่งตกลงบนคมดาบของตนจึงอดที่จะตกตะลึงไม่ได้
ส่วนหลินชิงเวยกลับฉวยโอกาสนี้ยกมือขึ้นสาดผงกระดูกอ่อนใส่หน้าถ่าซิงฮ่าว หลังจากถ่าซิงฮ่าวสูดดมเข้าไปในร่างกายพลันรู้สึกว่าตนเองไม่มีเรี่ยวแรงกระทั่งถือดาบโค้งไม่ไหว มือของเขาจึงห้อยตกลงไป เพียงแค่ยืนก็รู้สึกต้องใช้กำลังมากมาย
ถ่าซิงฮ่าวจับจ้องสายตามองสตรีตรงหน้า นางสวมอาภรณ์ของชาวอวิ๋นหนาน คิดดูแล้วน่าจะเป็นสตรีชาวอวิ๋นหนาน ทว่าเขายังคงเห็นนางเป็นอริและระวังตัวยิ่ง “เจ้าทำอะไรกับข้า? เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่?!”
หลินชิงเวยยืนห่างออกมาหลายก้าว นางยิ้มแล้วตวัดสายตามองเขา นางกลอกตาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเป็นน้องสาวของท่านพี่เซียวอี้”
ใบหน้าคมสันของถ่าซิงฮ่าวเย็นชาทันที เขาจ้องหลินชิงเวยเขม็ง “เจ้าพูดจาเหลวไหล ข้ากลับไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเขามีน้องสาวคนหนึ่ง เจ้านับญาติส่งเดชเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร?”
“เป็นใคร? ข้าย่อมรู้แน่นอน เขาก็คือเซี่ยนอ๋องอย่างไรเล่า ข้าเดินทางมาพร้อมกับเขานี่นา” หลินชิงเวยเดินวนรอบๆ กายถ่าซิงฮ่าว “พี่ชายมีโทสะขึ้นมาช่างน่ากลัวเหลือเกิน ดาบของท่านเร็วยิ่ง เคราะห์ดีที่ตัดขาดเพียงเส้นผมของข้า หากข้าช้าอีกก้าวหนึ่ง เกรงว่าหัวคงต้องหลุดจากบ่าแล้ว”
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้วยังกล้าบุกรุกเข้ามาที่นี่อีก!”
“ข้าไม่ได้บุกรุกนะ ท่านพี่เซียวอี้พาข้ามา เขาไม่ได้บอกกับพวกท่านกระมัง เขาซ่อนตัวข้าเอาไว้จึงหลบเลี่ยงผู้คนมากมายของพวกท่านได้” อย่างไรเสียหลินชิงเวยก็สาดโคลนทั้งหมดใส่เซียวอี้คนเดียว นางดูออกว่าถ่าซิงฮ่าวผู้นี้เป็นคนขี้ระแวงอย่างหนัก เขาไม่เชื่อใจเซียวอี้แม้แต่น้อย เมื่อหลินชิงเวยพูดจาใส่สีตีไข่เพิ่มขึ้น เขายิ่งไม่เชื่อใจมากขึ้น หลินชิงเวยมองเขาอย่างพิจารณาแล้วแย้มริมฝีปากเอ่ยว่า “ท่านจะต้องคิดไม่ถึงว่าเซียวอี้เป็นคนของเซ่อเจิ้งอ๋องกระมัง?”
ถ่าซิงฮ่าวจ้องหลินชิงเวยเขม็งแล้วพลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าเมื่อหลายวันก่อน จึงพูดขึ้นอย่างตรึกตรองว่า “เจ้าเป็นสตรีที่เลี้ยงงูและสังหารหมอผีของพวกเรา!”
