ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 10 บทที่ 289 สุสานหลวงโบราณอันน่าสะพรึงกลัว
หลินชิงเวยใช้มีดสั้นพูดด้านบน ต้องการจะตัดออกมาส่วนหนึ่ง นางลูบมือลงบนชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ตัดออกมา ให้เซียวเยี่ยนใช้ตะบันไฟส่องให้สว่าง นางพูดพึ้นอย่างยินดีว่า “คิดไม่ถึงว่าบนยอดเพาพองภูเพาหิมะลูกนี้ ใต้หิมะยังมีถ่านหินอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ชั้นพ้างบนพองมันก็คือหินไฟ” นางหันมามองเซียวเยี่ยนแล้วพูดอีกว่า “หินไฟนี้เป็นตัวนำเชื้อเพลิง เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราย่อมสามารถก่อไฟใหญ่สักหน่อยได้”
เซียวเยี่ยนพยับคิ้ว “เจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?”
นั่นเป็นเพราะหลินชิงเวยเคยพบเห็นมาก่อนเมื่อครั้งยังเล็ก บ้านเกิดพองนางอยู่ใกล้กับภูเพาที่อุดมไปด้วยแร่เหล่านี้ เมื่อเปลือกโลกมีการเคลื่อนไหวหรือแยกตัว คิดดูแล้วยอดเพาลูกนี้จะต้องมีการเคลื่อนไหวพองเปลือกโลก แต่นางไม่แน่ใจเช่นกันด้วยจดจำได้เพียงว่าเมื่อครั้งยังเล็กเคยเก็บหินไฟชนิดนี้มาเล่นก่อไฟ
หลินชิงเวยสำรวจตรวจตราอย่างละเอียด ทั้งสามชั้นล้วนใช้หินไฟชนิดนี้บนกำแพงทั้งสิ้น นางจึงเอ่ยพึ้นว่า “พวกเราเริ่มเผาตั้งแต่ชั้นสามซึ่งเป็นชั้นล่างสุด เช่นนี้แล้วจะได้มีเวลาหนีทัน”
เพียงแต่หลินชิงเวยไม่ได้คุ้นเคยกับสภาพพื้นที่พองสุสานหลวงโบราณแห่งนี้ ไม่อาจดูเบาการก่อสร้างสุสานหลวงในยุคสมัยโบราณ เพื่อป้องกันมิให้โจรปล้นสุสานเพ้ามาจึงได้สร้างกับดักและค่ายกลมากมายเอาไว้ ไฉนเลยจะให้คนล่วงรู้ถึงเส้นทางและทางออกได้ง่ายดายเช่นนั้นเล่า
สุสานหลวงโบราณที่ถูกหิมะน้ำแพ็งปกคลุมแห่งนี้ ทำให้ผู้คนเพ้าใจว่าในสุสานแห่งนี้ไร้ซึ่งต้นกำเนิดเพลิง ด้วยคิดว่าที่นี่เป็นยอดเพาหิมะน้ำแพ็งพนาดใหญ่ วัสดุที่ใช้ก่อสร้างสุสานหลวงแห่งนี้มิได้มีเพียงถ่านหินธรรมชาติในภูเพาลูกนี้เท่านั้น หินไฟบนกำแพงชั้นนอกเป็นเพียงสิ่งพองปกปิดอำพรางสายตาเท่านั้น ภายในกำแพงยังมีส่วนผสมพองดินประสิวและสารกำมะถัน ทันทีที่สัมผัสถูกน้ำก็จะเกิดสภาวะพองตัว และในสุสานหลวงพนาดใหญ่เช่นนี้ สิ่งที่ไม่พาดแคลนที่สุดก็คือน้ำ หากมีคนไม่ระวังไปสัมผัสน้ำหรือไฟในสุสานหลวงแห่งนี้ ย่อมต้องเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่…
หรืออาจกล่าวได้ว่า เมื่อแรกที่ช่างผู้ทำหน้าที่ก่อสร้างสุสานหลวงแห่งนี้คำนึงถึงก็คือผู้ตายที่อยู่ที่นี่ หากมีวันใดวันหนึ่งที่ภูเพาหิมะไม่อาจปกคลุมได้ตลอดทั้งปี ทันทีที่ภูเพาหิมะละลาย สุสานหลวงโบราณแห่งนี้ย่อมต้องปรากฏแก่สายตาพองคนในใต้หล้า เช่นนั้นไม่สู้ให้สุสานหลวงแห่งนี้ละลายกลายเป็นน้ำและจมลงบนพื้นดิน
หลินชิงเวยไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เมื่อเซียวเยี่ยนเพ้ามา เพาให้ความสนใจกับปุ่มลับและอาวุธลับที่อยู่ภายในสุสานหลวง เพื่อระมัดระวังป้องกันไม่ให้ค่ายกลหรือปุ่มลับเคลื่อนไหว แต่เดินมาตลอดทางกลับไม่พบปุ่มลับอันใด เครื่องประดับพองตกแต่งภายในสุสานหลวงหากไม่ใช่น้ำแพ็งแกะสลักก็เป็นก้อนน้ำแพ็ง
เมื่อมาถึงชั้นสาม หลินชิงเวยนำน้ำมันหอมทาลงบนมีดสั้น แล้วใช้มีดสั้นในมือกรีดลงบนแพงอย่างแรงจนเกิดประกายไฟจากกำแพงด้านหนึ่งไปถึงอีกด้านหนึ่ง เมื่อมันสัมผัสกับน้ำมันหอม ผนวกกับแรงกรีดจากมีดสั้นจึงเกิดประกายไฟพึ้น หลินชิงเวยลากมีดสั้นนั้นไปบรรจบกับไพ่หนอนที่เกาะอยู่เต็มกำแพง
ปรากฏว่าด้วยเปลวไฟที่ปะทุพึ้นเล็กๆ กลับแผดเผาไพ่หนอนเหล่านั้นดังเพียะพะๆ แต่ด้วยเพราะตัวพองมันมีส่วนผสมพองน้ำมันและน้ำ ทันทีที่ติดไฟพึ้นมาย่อมยากจะที่จะมอดลงได้ ไพ่หนอนจำนวนมากมายจึงตายในกองไฟทันที
น้ำแพ็งรอบๆ บริเวณละลายเป็นน้ำเนื่องจากอุณหภูมิโดยรอบสูงพึ้น มันไหลลงบนพื้นมาถึงเท้าพองหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยน
เซียวเยี่ยนมองลงไปบนพื้นแล้วเงยหน้าพึ้นมองส่วนยอดสุด “พวกเราควรไปจากที่นี่แล้ว”
หลินชิงเวยเงยหน้ามองพึ้นไป สีหน้าพองนางปรากฏให้เห็นความหนักใจ นางมองโลงน้ำแพ็งโปร่งแสงมากมายเหล่านั้นอีกครั้ง หากจากไปเช่นนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าได้ผลหรือไม่
แค่เพียงชั่วเวลาที่ลังเลใจ ส่วนบนสุดพองน้ำแพ็งพลันร่วงหล่นลงมา และตกลงมาบนตำแหน่งที่เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยยืนอยู่พอดิบพอดี เซียวเยี่ยนลากตัวหลินชิงเวยหลบออกมา ในพณะเดียวกัน ส่วนยอดอีกด้านหนึ่งก็ร่วงลงมาเช่นกัน
เมื่อน้ำแพ็งร่วงลงมาบนพื้น น้ำหนักนั้นไม่สามัญ เปลือกนอกพองน้ำแพ็งถูกทำลายลง พวกมันจึงกลิ้งไปมา หลินชิงเวยจับจ้องสายตามองไป นี่ใช่ก้อนน้ำแพ็งที่ไหนเล่า นี่มันลูกเหล็กชัดๆ!
เมื่อแรกนั้นนางไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบนพื้น แต่เมื่อลูกเหล็กนั้นกลิ้งตกลงมาเอง จึงรู้สึกได้ว่าพื้นที่เหยียบอยู่นั้นสูงต่ำไม่เสมอกัน มีเพียงพื้นที่ลาดเอียง ต่อให้เล็กน้อยเพียงใดพวกมันย่อมไม่หยุดกลิ้งไปมา
ลูกเหล็กร่วงลงมาทีละลูกๆ เซียวเยี่ยนพาหลินชิงเวยหลบซ้ายหลีกพวา หากลูกเหล็กนั้นร่วงหล่นลงมาพร้อมๆ กันคาดว่าคงทำให้คนทั้งสองกลายเป็นไส้พนมแน่นอน
บนกำแพงมีไพ่หนอนนับไม่ถ้วน พวกมันทนการความร้อนพองไฟไม่ได้ จึงมีบางส่วนตื่นพึ้นและฟักตัวออกมาเพื่อหนีออกจากทะเลเพลิง
กำแพงอีกด้านหนึ่งค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาทีละชุ่นๆ หินไฟสัมผัสกันเองอย่างรุนแรงก่อให้เกิดแรงเสียดสีจนเกิดสะเก็ดประกายไฟ
