ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 10 บทที่ 284 ท่านเป็นคนฉลาด
ไม่นานนัก องครักษ์ลับส่งไก่ป่าที่ฆ่าและทำความสะอาดแล้วให้เซียวอี้ย่างบนกองไฟเข้ามาตัวหนึ่ง
ไก่ป่าที่ถูกย่างบนกองไฟส่งเสียงเพียะพะๆ ไก่ป่าถูกย่างเสียจนน้ำมันไหลเยิ้มออกมาและหยดลงมาไม่หยุด ส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ช่างทำให้คนน้ำลายสอ
เซียวอี้เงยหน้าขึ้นมองเป็นพักๆ เห็นหลินชิงเวยเอาคางวางไว้บนหัวเข่า ใบหน้าของนางเล็กเท่าฝ่ามือ สีหน้าสงบนิ่ง ใบหน้าของนางถูกเปลวไฟส่องสว่าง ดวงตาเป็นประกายทั้งคู่จ้อง…ไก่ป่าในมือเซียวอี้เขม็ง
รอจนไก่ป่าย่างเสร็จแล้ว เซียวอี้ฉีกเนื้อไก่ป่าส่วนที่อร่อยและนุ่มที่สุดให้นางกิน คนทั้งสองกินอาหารร่วมกันด้วยท่าทีถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
หลินชิงเวยเลิกคิ้วพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ดูเหมือนข้าจะเป็นตัวประกันที่ได้รับการดูแลดีที่สุดในประวัติศาสตร์กระมัง? ยังต้องให้เซี่ยนอ๋องย่างไก่ให้ข้ากินด้วยตัวเอง”
“ถูกต้อง ดังนั้นเจ้าอย่าได้ทำตัวเป็นคนไม่รู้ดีชั่วจะดีที่สุด กินของเปิ่นหวางแล้วเจ้าก็ต้องหัดเป็นคนพูดจาอ่อนหวานสักหน่อย มิใช่หรือ?”
หลินชิงเวยกินไก่ป่าไปครึ่งตัวแล้วดูดคราบน้ำมันบนนิ้วมือ นางหรี่ตามองความมืดมิดด้านนอกห้องโถงของวัด พูดอย่างแฝงนัยว่า “ที่จริงท่านเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว”
สีหน้าของเซียวอี้ปรากฏให้เห็นความหยิ่งผยอง “หากเจ้าตกหลุมรักเปิ่นหวางในตอนนี้ก็ไม่นับว่าสายเกินไป เปิ่นหวางอาจพิจารณาไม่นำเจ้าไปเป็นเหยื่อล่อ เปิ่นหวางย่อมมีวิธีการอื่นที่จะรับมือกับเซียวเยี่ยน”
หลินชิงเวยเอียงหน้ามองเขา “หากท่านอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัว ต่อไปไม่แน่ว่าอาจจะมีจุดจบที่ดีก็ได้”
คำพูดนี้กล่าวจบไม่นานนัก ลมหนาวพัดมาจากภูเขา สายลมนั้นพัดเสียจนต้นไม้ส่ายไหวไปมาดังสวบสาบๆ ต่อมาดูเหมือนมีแสงไฟราวกับหิ่งห้อยส่องสว่างขึ้นท่ามกลางความมืด องครักษ์ลับเดินเข้ามาในห้องโถงของวัดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขามองหลินชิงเวยแล้วรายงานว่า “ท่านอ๋อง แย่แล้ว มีทหารของทางการมาทางนี้!”
หลินชิงเวยยิ้มเต็มตา “นี่ก็คือหนีได้ครั้งหนึ่งมิได้หมายความว่าจะหนีได้ตลอดไปใช่หรือไม่?”