หลังจากเกิดเรื่องเขาได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากคนของตน นอกจากจะนำสตรีตรงหน้าไปเชื่อมโยงกับสตรีที่ปรากฏกายขึ้นในวันนั้น เขาไม่รู้ว่าจะมีผู้ใดเกี่ยวพันกับเหตุการณ์นี้
ทันทีที่หลินชิงเวยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไป นางพูดอย่างไม่ยี่หระ “เป็นข้าแล้วอย่างไรเล่า แต่ที่ข้าทำไปล้วนถูกบังคับ” เวลานี้นางสวมกระโปรงของสตรีชาวอวิ๋นหนาน อีกทั้งอยู่ท่ามกลางความมืด จึงมองไม่เห็นว่านางแตกต่างจากชาวอวิ๋นหนานตรงไหน นางจึงทำเสมือนตนเป็นชาวอวิ๋นหนานพูดคุยสัพเพเหระกับองค์รัชทายาทแห่งอวิ๋นหนานสักพัก
“ถูกบังคับ?” ถ่าซิงฮ่าวแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าลองพูดซิว่าเจ้าถูกบังคับอย่างไร?”
หลินชิงเวย “ข้าถูกเขาจับตัวที่เมืองผิงหลั่ง ด้วยข้าแตกฉานศาสตร์เกี่ยวกับหนอนกู่เล็กน้อย เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของผู้คนเมื่ออยู่ข้างนอก เขาและข้าจะเรียกขานเป็นพี่ชายน้องสาว เขาต้องการให้ข้าวางพิษหนอนกู่เขาและพี่น้องของเขา เวลานั้นดูเหมือนมีคนกำลังตามล่าสังหารพี่น้องของเขา ดูเขาเป็นพวกเดียวกับพวกท่าน เขาคิดจะช่วยพี่น้องของเขา มีเพียงให้ตัวเขาเองต้องพิษหนอนกู่แล้วเสแสร้งว่าถูกบีบบังคับ หากข้าไม่ทำเช่นนั้น เขาก็จะสังหารข้า” นางพูดแล้วก็บีบน้ำตาออกมาสองหยดอย่างแนบเนียน นางพูดปากเบะ “ข้าเป็นชาวอวิ๋นหนาน หากมิใช่ด้วยชีวิตของข้าอยู่ในกำมือเขา ไหนเลยจะช่วยเขาทำร้ายพวกเราชาวอวิ๋นหนานเล่า เดิมทีคืนนี้ข้าแอบตามหลังเขามา แต่ใครจะคาดคิดว่าระหว่างทางจะถูกเขาพบเห็นเข้า เขาไม่มีวันปล่อยข้าไป และเกรงว่าข้าจะหนีไป ดังนั้นจึงพาข้ามาด้วย”
หลินชิงเวยมองถ่าซิงฮ่าวประดุจดอกหลียามต้องฝน แม้จะเห็นว่าเขาเม้มปากไม่พูดไม่จา แต่สีหน้านั้นวูบไหว นางจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “เมื่อสักครู่ข้าอยู่ด้านนอกเห็นพี่ชายรูปงามองอาจมีคุณธรรม พี่ชายคงจะช่วยข้ากระมัง ดังนั้นข้าจึงทำใจกล้า ปรากฏตัวให้พี่ชายไล่ตามข้ามา”
เดิมทีถ่าซิงฮ่าวไม่พอใจเซียวอี้อยู่แล้ว นี่เป็นศัตรูของศัตรูย่อมต้องมีความเป็นมิตรและความเป็นกันเองมากขึ้นสองส่วน เมื่อเขามองหลินชิงเวยอีกครั้ง เขาคิดว่าสตรีนางนี้รูปร่างเล็กบอบบาง ในดวงตาของนางคลอคลองไปด้วยหยาดน้ำตา เขาอดไม่ได้ที่จะใจอ่อนลงหลายส่วนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดมา ข้าไม่ละเว้นเขาแน่นอน”
คิดอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วเซียวอี้ผู้นี้เป็นคนน้ำนิ่งไหลลึกเช่นนี้ ทางหนึ่งเสแสร้งว่าร่วมมือกับอวิ๋นหนาน อีกทางหนึ่งกลับเป็นศัตรูกับเซ่อเจิ้งอ๋องให้คนภายนอกดู ทว่าแท้จริงเป็นพวกเดียวกัน ยามนี้เซ่อเจิ้งอ๋องเกือบจะตกอยู่ในมือของพวกเขาแล้ว เซียวอี้กลับใช้ข้ออ้างเรื่องต้องพิษหนอนกู่มาหักล้างความระแวงสงสัยลงได้