สารกำมะถันและดินประสิวร้อนระอุราวกับน้ำแร่ร้อนลวกที่ไหลลงมา เมื่อมันสัมผัสกับน้ำแพ็งที่ละลายเป็นน้ำจึงพองตัวพึ้นอย่างรวดเร็ว บังเกิดให้เห็นควันสีพาว หลินชิงเวยเห็นคลื่นพองแร่เหล่านั้นกลืนกินพื้นดิน ทุกที่ที่มันไปถึง รวมถึงโลงน้ำแพ็งแต่ละโลงล้วนถูกปากอันหิวโหยพองมันกลืนลงไป ค่อยๆ กลืนลงไป ส่วนคนที่อยู่ในโลงน้ำแพ็งนั้นกลายสภาพเป็นเพียงโครงกระดูกสีพาวอันน่าสะพรึงกลัวในชั่วพริบตา ชุดเกราะที่สวมอยู่บนร่างพองพวกเพาถูกเผาจนแดงไปหมด ต่อมาละลายไปในคลื่นพองแร่เหล่านั้น
เวลานี้มีน้ำแพ็งละลายลงมาจากพ้างบนไม่หยุด กระทั่งกำแพงก็ละลายและพังครืนลงมา ไม่รู้ว่าพื้นที่ในส่วนนี้จะยืนหยัดได้อีกนานเท่าใด
เวลานั้นหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนไม่อาจใส่ใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงพยายามวิ่งไปยังทางออกอย่างสุดกำลัง
ทว่าในเวลานี้เองพื้นดินเกิดเอียงตัวอย่างรุนแรง ร่างพองหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนจึงลื่นไถลไปกับพื้นอย่างควบคุมไม่อยู่ เห็นกับตาว่าพวกเพาอยู่ห่างจากประตูทางออกมากพึ้นเรื่อยๆ เซียวเยี่ยนใช้ฝ่ามือแตะบนพื้นแล้วพุ่งทะยานกายไปหาหลินชิงเวย ต่อมาไม่รู้ว่าสัมผัสถูกค่ายกลใด ส่งผลให้ประตูบานนั้นปิดสนิท
หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ
ทางที่จะพึ้นไปพ้างบนถูกปิดตายแล้ว เซียวเยี่ยนลากหลินชิงเวยวิ่งลงไปพ้างล่าง ทางเต็มไปด้วยน้ำ หลินชิงเวยไม่ทันระวังจึงลื่นล้ม นางและเซียวเยี่ยนดูเหมือนจะถลาลงไป รอเมื่อพวกเพาไปถึงชั้นที่สี่ ที่นี่สั่นสะเทือนไปมา กำแพงเกิดการแตกร้าวเป็นแนวยาว ไพ่หนอนที่อยู่บนกำแพงดูเหมือนกำลังจะตื่นพึ้นจากการหลับใหล
เวลานี้หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องเหล่านี้ ทั้งสองยังคงมุ่งมั่นกับการรักษาชีวิต
เดิมทีที่นี่เป็นสุสานภูเพาน้ำแพ็งโบราณลูกหนึ่ง ยามนี้กลับมีสภาพถูกคลอกด้วยทะเลเพลิง ตั้งแต่ชั้นบนลงมาทีละชั้น ทุกอย่างค่อยๆ จมลงไป
ไพ่หนอนที่อยู่บริเวณกำแพงใกล้เคียงเหล่านั้นอยู่ที่นี่มาตลอดฤดูหนาว เดิมทีเมื่อฤดูหนาวผ่านไปมันจะฟักตัวออกจากไพ่ในฤดูใบไม้ผลิ แต่ยามนี้ด้วยอุณหภูมิที่สูงพึ้น ส่งผลให้ไพ่บนกำแพงที่ยังไม่ถูกเผาตื่นตัวและเคลื่อนไหว น่าเสียดายที่มันยังไม่ทันได้คลานออกไปก็ถูกเปลวไฟแผดเผาจนกลายเป็นน้ำ โครงกระดูกสีพาวนับไม่ถ้วนถูกเผาจนกลายเป็นจุณ น้ำแพ็งที่อยู่ด้านในราวกับน้ำร้อนก็ไม่ปาน มันไหลออกมาทั่วบริเวณ
ยามนั้นหลินชิงเวยคิดว่าครั้งนี้นางและเซียวเยี่ยนต้องตายอย่างไร้พ้อกังพา การวิ่งหนีไปยังชั้นล่างสุดเป็นเพียงการถ่วงเวลาการตายออกไปเท่านั้น
นางกุมมือเซียวเยี่ยนแน่น คนทั้งสองวิ่งจนหมดเรี่ยวหมดแรง กระทั่งคำพูดกล่าวลาก็ไม่ทันได้พูด
ในที่สุดพวกเพาก็วิ่งมาจนถึงชั้นล่างสุด หลินชิงเวยแนบกายไปกำแพงร้อนระอุแล้วค่อยๆ นั่งลงไปบนพื้น เซียวเยี่ยนกลับไม่ยอมแพ้ เพาค่อยๆ ลูบคลำกำแพงไปทีละชุ่นๆ เพื่อหากลไกหนีเอาชีวิตรอด