เซียวอี้ตวัดสายตามาถลึงตาใส่นางแวบหนึ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงว่าทหารของทางการนั้นเป็นเซียวเยี่ยนนำมาหรือไม่ หากเซียวเยี่ยนโยกย้ายกำลังทหารชายแดนจริงๆ แล้วละก็ เช่นนั้นฐานะของเซียวอี้ย่อมไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป เซี่ยนอ๋องเดินทางออกจากเมืองหลวงมุ่งหน้าลงใต้เป็นการส่วนตัวและลอบสมคบคิดกับอวิ๋นหนาน หากเรื่องนี้ถูกโจษจันไปถึงราชสำนัก เช่นนั้นความผิดนี้ย่อมไม่พ้นตัวเขาแล้ว
ทหารของทางการกลุ่มใหญ่ล้อมภูเขาลูกนี้เอาไว้อย่างรวดเร็ว คนมากมายเช่นนี้ล้อมภูเขาลูกนี้กระทั่งน้ำยังไหลผ่านไม่ได้ และแม่ทัพผู้นำกำลังทหารสวมชุดเกราะสีทองก็คือ แม่ทัพ เฉินเหยียนจือ ผู้ควบคุมดูแลพื้นที่ชายแดนทางใต้ ข้างกายเขามีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งควบม้าอยู่ด้วย บุรุษผู้นั้นอยู่ในอาภรณ์สีม่วง ชายอาภรณ์ของเขาปลิวสะบัดไปตามแรงลม เขาก็คือเซียวเยี่ยนผู้มีใบหน้าคมสันและเย็นชา
เซียวเยี่ยนกำลังบีบบังคับให้เขาเดินเข้าสู่ทางตัน โยกย้ายกำลังทหารอย่างใจกล้า ดูท่าแล้วไม่ใส่ใจว่าจะเป็นการก่อให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นต้าเซี่ยและอวิ๋นหนานหรือไม่
ด้วยออกมาจากเมืองผิงหลั่งแล้ว พื้นที่บริเวณนี้ถือเป็นพื้นที่ไร้พรมแดน ไม่ว่าจะเป็นทหารของฝ่ายใดล้วนไม่อาจเข้ามาที่นี่โดยพลการทั้งสิ้น ทว่ายามนี้ทางด้านอวิ๋นหนานคาดว่าคงกำลังวุ่นวายโกลาหลไหนเลยจะมีเวลามาพบเห็นเรื่องเหล่านี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความได้เปรียบทางกำลังของทั้งสองฝ่ายจึงเปลี่ยนไป ด้านนอกห้องโถงของวัดส่องสว่างด้วยแสงจากคบไฟ เหล่าองครักษ์ลับของเซียวอี้เฝ้าด้านนอกเอาไว้ พวกเขายินดีปกป้องเซียวอี้จนสิ้นชีพ
เซียวอี้จ้องหลินชิงเวยเขม็ง “เจ้าทิ้งเครื่องหมายไว้ให้เขาตลอดทาง?”
หลินชิงเวยพูดเรียบๆ “ข้าไม่ได้ทิ้งอะไรทั้งสิ้น หากเขาต้องการตามหาข้า เขาย่อมตามหาข้าจนพบ”
เซียวอี้แค่นหัวเราะเสียงเย็น มองกำลังทหารด้านนอกแล้วดวงตาพลันคมกริบขึ้น “หากเปิ่นหวางใช้เจ้าเป็นตัวประกัน เจ้าว่าเขาจะปล่อยข้าไปหรือไม่?”
หลินชิงเวย “ข้าขอเตือนท่านอย่าทำเช่นนี้เลย หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ความผิดที่ท่านลอบเดินทางมาหนานเจียง สมคบคิดกับอวิ๋นหนาน จับคนเป็นตัวประกัน ย่อมหนีไม่พ้น อย่าได้เอ่ยถึงว่าท่านถอยไม่ได้ ท่านจะมีชีวิตกลับไปเมืองหลวงหรือไม่ยังเป็นปัญหาใหญ่ ท่านคงไม่ต้องการตกอยู่ในสภาพท่านไม่ตาย ข้าก็ม้วยหรอกกระมัง”
เซียวอี้กลับใจเย็นอย่างยิ่ง “เช่นนั้นเจ้าว่าข้าควรทำอย่างไร?”
หลินชิงเวยมองเขา “ในใจท่านมิใช่กระจ่างแจ้งดีอยู่แล้วหรือไร นอกจากให้ความร่วมมืออย่างดีแล้วยังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”
เซียวอี้ประสานสายตากับนางชั่วครู่ กิ่งไม้ในกองไฟถูกเผาจนเกิดเสียงดังเพียะพะ ต่อมาเขาพลันหลุดหัวเราะออกมาแล้วสะบัดอาภรณ์ด้วยท่วงท่าสง่างาม “ดูจากสถานการณ์เบื้องหน้าแล้วเปิ่นหวางคงได้แต่ทำเช่นนี้ ขอบคุณเวยเวยที่ตักเตือน สละรถม้า รักษาแม่ทัพ เหตุผลนี้เปิ่นหวางเข้าใจดี ในมือเซ่อเจิ้งอ๋องไม่มีหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ข้าคบคิดกับศัตรู ครั้งนี้หากข้าให้ความร่วมมือ ไม่แน่ว่าอาจจะมีความชอบที่ร่วมกันโจมตีและทำลายแผนการของอวิ๋นหนานอ๋อง”
หลินชิงเวยหัวเราะเบาๆ “เซี่ยนอ๋อง ท่านเป็นคนฉลาด”
เพียงแต่เซียวอี้คิดไม่ถึงว่าเขาจะถูกสตรีเบื้องหน้าผู้นี้วางหมากให้เดินไปทีละก้าวๆ เซียวอี้พูดกับองครักษ์ลับด้านนอกว่า “ถอยออกไปให้หมด ให้เซ่อเจิ้งอ๋องเข้ามา”
หลินชิงเวยเห็นเซียวเยี่ยนเดินย่ำหิมะเข้ามาแต่ไกล เขาเดินมุ่งหน้าเข้ามาในวัดร้าง ทว่านางคิดไม่ถึงว่าเซียวอี้จะเคลื่อนกายเข้ามาแล้วยกมือขึ้นบีบคอของนาง
หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมองเขานิ่งๆ เขาถามเสียงต่ำ “เวยเวย ตลอดทางข้ามีไมตรีต่อเจ้าไม่น้อย ข้าช่วยเจ้าจากอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า หากมีวันหนึ่งข้าตกอยู่ในอันตรายจริงๆ เจ้าหักใจให้ข้าตายได้หรือ?”
รอยยิ้มของหลินชิงเวยปรากฏให้เห็นเต็มดวงตา ใบหน้าพลันสว่างไสว “ข้าหักใจได้อย่างยิ่ง”
เซียวอี้หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน
เมื่อเซียวเยี่ยนก้าวเข้าประตูมาเห็นหลินชิงเวยถูกเซียวอี้บีบคอเอาไว้ ร่างของเขาเกร็งขึ้นด้วยโทสะที่แล่นขึ้นเป็นริ้วๆ เขาเคลื่อนกายพร้อมใช้ฝ่ามือโจมตีเซียวอี้ทันที จนใจที่เซียวอี้รับมือเขาด้วยมือเพียงข้างเดียว ผนวกกับร่างกายเพิ่งฟื้นไข้ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียวเยี่ยน ประมือกันเพียงสองสามกระบวนท่าก็ถูกเซียวเยี่ยนซัดด้วยฝ่ามือจนต้องตกเป็นฝ่ายถอยร่น แขนยาวๆ ข้างหนึ่งโอบเอวของหลินชิงเวยพานางเข้ามาสู่อ้อมกอดในชั่วพริบตา
ใบหน้าด้านข้างของหลินชิงเวยแนบไปกับอกของเซียวเยี่ยน รับรู้ได้ไอเย็นจากหิมะที่เกาะอยู่บนอาภรณ์ของเขา ได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นด้วยจังหวะหนักแน่นมั่นคง ในใจพลันรู้สึกสงบยิ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองคางของเขาแล้วพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ท่านมาถึงช้ากว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก”
เซียวอี้ย่อมไม่รู้ว่าหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนมีพิราบที่มีจิตวิญญาณส่งถึงกันสองตัว ชื่อหยางชุนและไป๋เสวี่ย ยามนี้หยางชุนไป๋เสวี่ยกำลังพลอดรักกันอยู่บนกิ่งไม้ด้านนอกห้องโถงของวัดร้าง
คืนนั้นทั้งภายในและภายนอกวัดร้างไม่มีการปะทะต่อสู้กันอย่างดุเดือด เซียวอี้เป็นคนรู้จักกาลเทศะ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจไม่ยอมเป็นนักโทษของเซียวเยี่ยน
หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนเดินทางกลับเมืองผิงหลั่งอีกครั้ง พวกเขาพำนักอยู่ในคฤหาสน์ของเฉินเหยียนจือ มีกำลังทหารอารักขาอย่างแน่นหนา เซียวอี้พำนักอยู่ในคฤหาสน์เช่นเดียวกัน เพียงแต่ถูกควบคุมความเคลื่อนไหว ถูกสกัดจุดปิดวรยุทธ์และกำลังภายใน เปรียบเสมือนนกอินทรีที่ปีกหักอย่างไรอย่างนั้น วันทั้งวันได้แต่อยู่ในคฤหาสน์โดยทำอันใดไม่ได้
ยามบ่ายกู้หมิงเฟิ่งกลับมาจากนอกเมือง ในมือหิ้วถุงผ้าฝ้ายใบหนึ่งยื่นให้กับหลินชิงเวย “สิ่งของที่แม่นางต้องการ ข้านำมาให้แล้ว”
หลินชิงเวยเปิดถุงผ้าฝ้ายออกดู ข้างในล้วนเป็นซากร่างหลากหลายสีสันของงู หลินชิงเวยสั่งให้นางไปหามาจากในป่าด้านนอกเมือง ในป่าแห่งนั้นเต็มไปด้วยหิมะ ซากงูเหล่านี้ถูกฝังอยู่ใต้หิมะจึงยังไม่เน่าเปื่อย
เพียงแต่เฉินเหยียนจือผู้เป็นแม่ทัพ ในยามปกติสวมเครื่องแบบทหารทั้งชุด มือถือดาบเล่มหนึ่ง ให้ความรู้สึกองอาจห้าวหาญยิ่งนัก เมื่อเขาเห็นซากร่างงูหลากหลายสีสันในถุงผ้าฝ้ายแล้วจึงหันมามองหลินชิงเวยอีกครั้ง ในใจคิดว่าไฉนจึงมีสตรีชมชอบสิ่งของน่ากลัวเช่นนี้ ตัวเขาเองเห็นแล้วยังอดรู้สึกขนลุกไม่ได้